[รีวิวซีรีส์] "A Good Girl’s Guide to Murder" นักสืบวัยรุ่นทุ่งลาเวนเดอร์ กับเมืองที่มีแต่คนร้ายใจดี
จากผลงานเปิดตัวสำหรับนักเขียนสาวหน้าใหม่ชาวอังกฤษวัย 27 ปี นาม ฮอลลี แจ็กสัน (Holly Jackson) กับหนังสือนิยายวัยรุ่นในปี 2019 ที่โกยรางวัลมากมายในชื่อ ‘A Good Girl’s Guide to Murder’ ทั้งได้รับการเสนอชื่อเป็นหนังสือที่ดีที่สุดในปี 2020 จากผู้จัดจำหน่ายหนังสือชื่อดัง Barnes and Noble และคว้ารางวัลหนังสือเด็กยอดเยี่ยมแห่งปีจาก British Book Awards มาด้วย จึงไม่แปลกใจที่มีค่ายหนังโดยเฉพาะจากฝั่งอังกฤษจะให้ความสนใจคว้าลิขสิทธิ์มาทำเป็นหนังหรือซีรีส์ และสุดท้ายหวยก็ไปออกที่ช่อง BBC ของอังกฤษในการผลิต โดยเน็ตฟลิกซ์ก็ได้การฉายทางสตรีมมิงทั่วโลกไป
เรื่องราว 5 ปีหลังจากการฆาตกรรมเด็กสาวอายุ 17 ปีในเมืองอังกฤษอันเงียบสงบ สาวเนิร์ดผู้คลั่งไคล้การแก้ไขคดีคนหนึ่งก็มุ่งมั่นที่จะเปิดเผยความจริงและตามหาฆาตกรตัวจริงให้ได้
ซีรีส์ความยาว 6 ตอนนี้ใช้เนื้อหาจากหนังสือเล่มแรก จากแฟรนไชส์ทั้งหมดจำนวน 4 เล่มของแจ็กสันมาทำ โดยผู้สร้าง ป๊อปปี โคแกน (Poppy Cogan) ที่เคยสร้างสรรค์ซีรีส์ทางเน็ตฟลิกซ์ในแนวสยองขวัญวัยรุ่นที่เล่าถึงเทคโนโลยียุคใหม่ใน ‘Red Rose’ (2022) ก็ถือว่าได้ของดีมาไว้ในมือเพื่อดัดแปลงเป็นบทหนัง ซึ่งตรงนี้คงต้องบอกว่าตัวนิยายก็เป็นแนววัยรุ่นมาก ๆ อยู่แล้ว กล่าวคือมันจะมีความว้าวุ่น ความรัก การเรียน เพื่อนพ้อง ครอบครัว และปมปัญหาแบบเด็ก ๆ ที่มันอาจน่ารำคาญหรือน่าหงุดหงิดสำหรับคนที่อยากดูการสืบสวนสอบสวนที่จริงจังหน่อย อันนี้เลยต้องบอกว่ามันเลยอาจมีทั้งคนที่โอเคและคนที่ดูไม่ไหวเลย ทั้งนี้ก็อยู่ที่ตั้งโจทย์การรับชมด้วย
ทั้งนี้หากมองในแง่ว่าเราอยากดูหนังสืบสวนสอบสวนที่มีความซับซ้อน มีมุมที่สะท้อนความดำมืดในจิตใจของมนุษย์ หรือมีกลหลอกล่อคนดูให้สับสน ก็ต้องบอกว่ามันไม่ใช่ซีรีส์แนวนั้นที่ดีเท่าไหร่ ปมปริศนาต่าง ๆ ถูกวางแบบแค่รอให้ตัวเอกไปค้นพบแล้วก็คิดโทษคนนั้น จากนั้นก็เจอปมอีกอันที่เปลี่ยนให้ไปโทษอีกคนแแทน อาจมีบ้างที่ตัวบทมีการหักมุมหรือเปลี่ยนแนวทางความสงสัยของเรา แต่มันก็ไม่ได้เด่นจนถึงกับเราประทับใจ เหมือนกับว่ามันก็มีข้อแก้ตัวไว้แล้วว่า ต่อให้เป็นแนวไขปริศนาแต่มันก็หนังเด็กน่ะจะเอาอะไรมาก ซึ่งก็จริง
ในขณะที่หากมองในความเป็นหนังวัยรุ่นก็ต้องบอกว่ามันเป็นหนังวัยรุ่นสไตล์อังกฤษ ที่วิถีชีวิตเขาจะเรียบง่ายกว่าแบบหนังวัยรุ่นอเมริกันที่เราคุ้นชินมาก ปมปัญหาหรือการสร้างเรื่องราวก็เลยอาจไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจอะไรนัก ความรักหนุ่มสาว มิตรภาพผองเพื่อนที่มีทั้งรักทั้งไม่เข้าใจกัน มันก็ตามมาตรฐานเสียจนไม่ได้ต้องคาดหวังอะไรที่แปลกใหม่ ยิ่งดูจำนวนตอนเพิ่มก็ยิ่งไม่หวัง อาจมีมุมที่ดีอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่ชวนประทับใจจริง ๆ
แต่อย่างน้อยที่สุดต้องยอมรับว่าหนึ่งสิ่งที่อาจจะอยากจำจากซีรีส์นี้ไปบ้างก็คือ การแสดงของ เอ็มมา ไมเออร์ส (Emma Myers) ที่ไม่ได้เอาแค่หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักของเธอมาจากบทมนุษย์หมาป่า อีนิด ในซีรีส์ ‘Wednesday’ (2022) เท่านั้น แต่เธอยังมีการถ่ายทอดอารมณ์ในฐานะนักแสดงตัวแบกเรื่องเอาไว้ได้ดี หลายฉากที่เธอเบ้ปากจะร้องไห้มันทำเรารู้สึกถึงความเศร้าตัวละครนี้จริง ๆ ในขณะที่ตัวละครอื่นก็ถือว่าประคองบทบาทตัวเองได้ตามที่ควร แค่น่าเสียดายว่าบทไม่ได้ชวนให้จดจำพวกเขาเท่าไหร่นัก เพราะตัวละครมากมายในเรื่องที่ชวนสับสนแล้ว เรื่องราวยังเคลื่อนไปหาตัวละครใหม่ไปเรื่อย ๆ ก็เหมือนคนเขียนนิยายยังไม่ได้มีทักษะด้านการเล่าแนวสืบสวนสอบสวนที่คมคายนัก ซึ่งก็อาจพูดได้อีกว่ามันคือหนังสือเรื่องแรกของแจ็กสันด้วยนั่นเอง
ทำให้เกิดปัญหาอย่างหนึ่งเหมือนกันคือ การเฉลยของเรื่องราว มันจะออกไปทางดราม่าเป็นหลัก แต่ละคนที่เกี่ยวข้องจะมีปมเรื่องความรักความสัมพันธ์ทางเพศที่ผิดปกติ เรื่องยาเสพติด เรื่องครอบครัว มันไม่ถึงกับจะเรียกได้ว่าซีรีส์มีตัวร้ายที่คู่ควรกับการต่อกรที่เป็นรสชวนลุ้นชวนติดตาม อาจมองได้เช่นกันว่า แก่นหลักของเรื่องราวมันคือการก้าวพ้นวัยของตัวละครวัยรุ่นทั้งหลายมากกว่า และคดีฆาตกรรมเป็นเพียงเปลือกหลอกล่อคนมาอ่านมาดูเท่านั้น ซึ่งมองแบบนั้นตัวเรื่องปมวัยรุ่นของมันก็ธรรมดามากไปเสียหน่อยจนไม่ได้น่าสนใจ และขณะเดียวกันเปลือกของมันก็เป็นเปลือกจริง ๆ ถึงขนาดที่ว่ามันไม่มีความหนักแน่นในเชิงธริลเลอร์ในเรื่องเลย นางเอกเดินตัวเปล่าเข้าไปในรังคนร้ายราวกับคนมองโลกแง่ดีเต็มประดา และไม่มีครั้งไหนเลยที่เรารู้สึกว่าเธอจะเป็นอันตราย มันเหมือนว่าแม้แต่คนชั่วที่สุดในเมืองนี้ก็ยังไม่มีทางทำร้ายใครโดยเฉพาะนางเอกเด็ดขาด นี่มันเมืองคนดีเกินกว่าจะมาอยู่ในซีรีส์ที่มีคนตายจริง ๆ
ในตอนจบของ ‘A Good Girl’s Guide to Murder’ ยังทิ้งให้เห็นว่าหนังสืออีก 3 เล่มของแจ็กสันก็ยังมีโอกาสได้มาทำเป็นซีรีส์ภาคต่อเช่นเดียวกับที่ผู้เขียนตั้งใจไว้ ซึ่งเนื้อหาในเล่มหลัง ๆ นั้นจะมีความเข้มข้นและโตขึ้นของตัวละคร ก็ได้แต่หวังล่ะว่ามันจะมีอะไรที่กดดันคนดูได้มากกว่านี้ ทั้งในแง่ปมดราม่าของตัวละครและปมปริศนาความน่ากลัวของคดี ที่ต่อให้เป็นเปลือกก็ขอเป็นเปลือกที่สนุกกว่านี้หน่อยล่ะนะ
โดย ธนพล น้อยชูชื่น