สวัสดีครับ หลังจากห่างหายไปนานจากเรื่องล่าสุด ประมาณ 5 เดือนกว่า กลับมาครั้งนี้ผมจะขอรีวิวภาพยนตร์รางวัลออสการ์ เรื่อง The lighthouse (2019) จากค่าย A24 (ค่ายนี้รับประกันความอินดี้มีคุณภาพจริง ๆ ) ภาพยนตร์ประเภท Fantasy + Horror เป็นผลงานของผู้กำกับ Robert Eggers ที่เคยฝากผลงานความสยองหลอนสั่นประสาทมาแล้วอย่าง The vvitch (2015) พร้อมด้วยการถูกเสนอเข้าชิงรางวัล และ ได้รางวัลมาหลายสถาบันด้วย ซึ่งเรื่องนี้จะพูดถึง ชาย 2 คนที่ต้องทำหน้าที่เฝ้าประภาคารบนเกาะเล็ก ๆ เพียงลำพังท่ามกลางทะเลกว้างใหญ่ ทั้งคู่จะต้องศึกษาดูใจ ทำงาน รวมทั้งการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่คาดคิด ทั้งคู่จะสามารถหนีรอดจากเกาะแห่งนี้ได้หรือไม่ ต้องลองพิสูจน์ด้วยตนเองดีกว่าผู้กำกับเซียนมากในการเล่นปั่นหัวคนดูคิดว่าสิ่งไหนเป็นเรื่องจริง หรือ เรื่องหลอกลวงกันแน่ ด้านนักแสดงนำหลัก มีแค่ 2 คน ทั้ง Willem Dafoe จาก Spider man (2002) , The florida project (2017) และ Robert Pattinson จาก Twilight saga (2008 - 2012) , Tenet (2020)(พี่ Robert ช่วงนี้งานดี ฝีมือเด่น ผมจะรีวิวแกบ่อยหน่อย) เล่นเหมือนไม่ได้เล่น ทั้งคู่ต่างรับ ส่งพลังฝีมือในการแสดง ปล่อยอารมณ์ทั้งสุขุม เครียด ตลก บ้าบอ ด้วยลักษณะกริยา ท่าทาง คำพูดชวนเสียดสีถึงพริกถึงขิงเต็มที่ โดยเฉพาะ Robert แสดงได้สุดมากจนไม่เหลือภาพลักษณ์พระเอกหน้าหล่อ วัยใสแบบ Twilight เลย ส่วน Wilem เล่นดีตามประสบการณ์ และ ฝีมืออยู่แล้ว ทั้งคู่จ้าง 10 บาท เล่น 1000 บาท ส่วนตัวนางเงือกโผล่มาหลอนแวบ ๆ ก็มีเสน่ห์ซ่อนความเซ็กซี่ กระชุ่มกระช่วยได้หน่อย สิ่งที่โดดเด่นที่สุด คือ งานภาพ Art ใช้ภาพขาว ดำให้ความลึกลับ โบราณ Scene การถ่ายทอดถึงบรรยากาศ สถานที่แวดล้อมที่ด้วยความเหงาปนหลอนแบบยุค 30’s – 40’s แถมพ่วงด้วยการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยมด้วย ธรรมดาซะที่ไหน Sounds ที่กระตุ้นความกลัว ความระแวงของมนุษย์อย่างบ้าคลั่ง น่ากลัว ท่ามกลางสถานที่อันโดดเดียว คือ ประภาคารที่อยู่ท่ามกลางทะเลที่กว้างใหญ่ และ ไร้จุดหมาย ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่เป็นจุดเด่นที่แข็งแรงมากสำหรับหนังสยองขวัญย้อนยุคเรื่องนี้ผู้กำกับเก่งมากในการเล่นปั่นหัวคนดูคิดว่าสิ่งไหนเป็นเรื่องจริง หรือ เรื่องหลอกลวงกันแน่ ด้านนักแสดงนำหลัก มีแค่ 2 คน ทั้ง Willem Dafoe จาก Spider man (2002) , The florida project (2017) และ Robert Pattinson จาก Twilight saga (2008 - 2012) , Tenet (2020)(พี่ Robert ช่วงนี้งานดี ฝีมือเด่น ผมจะรีวิวแกบ่อยหน่อย) เล่นเหมือนไม่ได้เล่น ทั้งคู่ต่างรับ ส่งพลังฝีมือในการแสดง ปล่อยอารมณ์ทั้งสุขุม เครียด ตลก บ้าบอ ด้วยลักษณะกริยา ท่าทาง คำพูดชวนเสียดสีถึงพริกถึงขิงเต็มที่ โดยเฉพาะ Robert แสดงได้สุดมากจนไม่เหลือภาพลักษณ์พระเอกหน้าหล่อ วัยใสแบบ Twilight เลย ส่วน Wilem เล่นดีตามประสบการณ์ และ ฝีมืออยู่แล้ว ทั้งคู่จ้าง 10 บาท เล่น 1000 บาท ส่วนตัวนางเงือกโผล่มาหลอนแวบ ๆ ก็มีเสน่ห์ซ่อนความเซ็กซี่ กระชุ่มกระช่วยได้หน่อย สิ่งที่โดดเด่นที่สุด คือ งานภาพ Art ใช้ภาพขาว ดำให้ความลึกลับ โบราณ Scene การถ่ายทอดถึงบรรยากาศ สถานที่แวดล้อมที่ด้วยความเหงาปนหลอนแบบยุค 30’s – 40’s แถมพ่วงด้วยการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยมด้วย ธรรมดาซะที่ไหน Sounds ที่กระตุ้นความกลัว ความระแวงของมนุษย์อย่างบ้าคลั่ง น่ากลัว ท่ามกลางสถานที่อันโดดเดียว คือ ประภาคารที่อยู่ท่ามกลางทะเลที่กว้างใหญ่ และ ไร้จุดหมาย ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่เป็นจุดเด่นที่แข็งแรงมากสำหรับหนังสยองขวัญย้อนยุคเรื่องนี้หนังเรื่องนี้ไม่เหมาะสำหรับคนที่ชอบดูหนังสายทั่วไป หรือ สาย Mass เป็นอย่างยิ่ง เพราะ เป็นหนังไม่ได้สยองจ๋าตามแบบหนังสยองขวัญทั่วไป แถมดูยากมาก ยอมรับว่าตีความไม่ได้ ดูเสร็จต้องไปหารีวิวดูตามเว็บต่าง ๆ ทั้ง Pantip เพจรีวิวหนัง บางช่วงดำเนินเรียบจนไม่มีเสียงสัญญาณตอบรับ ทำให้เกิดเบื่อ ๆ ดูไปเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ที่เข้าใจในมุมมอง คือ เราจะค่อย ๆ รู้แล้วว่าตอนจบใครรอด ใครตาย แล้วบทสรุปเรื่องราวมันจะเป็นประมาณนี้ ส่วนที่ไม่เข้าใจ คือ การลำดับเรื่องบางฉากตัดสลับสับขาหลอกไปมาไม่ประติดประต่ออย่างงง ปั่นหัวเก่งจนหลงกลง่าย บางฉากต้องตีความด้วยมุมมอง หรือ ดูเพื่อเสพงานศิลป์อย่างเดียว ไม่ต้องคิดให้ปวดหัว ซึ่งนอกจากใช้สมาธิในการรับชมแล้ว ต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องศาสนาคริสต์ ความเชื่อในเทพนิยายกรีกโบราณด้วยจึงจะสามารถเข้าใจในประเด็นที่หนังต้องการสื่อ และ ทำให้อรรถรสในการดูสนุกลุ้นระทึกมากขึ้น เนื่องจากเคยดูหนังของผู้กำกับคนนี้มาแล้วในเรื่อง The vvitch มาแล้วบางอย่างมีความคล้ายกัน The lighthouse อยู่เหมือนกันตามที่ผมสังเกต เช่น 1. ภาพขาวดำผสมเทา ( The vvitch ภาพสีแต่ออกฟ้าเทา / The lighthouse ภาพขาว ดำ) 2. เล่นประเด็นความเชื่อ ศาสนา (The vvitch แม่มด ภูตผี ซาตาน / The lighthouse เทพเจ้ากรีก เทพซุส โพไซดอน ) 3.สถานที่ห่างไกลเมือง (The vvitch อยู่บ้านกลางป่า / The lighthouse อยู่ประภาคารกลางทะเล ) 4.บทสนทนากล่าวเชิงสัญลักษณ์ 5.ดำเนินเรื่องก่อนยุค 1900 (The vvitch ประมาณ ค.ศ. 1630 / The lighthouse ค.ศ.1880 ) 6.ตัวละครมีเส้น Mood จากต่ำไปสูง 7.อยู่ในทวีปยุโรป 8.บทสรุปแบบปลายเปิดทั้งคู่ โดยข้อเปรียบเทียบทั้งหลายที่กล่าวมานี้จะเห็นว่า ความเชื่อในหลักศาสนาที่มีการอ้างอิงถึงเทพเจ้า วิชาไสยศาสตร์ หรือ สิ่งที่เหนือธรรมชาติ นั้นมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์มายาวนาน การยึดหลักนับถือเป็นเครื่องช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ไห้มนุษย์ปฏิบัติไปในทางที่ไม่ดี อยู่ในขอบเขตด้วยความศรัทธา ถ้าเราคิดดี ทำดี นับถือปฎิบัติในหลักคำสอนทางศาสนา ทำบุญ เราจะได้ขึ้นสวรรค์ แต่ถ้าเราคิดร้าย ทำชั่ว ลักขโมยผู้อื่น หมกมุ่นในสิ่งอัปมงคล เช่น ภูตผี ปีศาจ คุณไสย มนต์ดำ เราจะตกนรก สิ่งที่ตัวชี้วัด คือ กรรม เป็นผลของการกระทำนั่นเองขอบขอบคุณผู้อ่านทุกท่าน เมื่อได้อ่าน หรือ รับชมจบแล้ว ขอฝากกด Like กด Share การรีวิวภาพยนตร์ของผม EM Pascal ด้วยนะครับขอขอบคุณผู้สนับสนุนโดยwww.imdb.com / mediaviewer = ภาพประกอบหน้าปก www.impawards.com = ภาพประกอบที่1www.twitter.com / A24films = ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 5 www.twitter.com / lostinfilm = ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 6สำหรับภาพยนตร์เรื่องต่อไปที่ผมจะรีวิวเป็นเรื่องอะไร โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ