12 Angry Men (1957) 12 คนพิพากษาหากจะกล่าวถึงคำว่า “เหนือกาลเวลา” ในโลกภาพยนตร์แล้ว กับคนอื่นผมไม่รู้ว่าใช้แนวคิดแบบไหนเป็นมาตรวัดนะ ว่าหนังเรื่องไหนที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบปี มันก็ยังสดใหม่แล้วได้รับการกล่าวถึงอยู่เสมอ แต่สำหรับตัวผมแล้วหากให้จำกัดความ “หนังที่อยู่เหนือกาลเวลา” ลำดับแรกคงจะเป็นหนัง ที่เล่าในสิ่งที่มันล้ำหน้ายุคสมัยที่หนังออกฉาย ไม่ว่าจะบท ไอเดีย แนวคิด เทคนิคการนำเสนอเรื่องราว อย่างที่สองก็คงจะเป็น ประเด็นที่หนังเลือกหยิบมาเล่า ประเด็นพื้นฐานมนุษย์ที่เป็นอมตะในสังคมไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ มนุษย์เราก็ยังคงผลิตซ้ำแนวความคิดแบบนั้นอยู่ต่อไป เช่นเดียวกับ 12 Angry Men (1957) หนังคลาสสิกแนว Courtroom Dramas ที่จับประเด็นพื้นฐานความเป็นมนุษย์ กับการใช้อารมณ์ ความรู้สึก อคติ มาตัดสินชีวิตของคนคนหนึ่งว่าควรมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ โดยหนังได้คะแนนโหวตถึง 8.9/10 จากผู้แสดงความเห็นหกแสนกว่าคน ในเว็บ IMDBเรื่องราวของคณะลูกขุน 12 คนที่เข้ามานั่งฟังการพิจารณาคดีของเด็กหนุ่มวัย 18 ปี เขาตกเป็นผู้ต้องหาในคดีปิตุฆาต (ฆาตกรรมพ่อของตนเอง) โทษที่เขาจะได้รับหากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงก็คือ การประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า หลังจากผู้พิพากษาไต่สวนคดีเสร็จสิ้นแล้ว ก็ถึงเวลาที่คณะลูกขุนทั้ง 12 คนจะเข้าไปปรึกษาตกลงกัน เพื่อมอบคำตัดสินแก่ศาลว่าพวกเขามีความเห็นอย่างไรโดยที่มีข้อแม้อยู่ว่าคำตัดสินของคณะลูกขุนทั้ง 12 คน จะต้องออกมาเป็นเอกฉันท์ 12 ต่อ 0 เท่านั้น คดีที่หลายคนคิดว่าง่ายดายเมื่อฝ่ายอัยการมีพยานหลักฐานพร้อม แถมทนายฝ่ายจำเลยแทบไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้เลย กลับไม่สามารถหาข้อสรุปได้ง่ายดายอย่างที่คิด เมื่อการโหวตครั้งแรกเสียงออกมาเป็น 11 ต่อ 1 เมื่อมีหนึ่งในคณะลูกขุนบอกว่า เขาไม่สามารถตัดสินให้จำเลยที่เป็นเด็กหนุ่มวัยเพียง 18 ปีมีความผิดได้เมื่อมันยังมีรายละเอียดอะไรหลายอย่างที่เขายังคลางแคลงใจ บรรยากาศในห้องประชุมของคณะลูกขุนในตอนนี้จึงเริ่มคุกรุ่นขึ้นมา เมื่อหลายคนคิดว่าพวกเขาควรเอาเวลาไปทำอย่างอื่น มากกว่าการมานั่งคุยในคดีที่ผลลัพธ์มันชัดเจน ไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่ในเมื่อมีคนหนึ่งคนไม่ได้เห็นแบบเดียวกับคนอีก 11 คนอย่างนี้ บทสรุปของคำตัดสินจะลงเอยอย่างไรหนังสุดคลาสสิกที่เรียกได้ว่า “เป็นหนังที่อยู่เหนือกาลเวลา” อีกหนึ่งเรื่อง แม้หนังจะเก่าแก่ภาพจะเป็นขาวดำ แต่ประเด็นที่หนังกล่าวถึงยังสดใหม่อยู่เสมอจนถึงปัจจุบัน แต่หากจะให้มองในอีกแง่มุมตามสไตล์ผม ที่มักนำเสนออีกด้านในมุมกลับด้วยคงจะบอกได้ว่า อาจไม่ใช่เพราะประเด็นในหนังมันสดใหม่เสมอ แต่เป็นเพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน “มนุษย์เราก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเรียนรู้อะไรเลย”ลูกขุนทั้ง 12 คนภายในหนัง 12 Angry Men (1957) เรื่องนี้ ต่างเป็นตัวแทนของคนที่มี บุคลิก นิสัย แตกต่างกันไป บางคนมีเหตุผล บางคนพร้อมรับฟังผู้อื่น บางคนไม่สนใจใคร บางคนใช้อคติ บางคนก็ไร้หลักการไม่มีจุดยืน บางคนก็เอาประสบการณ์ส่วนตัวมาเป็นที่ตั้ง แต่พวกเขาทั้ง 12 คนต่างต้องมาทำหน้าที่ลูกขุน เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือ คำตัดสินที่เป็นเอกฉันท์ มันจึงไม่ง่ายที่พวกเขาจะพูดคุยหาข้อสรุปหลังจากการโหวตครั้งแรก ทั้ง 11 คนต่างแปลกใจกับการโหวตสวนของลูกขุนหนึ่งคนนั้น พวกเขาพยายามให้เหตุผลของคำตัดสินของตัวเอง เพียงแต่ว่าลูกขุนเพียงหนึ่งเดียวที่โหวตคำตัดสินสวน ก็ให้เหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอ คนที่เหลือจึงจำต้องยอมรับฟังนั่งลงประชุมต่อเพื่อหาข้อสรุปอีกครั้ง ภาพภายในหนังส่วนนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความเห็นของคนส่วนใหญ่มีความสำคัญแต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความเห็นของคนส่วนน้อยจะถูกมองข้ามไปได้ ส่วนสำคัญจริง ๆ ของกระบวนการนี้ คือการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่างหาก ที่มันจะนำมาซึ่งการวิเคราะห์หาข้อสรุปร่วมกันในท้ายที่สุดการดำเนินเรื่องของหนังในทีแรกเป็นการให้ลูกขุนทั้ง 11 คนโน้มน้าวลูกขุนเพียงคนเดียวให้คล้อยตาม แต่กลายเป็นว่าคนเพียงคนเดียวค่อย ๆโน้มน้าว โดยชี้ถึงเหตุแห่งความสงสัยและหลักฐานที่ดูขัดต่อความน่าจะเป็น ภาพภายในหนังหลังจากนั้นจึงขับเคลื่อนไปด้วยอีโมชั่น (Emotion) ของความขัดแย้ง สลับกับการให้เหตุผล หนังจึงหนักแน่นทั้งอารมณ์ร่วมของตัวละครและคนดู รวมทั้งข้อมูล เนื้อหา บทพูดเชือดเฉือนที่คมคาย แฝงไว้ด้วยแง่คิดและการตีแผ่ความเป็นมนุษย์แน่นอนว่าคนเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ กับการนำประสบการณ์ส่วนตัว อคติ มาใช้ประกอบการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ หนัง 12 Angry Men (1957) เรื่องนี้จึงพยายามชี้ให้เห็นว่า การนำเอาประสบการณ์ส่วนตัว อคติ มาใช้ปะปนมากจนเกินไป มันก็อาจจะบดบังข้อเท็จจริงบางประการไปได้ ยิ่งกับการตัดสินความเป็นความตายของคนแล้ว หากไม่วางอคติลงผลลัพธ์ที่ได้มันอาจกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดการเปิดใจรับฟังข้อมูลอย่างรอบด้านแม้ข้อมูลนั้นอาจไม่ตรงกับใจเรา แต่หากเรารับฟังด้วยใจเป็นกลางแล้วพิจารณาข้อเท็จจริง ความน่าจะเป็น อย่างน้อยไม่ว่าการตัดสินใจนั้นจะถูกหรือผิด เราก็ยังตอบตัวเองได้ว่าพยายามอย่างเต็มที่แล้ว เหมือนกับลูกขุนที่โหวตสวนเพียงหนึ่งเดียว เขายืนหยัดกับข้อสงสัยที่จับต้องได้บนสมมุติฐานของเขาเอง พยายามชี้ให้คนอื่น ๆ เห็นความสำคัญว่า ในขณะนี้พวกเขามีหน้าที่มาทำอะไรกันในห้องพิจารณาแห่งนั้นเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากแนะนำให้ดูก่อนตายกันสักครั้ง ช่วงต้นของหนังอาจจะดูไม่มีอะไรมาก ทว่าหลังจากการโหวตครั้งแรกผ่านไป มันก็ได้เปลี่ยนไปทุกอย่าง แม้หนังจะพูดคุยกันทั้งเรื่องแต่ก็สามารถเรียกได้ว่ามันคือสงคราม (ความเห็นต่าง) ย่อยๆ ที่ต่างฝ่ายต่างสาดอารมณ์ใส่กันอย่างไม่ลดราวาศอก บทสรุปของหนังเป็นอย่างไรผมคงไม่เปิดเผยเนื้อหาแม้มันจะพอคาดเดาได้ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกน่าติดตามของหนังลดลงไปแม้แต่น้อยสรุปแล้ว 12 Angry Men (1957) 12 คนพิพากษา เป็นหนังคลาสสิกขึ้นหิ้งที่เข้าขั้นสุดยอดอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่อยากให้พลาดกัน อย่างที่ผมบอกไปว่าแม้หนังเรื่องนี้จะพูดคุยกันทั้งเรื่องก็จริง แต่อารมณ์มันเหมือนเรากำลังดูหนังสงคราม ที่ตัวละครสาดคำพูดใส่กันแทนกระสุน ทั้งคมคายและบาดลึก รวมทั้งสิ่งที่ผู้ชมจะได้จากหนังเรื่องนี้ก็คือ แนวคิดดี ๆ ในการใช้ชีวิต การเข้าใจในความเป็นมนุษย์มากขึ้น ไม่ตัดสินใครหรืออะไรรวดเร็วง่ายดายเพียงเพราะใช้ อคติ หรือประสบการณ์ของตัวเองเท่านั้นDirector: Sidney Lumetขอบคุณเครดิตรูปภาพประกอบบทความจากภาพยนตร์ 12 Angry Men (1957) ที่มา : ภาพหน้าปก/ ภาพที่หนึ่ง ภาพที่หนึ่ง/ ภาพที่สอง ภาพที่สอง/ ภาพที่สาม ภาพที่สามเขียนโดยแอดมิน เพจ ปีนรั้วดูหนัง