Movie Review Sector 36 (2024) งานสืบสวนที่มาแปลกคือเปิดหน้าท้าดวลไม่ต้องลึกลับซ่อนเร้นให้มากเรื่องปล่อยให้ความเข้มข้นเชือดเฉือนทำงานอย่างได้ผล ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่าการเขียนบทความผ่านทางพื้นที่นี้ความยากไม่ใช่การเขียนที่สำหรับผู้เขียนคือถ้าดูหนังดูซีรีส์แล้วมีอะไรให้เขียนเต็มหัวก็สามารถพรั่งพรูออกมาได้ ทำให้บางบทความอาจใช้เวลาไม่มากเพราะหนังหรือซีรีส์บางเรื่องมีอะไรให้สัมผัสมีอะไรให้จับต้องมากก็จะเรียบเรียงออกมาได้ง่ายการเขียนจึงไม่ใช่งานยาก แต่ที่ยากคือการหารูปประกอบบทความนี่เองที่หนังหรือซีรีส์บางเรื่องไม่ได้หากันง่ายๆบางบทความเขียนจบไปตั้งสองสามวันกว่าจะหารูปที่ถูกลิขสิทธิ์จริงๆเจอ ซึ่งไอ้การหารูปนี่ล่ะที่เป็นเรื่องเจ้ากรรมเพราะบางครั้งไปเจอสปอยล์แบบไม่ตั้งใจหรือบางครั้งก็เจองานที่น่าสนใจอยากดูแต่ดันไม่มีให้ดูทำให้บางครั้งก็ละเหี่ยใจยิ่ง เช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่ผู้เขียนไปเจอรูปโปรโมทตอนที่ไปหารูปประกอบบทความของหนังอินเดียแล้วไปเจอก็เกิดอาการคันคะเยออยากดูแม้จะไม่รู้ว่าเนื้อหาจะเป็นอย่างไรแต่โทนสีของรูปมันดึงดูด จนวันนี้หนังเรื่องนี้ลงสตรีมแล้วก็ต้องดูจึงเป็นที่มาของบทความที่ท่านกำลังจะได้อ่านกันบทความนี้ ในย่านเสื่อมโทรมที่เรียกว่า Sector 36 ที่เป็นชุมชนแออัดประชากรยัดเยียดกันอยู่ประมาณหนึ่งแสนห้าหมื่นคนเมื่อเกิดคนหายขึ้นมาจึงเป็นเรื่องยากที่จะตามตัวกลับมา หนังเปิดเรื่องมาที่การฆาตกรรมเด็กหญิงคนหนึ่งอย่างโหดเหี้ยมของฆาตกร Prem Singh (Vikrant Massey) ที่ฆ่าแล้วยังหั่นศพไปทิ้ง แต่เมื่อพ่อของเด็กหญิงคนนั้นไปแจ้งความรองสารวัตร Ram Charan Pandey (Deepak Dobriyal) กลับไม่สนใจและพยายามบ่ายเบี่ยงซึ่งเหตุผลก็ง่ายๆคือเขาเป็นตำรวจกังฉินที่ไม่สนใจการพิทักษ์สันติราษฎร์ จนเมื่อมีเด็กหายเพิ่มขึ้นตำรวจอย่างรองสารวัตร Pandey ยังไม่ทำอะไรจนกระทั่งเมื่อภัยมาถึงลูกสาวตัวเองที่แม้จะช่วยไว้ได้แต่ก็ปลุกไฟในใจของเจ้าหน้าที่ Pandey ขึ้นมา แล้วเมื่อสืบสวนไปก็สามารถจับฆาตกรโหดอย่าง Prem ที่น่าตกใจคือเจ้าฆาตกรไม่เกรงกลัวเลยแถมยังสารภาพผิดอย่างโต้งๆ ทว่านอกจากคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสะเทือนขวัญแล้วกลับยังมีบางอย่างที่ซ้อนอยู่ที่อาจเป็นไปได้ว่าเป็นตออันใหญ่เบ้อเริ่ม เล่าเรื่องง่ายๆเปิดหน้าท้าดวลกันไปไม่ต้องปิดซ่อนหรืออ้อมค้อมอะไรเพราะนี่คือการสร้างจากเรื่องจริง โดยปกติแล้วงานสืบสวนฆาตกรต่อเนื่องจะมาพร้อมการสับขาหลอกซ่อนไว้เพื่อไปหักมุมทีหลังว่าใครคือฆาตกร แต่เมื่อเป็นการสร้างจากเรืองจริงของคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่สะเทือนขวัญคนทั้งประเทศเขาเมื่อปี 2006 จึงคงไม่อาจปิดเร้นฆาตกรได้ สิ่งที่เป็นคือการเปิดหน้าท้าดวลกันไปว่านี่คือฆาตกรที่ออกมาตั้งแต่แรกเพื่อสะกดคนดูเลยด้วยซ้ำและสิ่งต่อมาคือการสร้างทางแยกด้วยการที่อีกฝ่ายเป็นตำรวจกังฉินที่รับสินบน แน่นอนเมื่อเปิดหน้าคู่ต่อกรออกมาทั้งสองการเล่าเรื่องจึงไม่ต้องอ้อมค้อมอะไรว่ากันไปตามกระบวนการที่ตบหน้ากระบวนการนั้นฉาดใหญ่ด้วยความที่ฝ่ายตำรวจก็เป็นแบบนั้น แต่เมื่อต้องเลือกจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการเดินเรื่องไปจนถึงเวลาก็มาถึงการเปิดเผยเบื้องหลังที่น่าเสียดายที่จุดเชื่อมโยงยังดูไม่สนิท นั่นเพราะบทเน้นตัวฆาตกรเต็มที่ทำให้คนดูโฟกัสไปทางเดียวเพราะสิ่งที่เขาทำมันเกินใจจะทน เน้นความน่าสะพรึงมากกว่าลึกลับโดยเล่นกับความรู้สึกจึงเห็นเป็นการเชือดเฉือนที่เข้มข้นสุดๆ เมื่อนี่คือเรื่องที่คนดูบ้านเขารู้เรื่องราวเป็นอย่างดีเพราะเป็นคดีดังคดีใหญ่ที่สั่นคลอนใจคนทั้งประเทศแต่จะเป็นอะไรให้ไปพิสูจน์เอง หนังจึงเลือกที่จะเล่นงานอารมณ์คนดูด้วยความรู้สึกหดหู่มากกว่าลึกลับอย่างที่งานแนวนี้ส่วนมากเป็นเพราะมันซ่อนเร้นไม่ได้อย่างที่ว่ามา ตลอดทางจึงเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตั้งแต่เปิดเรื่องที่คงไว้อย่างนั้นไม่มีช่วงให้ผ่อนคลายด้วยความรู้สึกถึงความน่าสะพรึงของการที่มนุษย์คนหนึ่งทำกับมนุษย์ด้วยกัน แน่นอนแม้หนังจะพยายามเลี่ยงภาพความรุนแรงไว้ให้มากที่สุดแต่เมื่อแนวหนังมันเป็นทางนี้จึงมีไม่น้อยที่ยิ่งกดอารมณ์ แล้วเมื่อมาพร้อมกับการค้นหาเบื้องหลังและบวกกับการเผชิญหน้ากันระหว่างตำรวจชั่วรับสินบนแต่รู้ผิดชอบชั่วดีกับฆาตกรโรคจิตที่ไม่เหลือสิ่งนั้นแล้วหนังจึงเข้มข้นจนเข้มขลัง เพราะความที่อารมณ์ถูกกดพร้อมกับความอยากรู้ว่าเรื่องจะมีบทสรุปอย่างไรที่เชื่อเถอะว่าอยากให้เป็นอย่างที่ใจต้องการแต่.... การแสดงที่น่าจดจำได้สร้างฉากที่น่าจดจำมากมายแม้มันจะเป็นภาพที่ไม่น่าดูนัก แม้หนังพยายามเลี่ยงภาพที่ดูแล้วไม่สบายใจไปมากแล้วแต่ต้องยอมรับว่ายังไงมันต้องมีบ้างที่แม้ขนาดที่ยั้งๆแล้วยังสร้างความรู้สึกหน่วง แต่นั่นคือความเยี่ยมทางการแสดงของ Vikrant Massey ที่หลอนได้โล่ความน่าสะพรึงมาเต็มความยียวนกวนประสาทแบบฆาตกรผู้สิ้นแล้วซึ่งความเป็นมนุษย์สุดๆไปเลย ซึ่งสัมผัสได้ถึงความน่ารังเกียจและความน่ากลัวจนไม่กล้าสบตาที่สร้างฉากที่น่าจดจำมากมายรวมไปถึงการเผชิญหน้ากันกับ Deepak Dobriyal ในฉากสอบปากคำที่แม้จะแค่พูดๆกันแต่รู้สึกขนลุกและลุ้นระทึก ซึ่งสำหรับ Deepak Dobriyal ที่มิติตัวละครด้อยกว่าแต่การแสดงเมื่อเผชิญหน้ากันกลายเป็นเหมือนศีลเสมอกันอย่างยอดเยี่ยม แต่ก็ต้องไม่ลืมปรบมือให้ Vikrant Massey ที่ผู้เขียนเพิ่งผ่านตาเขาแสดงมาจากกุหลาบมรณะทั้งสองภาคที่ต้องยอมรับว่าเก่งจริง หนังยังได้งานดนตรีที่เหมือนจะแผ่วเบาแต่ส่งผลกับการกดอารมณ์อย่างชะงัด อาจไม่ใช่ความบันเทิงของทุกคนเพราะหนังออกโทนกดอารมณ์ที่ถ้าใจไม่แข็งพออาจไปด้วยกันได้ไม่สุดทาง บอกเลยว่านี่ไม่ใช่ความบันเทิงแน่นอนเพราะไม่มีความเริงใจแม้แต่นิดเดียวหนังมาพร้อมภาพและบรรยากาศที่กดอารมณ์ให้จมดิ่ง ด้วยความที่สิ่งที่หนังเสนอออกมานั้นค่อนข้างอ่อนไหวโดยเฉพาะคนในวัยผู้ใหญ่ที่มีลูกกันแล้วจะยิ่งดิ่ง เพราะองค์ประกอบของหนังมาทางนี้เต็มที่ทั้งโลเกชั่นที่ไม่เจริญตาภาพที่น่าสะอิดสะเอียนทั้งการแสดงที่สุดยอดจนเชื่อเลยว่านี่คือฆาตกรตัวจริง แล้วเมื่อรู้ว่าสร้างมาจากเรื่องจริงจิตสำนึกความเป็นมนุษย์จะยิ่งทำให้ความรู้สึกหน่วงหนักเข้าไปอีกหนังจึงไม่ใช่ความบันเทิงแน่นอนแต่ก็มีความน่าติดตามและพลังพอกับสิ่งที่เป็น กระนั้นก็ต้องเป็นคนที่จิตใจเข้มแข็งสักหน่อยจึงจะสามารถไปกับหนังได้เพราะสามารถทนกับภาพที่เห็นและความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นรับรองว่าความอึดอัดกดจนจมดิ่งกับสิ่งที่ฆาตกรที่เหมือนไม่ใช่มนุษย์คนนี้ทำกับมนุษย์ด้วยกันจะทำให้อาจไปด้วยกันกับหนังไม่สุดทาง ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4,5 / ภาพที่ 6,7 จาก Instagram netflix_in ถ้าท่านชอบการแสดงของ Vikrant Massey ท่านจะชอบสองเรื่องนี้ https://entertainment.trueid.net/detail/No9GV3J0aqwB https://entertainment.trueid.net/detail/v698d07YVYPB เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !