รีเซต

[รีวิวหนัง] "Haunted Mansion" งานรีบูต ฮา เฮี้ยน ครบรส แต่ไม่สดใหม่(เหมือนต้นฉบับ)

[รีวิวหนัง] "Haunted Mansion" งานรีบูต ฮา เฮี้ยน ครบรส แต่ไม่สดใหม่(เหมือนต้นฉบับ)
แบไต๋
29 กรกฎาคม 2566 ( 12:30 )
372
1

สนับสนุนโดย Major Cineplex

นอกจากการหยิบเอามรดกไตเติลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในคลังของตัวเองกลับมาปัดฝุ่นใหม่ แล้ว Disney ก็ยังมีอีกไม้ตายก็คือ การนำเอาเครื่องเล่นจากสวนสนุกของตัวเองมาดัดแปลงใหม่ในรูปแบบภาพยนตร์ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาก็มีเครื่องเล่นหลายชิ้นที่ถูกนำเอามาสรรสร้างใหม่ให้มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง หนึ่งในหนังที่ดัดแปลงจากเครื่องเล่นที่โด่งดังและประสบความสำเร็จมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นแฟรนไชส์ ‘Pirates of the Caribbean’ 5 ภาค ที่ทำรายได้รวมมากกว่า 4,500 ล้านเหรียญ รวมถึงเครื่องเล่นอื่น ๆ ที่ถือว่าดังแต่รายได้ไม่ค่อยปัง ทั้งเครื่องเล่นแนวอวกาศใน ‘Tomorrowland’ (2015) และ ‘Jungle Cruise’ (2021) เรือเที่ยวชมป่าดงดิบของเฮีย ดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne Johnson)

ก่อนจะมีหนัง ‘Pirates of the Caribbean’ เกิดขึ้นในฮอลลีวูด จริง ๆ แล้วยังมีหนังอีกเรื่องที่ดัดแปลงมาจากเครื่องเล่น ที่หลายคนอาจจะจำได้บ้างไม่ได้บ้าง นั่นก็คือ ‘Haunted Mansion’ เครื่องเล่นแนวรถไฟท่องคฤหาสน์ผีสิง ที่อยู่คู่กับ Disneyland แคลิฟอร์เนียมาตั้งแต่ปี 1969 เคยถูกเอามาทำเป็นหนังในชื่อ ‘The Haunted Mansion’ (2003) หรือในชื่อไทย ‘บ้านเฮี้ยน ผีชวนฮา’ ที่ได้นักแสดงตลก เอ็ดดี เมอร์ฟี (Eddie Murphy) มาแสดงนำ ซึ่งจริง ๆ แม้จะทำรายได้และคำวิจารณ์ไม่ค่อยดี ด้วยความไม่กลมกล่อมบางอย่างของตัวหนัง แต่ก็ยังทำให้ยังมีคนที่ชื่นชอบหนังเรื่องนี้แบบเฉพาะกลุ่มอยู่เหมือนกัน

ส่วนเวอร์ชันใหม่ที่ใช้ชื่อคล้าย ๆ กันว่า ‘Haunted Mansion’ หรือ ‘บ้านชวนเฮี้ยน ผีชวนฮา’ เวอร์ชันปี 2023 คือเวอร์ชันที่ไม่ใช่การรีเมก แต่เป็นการรีบูตครับ เพราะตัวหนังเป็นการนำเอาเสน่ห์และจุดขายของเครื่องเล่นมาผสมเข้ากับเรื่องราวฉบับใหม่ที่มีความร่วมสมัยมากขึ้นโดยไม่ได้อิงจากหนังเวอร์ชันก่อนหน้า จะมีก็แค่ตัวคฤหาสน์ผีสิง และจุดเด่นจุดขายจากเครื่องเล่นบางอย่างที่ยังคงเอาไว้โดยได้ จัสติน ซิเมียน (Justin Simien) ผู้กำกับรุ่นใหม่จาก ‘Dear White People’ ทั้งเวอร์ชันหนัง และเวอร์ชันซีรีส์ Netflix มารับหน้าที่กำกับในเวอร์ชันนี้

เรื่องราวของหนังเริ่มต้นจาก แกบบี (โรซาริโอ ดอว์สัน – Rosario Dawson) คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว และ ทราวิส (เชส ดับเบิลยู ดิลลอน – Chase W. Dillon) ลูกชายตัวน้อย ที่ตัดสินใจซื้อคฤหาสน์ราคาดีที่ตั้งอยู่ในรัฐนิวออลีนส์ เพื่อหวังจะเปลี่ยนให้เป็นบ้านพักแนวโฮมสเตย์ แต่กลับพบว่า คฤหาสน์หลังนี้ถูกครอบงำไปด้วยวิญญาณร้าย 999 ตนที่สิงอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ แถมไม่ใช่ว่าจะหนีไปได้โดยง่าย เธอจึงได้ขอความช่วยเหลือจาก บาทหลวงเคนต์ (โอเวน วิลสัน – Owen Wilson) เพื่อมาช่วยกำจัดผีออกไปให้สิ้นซาก แต่ไม่ใช่แค่นั้น

เคนต์ไปขอความช่วยเหลือจาก เบน แมทเธียส (ลาคีธ สแตนฟิลด์ – LaKeith Stanfield) อดีตนักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นค้นกล้องถ่ายวิญญาณ รวมทั้ง แฮร์เรียต (ทิฟฟานี แฮดดิช – Tiffany Haddish) คนทรงเจ้า, บรูซ เดวิส (แดนนี เดอวีโต – Danny DeVito) นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโบราณ พวกเขาต้องช่วยกันปราบผี โดยมี มาดามลีโอตา (เจมี ลี เคอร์ติส – Jamie Lee Curtis) ผียิปซีในลูกแก้วทำนาย ที่ต้องร่วมมือกันกำจัดเหล่าวิญญาณ รวมทั้ง ผีแฮตบ็อกซ์ (จาเรด เลโท – Jared Leto) ต้นเหตุของเหล่าวิญญาณทั้งหมด ก่อนที่จะมีวิญญาณดวงใหม่จะบังเกิดขึ้น

ความแตกต่างที่ชัดเจนของเวอร์ชันก่อนหน้ากับเวอร์ชันใหม่นี้ก็คือ การที่ตัวหนังมีความแฟนเซอร์วิสอย่างชัดเจนครับ จากความพยายามชูจุดขายจุดเด่น และบรรดา Easter Eggs รวมไปถึง Item ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเครื่องเล่นคฤหาสน์ผีสิง ที่ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสิ่งที่มีผีสิงจริง ๆ ซึ่งสิ่งที่ต้องชมก็คือแทนที่จะหันไปใช้การทำ CG ล้วน ๆ ตัวหนังกลับใช้วิธีการถ่ายทำในสตูดิโอเป็นหลัก ด้วยการสร้างคฤหาสน์ขึ้นมาใหม่โดยอ้างอิงจากเครื่องเล่น และกิมมิกที่มีอยู่ในเครื่องเล่นจริง ผสมกับงาน CG บางส่วน รวมทั้งการแต่งหน้าของบรรดาผี ๆ ที่เกิดจากการแต่งหน้าเอฟเฟกต์จริง คือแน่นอนแหละว่ามันอาจจะไม่ได้ชวนให้ดูสมจริงไปทั้งหมด เพราะ CG บางจุดก็ยังไม่เนียนบ้าง แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้บรรยากาศที่ยังมีความสมจริงอยู่

อีกจุดที่ผู้เขียนชอบก็คือ แทนที่จะให้ เอ็ดดี เมอร์ฟี เป็นตัวละครทำหน้าที่ยิงมุกฮาแบบโซโลในเวอร์ชันที่แล้ว ตัวหนังค่อนข้างที่จะเกลี่ยกระจายให้ตัวละครบรรดาตัวละครมีที่ทางในการยิงมุกเป็นของตัวเองมากขึ้น ภาพรวมเลยออกมาเป็นหนังผีที่มี Jump Scare ให้พอสะดุ้ง แต่ไม่ถึงขั้นสยองโหดร้าย ซึ่งตัวหนังขนมาหมดทั้งมุกมุกคำพูด มุกแนว Slapstick หรือมุกแนวโบ๊ะบ๊ะเจ็บตัว มุกตลกร้าย หรือแม้แต่มุก 5 บาท 10 บาทที่หว่านไว้ให้ตัวละครทุกตัวพร้อมที่จะยิงมุกได้ทุกเวลา ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนชอบการยิงมุกของ โอเวน วิลสัน ที่คาดหวังได้แน่นอน ทิฟฟานี แฮดดิช ก็เล่นมุกบาทมุกสลึง มุกเพี้ยน ๆ ได้หอแต๋วแตกมาก ที่เซอร์ไพรส์ก็คือน้อง เชส ดับเบิลยู ดิลลอน ที่แม้จะเด็ก แต่ลีลาการยิงมุกคำพูดของน้องถือว่าเหลือร้ายใช้ได้เลย

อีกความชอบของหนังก็คือ ความไม่ได้พยายามให้หนังมีแต่มุกฮาเบาสมองอย่างเดียวครับ ตัวหนังพยายามวางเนื้อเรื่องให้มีความผสมผสานหลากหลายแนว ทั้งความเป็นหนังครอบครัวที่สะท้อนผ่านปมดราม่าของบรรดาตัวละคร โดยเฉพาะการที่ตัวละครหลัก ๆ ล้วนมีปมดราม่าเป็นของตัวเอง ซึ่งตอนแรก ผู้เขียนดูและคิดในใจว่า บทจะแอบยัดเยียดดราม่าเกินไปหรือเปล่า แต่พอเข้ามาเชื่อมโยงถึงเนื้อเรื่องของบรรดาผีที่แฮตบ็อกซ์ต้องการ ล้วนแล้วแต่มีความทุกข์เป็นของตัวเองเป็นการสอนเรื่องของการรับมือกับความสูญเสียคนที่เรารัก รวมทั้งการพยายามมูฟออนจากอดีตได้ดี เอาจริงก็เชยแหละ แต่ก็ยังถือว่าเป็นการผสมโทนหนังเบาสมอง เข้ากับปมดราม่า ผูกปมผสมเรื่องเข้ากับความเศร้าสร้อยของวิญญาณได้น่าสนใจทีเดียว

และแทนที่จะเป็นหนังผจญภัยในบ้านผีแบบดุ่ม ๆ เหมือนเวอร์ชัน 2003 ภาคนี้ตัวหนังก็เลยผูกเรื่องไม่ให้ขังอยู่แต่ในบ้านอย่างเดียว เราก็เลยจะเห็นบรรดาตัวละครออกไปพยายามค้นหาวิธีการปราบผี ก็เลยทำให้ตัวหนังค่อนข้างมีโทนที่ออกมาร่วมสมัยกว่าอย่างเห็นได้ชัด มีการพยายามสอดแทรกกลิ่นอายแบบหนังสืบสวนสอบสวน ไขปริศนาลี้ลับหาต้นตอของบรรดาผี ๆ 999 ตน มีการพยายามออกไปตามหาไอเทมลับบางอย่าง และผูกปมไม่ให้ตัวละครหนีออกไปจากบ้านได้โดยง่าย ก่อนจะค่อย ๆ แทรกความเป็นหนังแก๊งล่าท้าผีในแบบ ‘Ghostbusters’ ที่จริง ๆ แล้วก็ถือว่าทำออกมาได้น่าสนใจทีเดียว

แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับตัวหนังก็คือ ตัวหนังและวิธีการเล่าที่ยังคงหนีไม่พ้นความเป็นหนังสูตรสำเร็จตามสไตล์ Disney นี่แหละครับ ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดบาปอะไรหรอก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่ามันก็ยังเป็นหนัง Disney ที่ขาดความสดใหม่ ไม่อยากจะใช้คำว่ามันเป็นหนังขายเครื่องเล่นนะครับ เพราะอย่างที่ผู้เขียนบอกไปก็คือ ตัวบทก็ยังวางเอาไว้ได้สนุกครบครัน เป็นหนังสไตล์ครอบครัวที่มีทั้งความฮา ดราม่าซึ้ง ดูเพลิน ๆ

แต่สิ่งที่เป็นปัญหาร้ายแรงของหนังเรื่องนี้คือการขาดความแม่นยำของการเล่าเรื่องที่หลุดตั้งแต่การวางโครงเรื่อง การดำเนินเรื่อง และการตัดต่อที่ยังขาดความไหลลื่นตั้งแต่ซีนแรก ๆ เลยด้วยซ้ำ ทำให้ตัวหนังเกิดอาการเหมือนจะลุ้นแต่ก็ขาดห้วง เหมือนจะฮาแต่ก็ไม่สุด เหมือนจะซึ้งแต่ก็ไม่ทันเรียกน้ำตาไปอีก อารมณ์ของหนังที่ได้เลยออกมาไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร ทำให้ความยาว 2 ชั่วโมงกลายเป็นความยาวที่ดูเกินความจำเป็นไปสักหน่อย รวมทั้งความไม่สมเหตุสมผลบางอย่างที่แม้ในหนังจะอธิบายเอาไว้พอสมควร แต่มันก็ยังไม่ค่อยชวนให้ซื้ออยู่ดี

อีกจุดที่ผู้เขียนรู้สึกส่วนตัวก็คือ ผีแฮตบ็อกซ์ ที่พากย์เสียงโดยเฮีย จาเรด เลโท ที่แม้ว่าจะถูกวางตัวให้เป็นผีวายร้ายตัวเป้งประจำเรื่อง แต่กลับเป็นตัวร้ายที่ดูจะมาเร็วไปเร็วโดยที่ไม่ได้มีกิมมิกหรือความน่ากลัวใด ๆ ทั้งสิ้นครับ ถ้าเทียบกับเวอร์ชันแรก ตัวร้ายของเรื่อง (ขอไม่สปอยล์ว่าเป็นตัวละครไหนนะครับ) กลับดูมีเหตุมีผลเบื้องลึก และดูน่ากลัวกว่าผีแฮตบ็อกซ์ ผีซีจีที่กว่าจะโผล่มาก็ตอนท้ายแล้วเสียอีก ถ้าให้แฮตบ็อกซ์มีบทบาท ที่มาที่ไปเอาไว้ตั้งแต่แรก ๆ วางคาแรกเตอร์ให้คนดูรู้สึกกลัว หรือเป็นผีที่ปราบได้ยาก น่าจะมีความชวนลุ้นและน่าติดตามมากกว่านี้

ถ้าจะพูดกันแบบตรง ๆ ก็คือ ดูเหมือนว่าปีที่ 100 ของบ้านมิกกี้เมาส์จะเป็นปีที่แผ่วกำลังไม่น้อยครับ โดยเฉพาะหนังและซีรีส์ส่วนใหญ่ ที่เห็นกันชัด ๆ เลยว่าทำรายได้บน Box Office และคำวิจารณ์ได้ไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่นัก ขนาด ‘The Little Mermaid’ ที่เป็นไวรัลเพราะเป็นกระแสถกเถียงเรื่องความ Woke มาตั้งหลายปีก็ยังทำรายได้ไม่เข้าเป้า พอมาถึงเรื่องนี้ Disney ก็ดันมาปล่อยหนังในช่วงซัมเมอร์ที่มีหนังบล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์เข้าฉายแบบจ่อ ๆ หลายเรื่อง แม้หนังเรื่องนี้จะไม่ได้มีความ Woke อะไร (เพราะเวอร์ชันแรกก็เป็นเรื่องราวของครอบครัวคนดำ หรือไม่เวอร์ชันนี้ก็ซ่อนความ Woke ไว้เนียนมากแบบจับไม่ได้) แต่ด้วยคุณภาพหนัง ก็ชวนให้แอบเป็นห่วงชะตากรรมของหนังเรื่องนี้ และหนังเรื่องต่อ ๆ ไปของ Disney ไม่ได้จริง ๆ

หนังเรื่องนี้จะใช้ทุนราว ๆ 157 ล้านเหรียญ ถือว่าฟอร์มกลางค่อนไปทางใหญ่นะครับ แต่ด้วยกระแส ด้วยตัวหนังเองที่ยังไม่ค่อยพีก และด้วยอะไรต่าง ๆ ก็ชวนให้ผู้เขียนมีความหวั่นใจไม่น้อยว่ามันอาจจะคืนทุนได้ยากจริง ๆ แต่ถึงอย่างไร ผู้เขียนก็ยังอยากแนะนำให้ไปดูหนังเรื่องนี้กันนะครับ เป็นหนังเบาสมองที่แม้จะสูตรสำเร็จสไตล์ Disney ไปหน่อย แต่ก็ยังให้ความบันเทิงได้แบบฮา ๆ เพลิน ๆ มีตุ้งแช่แต่ดูได้ทั้งครอบครัว แต่ก็อีกนั่นแหละ หนังเรื่องนี้ก็ยังอยู่ในข่ายที่ถ้ามีโอกาสดูในโรงได้ก็จะดี เป็นหนังที่ไม่ได้แย่เลย เพียงแต่ว่ามันอาจจะเป็นหนังดิสนี๊ย์ดิสนีย์อีกเรื่องที่ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากเรื่องอื่น ไม่ได้มีเสน่ห์จูงใจให้รู้สึกอยากออกไปดูซ้ำ หรือต่อให้ดูในโรงไม่ได้ รอดูทีเดียวตอนลงใน Disney+ ก็ยังไม่ถึอว่าเป็นเรื่องเสียหายนัก