รีเซต

"ต้อม รชนีกร" ปล่อยโฮ จิตตก ใช้ชีวิตยากหลังทำศัลยกรรม โดนบูลลี่หนัก!

"ต้อม รชนีกร" ปล่อยโฮ จิตตก ใช้ชีวิตยากหลังทำศัลยกรรม โดนบูลลี่หนัก!
EntertainmentReport2
20 ธันวาคม 2566 ( 21:00 )
134

นักแสดงสาวมากความสามารถ "ต้อม รชนีกร" ที่วันนี้จะมาเปิดใจครั้งแรก หลังทำศัลยกรรมยกหน้าในวัย 52 ปี และสาเหตุของการถูกปล่อยภาพหลังจากการทำศัลยกรรมทันที พร้อมเผยความรู้สึกหลังโดนชาวเน็ตบูลลี่หนักจนไม่กล้าออกจากบ้าน ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง วัน31 ที่มี เป็กกี้ ศรีธัญญา และซินแสเป็นหนึ่ง เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

"ต้อม รชนีกร" ปล่อยโฮ จิตตก ใช้ชีวิตยากหลังทำศัลยกรรม โดนบูลลี่หนัก!

พี่ต้อมไปทำอะไรมาบ้าง?
ต้อม : ตัดกราม แล้วก็ดึงหน้า แต่ก็ไม่ได้อย่างที่ออกข่าวมานะว่าไปทำจมูก ไปทำตาเพิ่ม ไม่ได้ทำ

ทำไมถึงตัดสินใจทำศัลยกรรมในครั้งนี้?
ต้อม : จริง ๆ แล้วติดต่อจากโรงพยาบาลมาแล้วเกือบ 3 ปี แต่เราก็ยังก่อน ๆ ยังไม่พร้อม ยังกลัวอยู่ ยังไม่อยากทำ แต่เห็นเพื่อน ๆ พี่ ๆ ก็ไปทำกันมาเยอะแยะ และที่สำคัญด้วยวัย เรามีความรู้สึกว่าถ้าเราเก็บไว้สัก 10 ปี 60 กว่าเนี่ย เราจะไหวไหมกับการไปดมยา ผ่าตัด

ถือเป็นครั้งแรกในการทำศัลยกรรมไหม?
ต้อม : ถ้าถือว่าเป็นผ่าตัดใหญ่ ใช่ค่ะ นอกนั้นก็เป็นผ่าตัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำจมูกก็ไม่ได้หนักหนา แต่อันนี้คือผ่าตัดใหญ่

 

เห็นบอกว่าเดิมทีการตัดกรามเป็นสิ่งที่เราไม่ได้อยากจะตัด?
ต้อม : ไม่เลย ไม่มีในหัวสมอง เพราะกรามน้อยของเรามันดูเซ็กซี่ออก เราชอบ แต่ว่ามันต้องย้อนไปตอนที่เราเป็นวัยรุ่น ที่เราไปฉีดสารเหลวตอนอายุ 20 กว่าที่เรารู้ไม่ทัน แต่ก็ได้เลาะออกไปแล้ว แต่พอเราอายุมากขึ้นมันก็หย่อนคล้อยตาม คุณหมอบอกว่าไม่อยากทำอะไรที่มันเกี่ยวกับสารเหลวที่เหลือ จะเลาะก็กลัวเป็นรอย คุณหมอเลยดีไซน์ว่าขอเป็นการตัดกราม แล้วเอากรามมาต่อคางได้ไหม เพราะถ้าดึงไปเลย โดยที่ยังมีสารเหลวอยู่ หน้ามันจะแบน 
เราก็เลยโอเค ทำก็ทำ

มีแอบหาข้อมูลก่อนไหม?
ต้อม : เล็ก ๆ ค่ะ ไม่อยากเข้าลึก เพราะกลัว ยังไงก็กลัวอยู่ดีที่ต้องไปทำแบบนี้ ทำทุกครั้งบอกเลยว่าใจมันตุ้ม ๆ ต่อมๆ  ทุกครั้ง ต้องสวดมนต์หลายอย่าง

 

ขอบคุณคลิปจากรายการ คุยแซ่บ Show

เริ่มการทำในรอบนี้คือ มีการตัดกราม วันที่ผ่าตัดคือผ่าตัดกรามก่อนอย่างแรกและอย่างเดียว?
ต้อม : ใข่ แต่จริง ๆ แล้วตอนที่อยู่ในสัญญาคือตัดกรามแล้วดึงหน้าเลย แต่เราคิดว่ามันไม่น่าจะได้มั้ง ตัดกรามเขาบอกว่ารอพักฟื้น 3-4 วันแล้วค่อยดึงหน้าเลย แต่พอออกมาเรียบร้อยแล้ว เรามีความรู้สึกว่าการพูดหรืออะไรมันยังไม่โอเค กลัวว่าจะติดปัญหาละคร เพราะตอนนั้นมีถ่ายละคร มนต์รักลูกทุ่ง เราเลยบอกว่า งั้นขอไปถ่ายละครก่อนแล้วกันสัก 4 เดือนแล้วค่อยว่ากัน ค่อยมาดึงหน้า

ณ ตอนนั้นตัดกรามแล้วเอามาใส่คางเลย เข้าไปอยู่ในห้องผ่าตัดนานเท่าไหร่?
ต้อม : ไม่รู้จริง ๆ แต่รู้ว่าน่าจะมีเป็น 10 ชั่วโมงแหละ

ตอนผ่าออกมาเห็นว่าพูดลำบากเลย?
ต้อม : ก็พูดได้นะคะ พอฟื้นคืนชีพมาก็ขอกินน้ำเลย

การพูดระหว่างที่เราทำกรามอยู่มันชัดไหม?
ต้อม : มันจะมีอยู่ช่วงนึงที่มันมีเอฟเฟกต์ เราเพิ่งมารู้หลังจากที่เราทำซึ่งทุกคนจะขำ ๆ มันเป็นเรื่องธรรมดา พูดมันต้องมีปากเบี้ยวบ้าง เราก็อ้าว..เหรอ ฉันต้องถ่ายละคร ฉันต้องปากเบี้ยวทำไง

ตอนนั้นทุกคนเห็นแล้วทักเราไหม ทำไมมันเบี้ยวไป หรือเราเห็นด้วยตัวเราเอง?
ต้อม : มันเห็นด้วยตัวเราเอง ซึ่งมันแก้ไม่ได้ เพราะมันคือเอฟเฟกต์อยู่แล้ว ซึ่งคุณหมอบอกแล้วว่ามันจะมีนะ แต่มันจะมีอยู่แค่ประมาณเดือนนึง ณ ตอนนั้นรู้ก็ตกใจเหมือนกัน เราต้องใช้ชีวิตประจำวันยังไง กังวลใจ เพราะว่ามีช่วงนึงที่มีคลิปหลุดไปว่า เนี่ยเป็นพิษศัลยกรรมที่ทำมา มันเอาภาพอันนั้นไป จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ มันคือเอฟเฟกต์ตรงนี้ มันมีหลายกระแสมากที่ทำให้เรา เห้ย..อะไรเนี่ย

แล้วหลังจากนั้นอีกนานไหมกว่าจะไปดึงหน้า?
ต้อม : ประมาณ 4-5 เดือน เพราะเราต้องถ่ายละครให้จบก่อน แล้วได้พักฟื้นประมาณ 2-3 วัน ถึงได้ไปดึงหน้า

ดึงหน้าต้องวางยาสลบไหม?
ต้อม : วางยาสลบ ถามว่ากลัวไหม กลัวทุกครั้ง คือกลัวที่สุดคือกลัวว่าทำแล้วไม่ฟื้น นั่นแหละคือปัญหา  เรายังมี 2 หน่อต้องดูแล เรียนก็ยังไม่จบ การงานก็ยังไม่มีทำ ถ้าเราไม่ฟื้นขึ้นมาใครจะดูแล 2 หน่อนี่ล่ะ

แบกความกลัวและความหวังไว้ด้วยว่ามันจะดีขึ้นกว่าเดิม?
ต้อม : ใช่ค่ะ ทุกคนทำศัลยกรรม ทุกคนหวังหมดแหละ เราต้องสะกดจิตตัวเองว่ามันต้องสวยนะ ถามว่าเรามั่นใจในฝีมือคุณหมอไหม เรามั่นใจนะคะ ก่อนที่จะตัดสินใจทำ เรารู้อยู่แล้วคุณหมอต้องเก่ง แต่ทุกอย่างมันต้องรอเวลา

ทำออกมาแล้วพอเข้าที่มันสวย แต่ดันมีเรื่อง มีราวก่อน ระหว่างผ่าตัดดึงหน้ามันเกิดเหตุการณ์ขึ้น อย่างที่เราเห็น คือมีการถ่ายคลิป ณ ตอนที่เราทำเสร็จแล้ว?
ต้อม : เอาจริง ๆ ถ่ายคลิป ถ้าถ่ายไว้เผื่อเอาไว้ดูกันในโรงพยาบาล มันเป็นปกติอยู่แล้วที่เขาจะต้องเอาไว้ดู เราก็ไม่ได้คิดว่ามันจะมีภาพหลุด ตัวพี่เองไม่รู้เลย จนกระทั่งนอนได้สัก 4 วันแล้วมีเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่พี่เป็นพรีเซ็นเตอร์อยู่โทรมา เราก็รับเขาพูดว่า เจ๊เนี่ยหนูเห็นคลิปแล้วนะ เราก็ตกใจ คลิปอะไร เราไม่รู้เรื่อง ผู้จัดการก็ไม่บอก แฟนก็ไม่บอก โทรศัพท์เราก็ไม่ได้รับใดๆ อยู่แล้ว จนกระทั่งน้องคนนี้ฌทรเข้ามา มันจะมีปัญหาไหมเจ๊กับผลิตภัณฑ์ที่เราจะนู้นนี่นั่น ทำไมเขาจะต้องแต่งหน้าขนาดนั้นด้วย หนูไม่เข้าใจเลย คือเจ๊ไม่มีฝ้า ไม่มีกระ ใดๆ เลย แล้วอย่างนี้มันจะกระทบกับครีมของน้องไหม เราก็เอาแล้วมันเกิดอะไรขึ้น เราก็บอกโอเค ขอเจ๊ดูก่อนนะ เดี๋ยวเจ๊จะบอกให้ พอวางสายเสร็จ คุยกับผู้จัดการว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาบอกมันมีคลิปออกไปตั้งนานแล้ว

ในคลิป คือ ณ ตอนนั้นพี่ต้อมสลบอยู่?
ต้อม : ใช่ค่ะ

เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าเราบ้างที่เราเห็นแล้ว เห้ย?
ต้อม : เอาจริง ๆ พอหลังจากรู้ให้เขาเอามาให้ดู แต่เราแหกตาดูได้แค่นี้ เพราะตามันปิดหมดเลย เป็นคลิปที่ทุกคนอาจจะเห็นแล้ว ที่แบบนอนหลับตาอยู่แล้วหน้าตึงๆ เจ๊เห็นแค่คลิปนั้นจริงๆ เลยบอกว่าในเมื่อมันหลุดไปแล้ว มันก็ทำอะไรไม่ได้ เราก็เลยช่างมันเถอะ คงไม่มีอะไร แต่ที่ผู้จัดการเล่าให้ฟัง เขาได้มีการคุยกับทางโรงพยาบาลว่า ถ้าหลังจากนี้ไป ถ้าจะมีคลิปอะไรใดๆ ออกไป ขอดูก่อนนะ ไม่ว่าจะเป็นตัวพี่ต้อมเองหรือผู้จัดการ เขาก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน จริง ๆ ผู้จัดการไม่ได้รู้ก่อนนะคะว่ามีอะไรด้วยซ้ำ แฟนคลับเจ๊เป็นคนส่งไปให้เขาดูว่าอันนี้ใช่พี่ต้อมหรือเปล่า แล้วทำไมถึงปล่อยให้มีภาพนี้หลุดออกไปได้ยังไง เขาถึงได้มานั่งรื้อดูว่ามันมีแบบนี้ด้วยเหรอ ก็เลยโทรมาทางโรงพยาบาลว่าขออนุญาตได้ไหมว่าเอาออก หรือไม่ก็ซ่อน ทางโรงพยาบาลก็บอกว่าจะซ่อนให้ เขาเล่าให้เราฟังแค่นี้นะ เราก็คิดว่ามันคงจบแล้ว ภาพที่หลุดไปแล้วก็หลุดไป แต่สุดท้ายหลังจากนั้น 2 อาทิตย์ เรามีการถอดแม็กซ์บนหัว ถอดแม็กซ์ไปแล้ว ถ่ายคลิปไปแล้ว ก็ยังมีขอถ่ายคลิปอยู่ คือมีการคุยไปเรียบร้อยแล้วนะที่โรงพยาบาลว่าหลังจากนี้ถ้ามีอะไร เราขอดูคลิป ขอดูรูปก่อนนะ แต่ก็ยังไม่ได้คิดอะไร ในเมื่อเขาขอถ่ายตรงนี้เราก็ให้ถ่าย คิดว่ามันน่าจะไปลงเอยตอนที่เราหน้าสวยแล้ว แล้วเอาอันนี้มาโปรโมทใช้พร้อม ๆ กัน แต่ไม่ ลงระยะเวลานั้นพอดี ซึ่งไม่ไดเเป็นตามข้อตกลงที่คุยกันไว้ว่า ขอดูก่อนนะ แต่พอหลังจากนั้นอีก มีช็อต้ด็ดอีก  ผู้จัดการกับแฟนเอามาให้ดูว่ามันมีภาพที่เพิ่งออกจากห้องผ่าตัด น่าจะยังอยู่ในห้อง ไอซียู ที่มันมีเครื่องช่วยต่างๆ ซึ่งอันนั้นช็อกมาก เรามีความรู้สึกแบบ คือไม่ได้ว่าเขานะคะ เราเข้าใจแหละโรงพยาบาลเขาอยากทำข่าว ทำกระแส หรืออะไรใด ๆ แต่มันมากระทบที่เราแล้ว ตอนแรกเราไปเดินห้าง เอาลูกไปกินข้าว เราใส่หมวก ใส่แว่น ซึ่งเราคิดว่าคนไม่ได้สนใจ คงไม่จำหรอก เพราะว่าเราคิดว่าเรามีแคาภาพนั้น แค่นอน แต่ปรากฏว่าพอกินข้าวกับลูกเสร็จ เสร็จทุกอย่าฃหมดแล้ว เดินขึ้นบันไดเลื่อน ก็มีซุ่งขายของ เรายังพูดกับลูกเลย เขาจำแม่ไม่ได้หรอกลูก หน้าบวมขนาดนี้เขาต้องจำแม่ไม่ได้แน่นอน พอเดินอ้อมบันไดเลื่อนกำลังจะขึ้น หันไปมอง พนักงานขายจากที่อยู่คนละซุ่ม หัวติดกัน เราแบบ..เรียบร้อยแล้ว มันคือการใช้ชีวิตลำบากสำหรับเรามาก ที่เขาเอาภาพพวกนี้ไปออกก่อนที่เราจะสวย ถ้ามันสวยแล้วเอาภาพพวกนี้มาประกบ เราจะไม่ใช้ชีวิตลำบากเลย ตอนนี้เราจะไปไหน คือเป็นจุดที่คนพร้อมจะมองแล้วแบบบูลลี่ตลอดเวลา

จิตใจตอนนี้มันแย่แค่ไหน?
ต้อม : มันตกค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนดารา ทุกคนจะบอกว่า ทำไมเธอไปออกอย่างนี้ ฉันไม่ได้เป็นคนออก ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำ คือภาพที่นอนเป็นผัก นั่นคือเป็นอะไรที่เราช็อกมากนะว่าแบบมันออกไปได้ยังไง คือมันเหมือนศพ เราเข้าใจแล้วว่าทำไม fc เราถึงได้โทร"มาปรี๊ดกับทางผู้จัดการ ซึ่งจุดนี้คือพูดนะคะ ไม่ใช่ไม่พูด ว่าแบบขอตอนที่เราสวยเลยได้ไหม เพราะว่าเราก็มี fc เราอยู่ แล้วบอกเลยว่า fc เราทุกคนอยากเห็น ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพอะไรก็แล้วแต่ เขาอยากเห็นเราสวย เพราะเราอยู่ในใจเขาที่เป็นแบบนั้น แต่พอเขามาเห็นสภาพเราเป็นแบบนี้ ทุกคนจะบอกว่า จะหน้าเหมือนเดิมไหม หน้าเก่าก็ดีอยู่แล้ว ทำไมไปทำ คือมาแบบกระหน่ำมาก

เวลาเห็นคอมเมนต์ไม่ดี มันมีผลต่อจิตใจเราขนาดไหน?
ต้อม : มันก็แย่นะ เราเข้าใจ มีทั้งคนรักและคนเกลียด ไม่ต้องบูลลี่ขนาดนี้ก็ได้ แค่นี้ก็ช้ำพอแล้ว แต่เราก็ไม่ตอบโต้ ไม่อ่านด้วย

ถ้าจะบอกคนที่คอมเมนต์ พี่ต้อมอยากบอกว่าอะไร?
ต้อม : เท่าที่เห็นก็คือทุกคนให้กำลังใจนะคะ แต่ทุกคนอยากให้กลับไปเหมือนเดิมมากกว่า อย่างที่บอกว่าสวยตกใจ ก็โอเคเข้าใจแหละ คุณอาจจะตกใจช่วงแรก ซึ่งไม่ใช่แค่คุณหรอกที่ตกใจ พี่ก็ตกใจเหมือนกัน พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่จะได้กลับไปอยู่ในสภาพเดิมเมื่อไหร่ แต่ทุกคนจะบอกให้กำลังใจว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3 เดือน เราก็หวังเหมือนกัน

ตอนนี้มันมีผลกระทบกับการใช้ชีวิตเรายังไงบ้าง?
ต้อม : ไม่ว่าจะเป็นลูก เพื่อนลูกก็ถาม อย่างลูกก็ถาม รู้ว่านางแกล้ง อุ๊ย...ใครเนี่ย หน้าตาตื่นตกใจนะแม่นะ สักพักก็จะตบหัวแล้วลูบหลัง แม่หนูดูด้านข้างแล้วเนี่ย ถ้าแม่หาย แม่ปั๊วะมากเลยนะ  ส่วนลูกชายกอดแม่ได้หรือยัง กอดแล้วแม่จะเจ็บไหม แต่ถ้าใช้ชีวิตลำบากก็เนี่ยเป็นช่วงนี้ที่เราต้องมีการแปลงร่างบ้าง แอบบ้าง ปกปิดบ้าง เวลาออกไปไหนก็ลำบากที่จะออกไปนั่งกินแล้วปิด

พอลูก ๆ ให้กำลังใจเราแบบนี้เรารู้สึกยังไงบ้าง?
ต้อม : เราก็รู้แหละ ไม่ว่าเราจะหน้าดี หน้ายังไง คนที่อยู่ข้างเราลูก ผู้จัดการ แฟนอยู่แล้ว เราก็รู้แหละ ทุกคนให้กำลังใจ อยากให้มันดีขึ้น

เห็นว่าเพื่อนลูกก็มีพูดด้วย?
ต้อม : อันนั้นลูกมาเล่าให้ฟัง เพื่อนบอกว่าข่าวแม่แกมันไปเยอะมากเลยนะ ทำไมมันดราม่าขนาดนี้ แม่แกจะหน้ากลับมาเหมือนเดิมไหม เราก็แบบ วี่ วี่ไม่ต้องเล่าให้แม่ฟังก็ได้ แม่เสียใจ นางก็บอกว่าแม่ นางก็พูดไปอย่างนั้นแหละ แม่จะไปสนใจอะไรกับมัน แล้วบอกว่าถ้าแม่หายดีเมื่อไหร่ เพื่อนขอมาหานะ

ตอนออกไปข้างนอกต้องปิด ต้องบังตัวเอง มีความรู้สึกไหมว่าไม่อยากออกไปเลย กลัวคนมองเรา?
ต้อม : มี มีมากถึงมากที่สุด คือจะลงจากรถต้องถามแล้วว่า ใส่แมสก์อันนี้ดีไหม ใส่แว่นอันนี้ดีไหม ใส่หมวกอันนี้ปิดไปถึงไหน แม้กระทั่งผมที่ไม่เคยตัดมา 20 กว่าปีก็ต้องตัด เพื่อเอามาปิดไว้

แสดงว่า ณ วันนี้เวลานี้ พี่กังวลใจไปทั้งหมดในการออกนอกบ้าน?
ต้อม : กังวลใจมาก แล้วไม่ใช่แค่ออกนอกบ้านนะ กังวลใจไปถึงงานอะไรใด ๆ ที่ ณ ตอนนี้มันกระทบ เพราะงานที่เราคุยกันไว้ ติดต่อกันไว้ ง่าย ๆ เลย มันจะมีงานพรีเซ็นเตอร์ที่คุยไว้ก่อนก็มี เดี๋ยวอะไรใดๆ เสร็จแล้วเรามาเซ็น ก็หาย บายบ๊ายไปเลย 2 งาน ซึ่งแบบตรงนี้ใครรับผิดชอบ มันไม่ใช่น้อยๆ ด้วยนะคะ แต่ก็ไม่รู้จะไปเรียกร้องใคร ถึงได้บอกว่ามันค่อนข้างจะกระทบพอสมควร

มันยากไหมที่จะฮีลใจ ปกป้องความเป็นเรา เอาหน้าให้คนทั้งประเทศเห็น?
ต้อม : บอกตรง ๆ ณ ตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะให้เห็นด้วยซ้ำ

ทำไมถึงตัดสินใจออกมาสู้กับเรื่องนี้?
ต้อม : มันหลายกระแส เยอะมาก เข้าใจนะ ทางโรงพยาบาลต้องการออกมาช่วยแก้ข่าว ต้องการออกมาช่วย แต่ยิ่งแก้มันก็เหมือนยิ่งไปกันใหญ่ รู้ไหมว่าการที่เขาใช้ชีวิต เขาใช้ชีวิตของเขาลำบากมากเลยนะ ในแต่ละวัน เขาจะออกไปไหน เขาต้องติดเทป ไม่ใช่ค่ะ ตรงนี้ขอปฏิเสธก่อนเลย ที่บอกว่าติดเทป เรารู้กันอยู่ เราเป็นดารา นางแบบ การติดเทป บางทีเราถ่ายแบบเรายังต้องคิดเทปพยุงนม ติดเทปดึงตา ดึงคาง ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ แต่ถามหน่อยเราสามารถดึงเทปได้ทั้งวันไหม ชั่วโมงนึงเราก็เจ็บแล้ว จะบอกว่าบางทียิ่งแก้ข่าว มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ ณ ตอนนี้มีความรู้สึกว่าไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว มันก็ต้องออกมาพูดบ้าง ไม่งั้นมันจะแบบใช่ ไม่ใช่ อยู่อย่างนี้ เจ๊ไม่ได้ว่าอะไรเกี่ยวกับโรงพยาบาล เข้าใจตรงนี้เขาต้องทำอยู่แล้ว แล้วอยู่ในสัญญากับเขาที่เราจะต้องทำ ต้องเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่แบบมันกลายเป็นด้วยระยะเวลาที่มันออกมาที่มันไม่พอดีเวลากัน มันเลยทำให้ชีวิตของเรามันแย่ไปในช่วงเดือนนึง บอกเลยว่ามันจิตตก

ณ ตอนนี้กี่เดือนแล้ว?
ต้อม : เดือนนึงพอดีค่ะ

พี่ต้อมอยากบอกอะไรกับคนที่มาบูลลี่?
ต้อม : เข้าใจทุกคน มันก็นานาจิตตัง แต่ก็อยากให้เข้าใจเราด้วย เราก็ไม่อยากเป็นแบบนี้หรอก ไม่อยากให้ใครพูดถึงเราแบบนี้หรอก แล้วเราก็ไม่อยากให้ใครเห็นภาพเราเป็นผักแบบนั้นเหมือนกัน แม้แต่ตัวเราเองเราก็ไม่อยากเห็น ก็ต้องขอโทษทุกคนที่อาจจะเห็นภาพอะไรที่ตัวเองอาจจะไม่ปลื้ม แต่ก็ขอบคุณทุกๆ คนเหมือนกันที่ให้กำลังใจ

เห็นบอกว่ามีอีกคนที่คอยดูแล ประกบใกล้ชิดเลย นี่คือแหล่งพลังงาน ความสุขทางใจได้ดีเลย นั่นคือคุณแฟน เขาดูแลยังไงบ้าง?
ต้อม : ก็มียิงมุก เล่นอะไรประหลาด ๆ ไม่ให้เราหัวเสีย จิตตก ตอนที่นอนโรงพยาบาล ทานอะไรไม่ได้ นางก็เอาไซริ้งมาป้อนน้ำ ป้อนโจ๊ก เพราะเราอ้าปากไม่ได้ แล้วจะไปหาอะไรที่คิดว่าคุณแฟนทานได้ กินแล้วน่าจะกระชุ่มกระชวย ขับรถไปไกลขนาดไหนก็ต้องรีบไปซื้อแล้วมาป้อนที่โรงพยาบาล เขาช่วยทุกอย่าง

พี่ต้อมรู้สึกไหมสิ่งที่เขาพยายามทำให้เรา เราก็รู้สึกเห็นใจเขา?
ต้อม : เคยถามว่าถ้าหน้ากลับมาไม่เหมือนเดิม แกจะยังรักฉันอยู่ไหม เขาบอกว่ามันไม่เกี่ยว ตรงนี้ไม่ต้องคิด ตรงนี้มันทำให้เราไม่โอเค มันอยู่ตรงที่ใจ

วันนี้พี่ต้อมอยากบอกอะไรแฟนพี่บ้าง?
ต้อม : ขอบคุณค่ะ ขอบคุณที่อยูีกันมา แล้วก็ตั้งแต่อยู่กันมา 5 ปีนี้เคยทะเลาะกันแค่ 2 ครั้ง เราชวนทะเลาะนะ ไม่ใช่เขา ขอบคุณค่ะที่เป็นคนดี แล้วเป็นคนที่น่ารักมาตลอด

ทำไมไม่ดปิดตัว?
ต้อม : เคยถามแล้วค่ะ เขาบอกว่าให้เห็นของสวยๆ งามๆ คนหล่อ คนสวยในทีวีเถอะ อย่าเอาเขาเข้าไปเลย

พี่ต้อมรู้สึกงอนบ้างไหมที่เขาไม่เปิดตัว?
ต้อม : ไม่รู้จะงอนทำไม เพราะปกติเขาจะเป็นแนวติสท์ๆ อยู่แล้ว ไม่ค่อยยุ่งกับใคร

หรือพี่ต้อมรู้สึกว่าอยากมีชีวิตส่วนตัวที่เงียบ ๆ ด้วยหรือเปล่า?
ต้อม : ก็ไม่นะ อยากโชว์อยู่ แต่เขาไม่มา

อยากได้ข้อสรุปกับเรื่องนี้กับการที่เร่ไปทำตรงนี้ แล้วมันมีการดิวกันที่ไม่ชัดเจน ที่เรารู้สึกไม่โอเค หรืออะไรก็ตามที่มันสะเทือนใจเรา ที่เรารู้สึกว่าอันนี้มันไม่ได้ ครั้งนี้เราได้บทเรียนอะไรบ้าง?
ต้อม : ได้บทเรียนนะคะ ถือว่าเยอะแหละ อย่างที่เราคิดว่าเราทำสัญญา เขียนสัญญามันก็เหมือนกับทุก ๆ คน ทุก ๆ ที่ เหมือนกับดาราหลาย ๆ คนที่ทำ คือเราจะต้องสวยก่อน แล้วถึงออกมาให้คนเห็น แล้วภาพจริงๆ ที่มันออกไป อยู่ห้องไอซียู ห้องผ่าตัด จริงๆ มันก็เอาออกไม่ได้อยู่แล้ว เพราะนั่นมันคือการผิดกฎหมาย เราไปเตอตรงนั้น เราก็ช็อกเหมือนกัน โอเคหลังจากนี้ไป เราต้องทำทุกอย่างให้มันชัดเจน เพราะเราไม่รู้หรอกสังคมยุคนี้มันทุกอย่างมันเร็วไปหมด มันออกตามสื่อไปหมด ก็ถือว่าเป็นบทเรียน

ศัลยกรรมในครั้งนี้พี่เข็ดไหม?
ต้อม : มันไม่ได้เข็ดหรอก จะเอาคำว่าเข็ดก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเรายังไม่รู้เลยว่ามันจะออกมาเป็นยังไง แต่เรามั่นใจว่าสวย แต่เราต้องรอบคอบกว่านี้ในการคุยกัน

ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama