จำได้ไหม! ดาราเด็กยุค 90 ตูมตาม วศิน ไปทำอะไรอยู่ที่อเมริกา
จำได้ไหม! ดาราเด็กยุค 90 ตูมตาม วศิน ไปทำอะไรอยู่ที่อเมริกา
จำได้ไหม! - ดาราเด็กยุค 90 ตูมตาม วศิน มีปรีชา ลูกชายของนักแสดงรุ่นใหญ่ ต้อย พิราวรรณ ที่โด่งดังในบท ลูกหมู ละครเรื่อง แรงรัก เข้าวงการมาตั้งแต่อายุ 2 ขวบครึ่ง
ล่าสุด ตูมตาม ได้ให้สัมภาษณ์กับข่าวสดบันเทิงออนไลน์ เล่าจุดเริ่มต้นเข้าวงการบันเทิง ได้รับเล่นละครแบบฟลุคๆ ทั้งๆ ที่คุณแม่ไม่อยากให้เป็นดารา อีกทั้งยังเปิดใจถึงการตัดสินใจทิ้งวงการ ไปเป็นเชฟอยู่ที่อเมริกา
จุดเริ่มต้นการเป็นดาราเด็กยุค90? "ตอนนั้นคุณแม่ถ่ายละครของดาราวิดีโอ เหมือนแม่บ้านไม่อยู่ แม่เลยต้องเอาไปเล่นที่กองถ่าย ปรากฎว่าเขาเปิดละครเรื่องหนึ่งแล้วเขาไม่มีดาราเด็ก เลยมาขอคุณแม่ว่าเอาลูกมาเล่นได้ไหม แต่คุณแม่ไม่ยอม เพราะแม่ไม่อยากให้ลูกเป็นดารา สองคือเขากลัวว่าเด็กจะงอแงทำให้ถ่ายละครไม่ได้
แล้วบังเอิญว่าพี่ที่ทำธุรกิจกองถ่ายสนิทกับแม่บ้าน เขาเลยใช้วิธีที่ว่าพอคุณแม่ออกไปทำงานปุ๊บ เขาก็แอบเข้ามารับเราไปเล่น ซึ่งเรื่องนี้คุณแม่ก็เล่นด้วย แต่คุณแม่ก็เห็นว่าเด็กในรูปที่พระเอกนางเอกอุ้มหน้าตาเหมือนลูกเราเลย แต่คงไม่ใช่หรอกมั้ง เพราะคิดว่าคงอยู่ที่บ้านแหละ พอถ่ายจบแล้วคุณแม่ถึงมารู้ว่าเขาเอาเราไปเล่น"
คุณแม่โกรธไหมที่เอาลูกชายไปเล่นละคร? "คุณแม่เขาก็เหมือนจะโกรธ แต่เขาก็ไม่โกรธหรอก เขาแค่เกรงใจ เพราะเขากลัวว่าเอาลูกไปแล้วจะทำให้คนอื่นเสียเวลาหรือเปล่า สมัยนั้นเราก็จำอะไรไม่ได้ แต่ทุกคนบอกว่าเราเป็นเด็กที่ไม่ร้อง ไม่งอแง เขาก็เลยให้เราเล่นต่อมาเรื่อยๆ"
ตอนนั้นมันเป็นเรื่องสนุกที่แปลกใหม่ หรือเรื่องยากสำหรับเรา? "จำความได้ ก็อยู่ในกองถ่ายแล้ว ฉะนั้นเราจะไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกใหม่ รู้แค่ว่าเสาร์ อาทิตย์ เราจะไม่ค่อยได้ดูการ์ตูน เราจะไม่ได้หยุดเหมือนเด็กคนอื่นเขา ต้องถามดารายุค 90 ครับ ทุกคนจะรู้ว่าถ่ายละครมันไม่ได้สะดวกสบายเหมือนสมัยนี้
สมัยนั้นคือถ้าเราไปถ่ายนอกโลเกชั่นจริงๆ ไปต่างจังหวัด เข้าไปถ่ายในป่า ดาราสมัยนั้นจะปูเสื่อนั่งกินข้าวจริงๆ มันไม่มีที่ให้นั่งพักครับ อาหารสมัยเก่าก็เป็นข้าวกล่อง อาหารถุง แต่สมัยนี้เราเห็นก็รู้สึกว่าก็ดีนะ สะดวกสบายขึ้น อย่างน้อยก็มีแก้วของใครของมัน เวลาทานข้าวก็มีโต๊ะ"
เคยถามคุณแม่ไหมว่าทำไมไม่อยากให้เป็นนักแสดง? "ไม่เคยถามครับ เพราะเขาเคยบอกแล้วว่าดาราเด็ก สมัยก่อนเขากลัวเราไปงอแง เขากลัวว่าจะทำให้ชาวบ้านเสียงาน เสียเวลา เขาเกรงใจเพื่อนร่วมงาน เพราะถ้าเกิดเรางอแงไม่ยอมถ่ายขึ้นมา เขาเสียเวลา"
เล่นละครตั้งแต่ 2 ขวบ จนมาถึงอายุเท่าไหร่? "ถึงประมาณ 12 ปีครับ"
ช่วงวัยรุ่นอยากที่จะรับบทที่ท้าทายขึ้นไปในบทพระเอก หรือบทอื่นๆ? "สมัยนั้นไม่รู้สึกเลย เพราะว่าเรารู้ว่าเราต้องทำงาน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกที่อยากจะไต่เต้าขึ้นไปขนาดนั้นครับ เวลาเราไปหาผู้ใหญ่หรือพี่ผู้กำกับฯ เขาก็จะบรีฟว่าเราต้องเล่นแบบไหน เขาจะธิบายนิสัยตัวละคร เราก็ต้องทำตาม แต่เราไม่ได้รู้สึกว่าโตขึ้นไปต้องไปเป็นคนนั้น ตอนนั้นไม่มีความคิดเรื่องพวกนี้เลย"
เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วยมันกดดัน และต้องจัดสรรเวลาอย่างไร? "อย่างตอนไปโรงเรียน ช่วงเช้าเราก็ไปเรียน แต่บางทีเราจะกลับบ้านเร็วขึ้น และในวันเสาร์ อาทิตย์เราก็ต้องถ่ายละครเต็มวันอยู่แล้ว วันธรรมดาเราจะกลับบ้านไวขึ้น เพราะบางทีเราต้องเข้ากองตอนเย็นหลังเลิกเรียน
แต่ถ้าช่วงไหนเราเล่นหนังใหญ่ หรือละครที่รีบออนแอร์จริงๆ เราก็จะต้องหยุดเรียนบางวัน หรือไม่ก็เข้าไปเรียนช่วงเช้า พอบ่ายสองเราก็ออกมาเร็วขึ้น และช่วงไหนที่ว่างคือเราต้องไปเรียนพิเศษ เรียน 5 โมงเย็น ถึง 2 ทุ่มทุกวัน"
มันยากสำหรับเราไหมในวัยนั้น? "มันไม่เชิงว่ายาก แต่มันรู้สึกน่าเบื่อเพราะว่าวันหยุดเราไม่ได้หยุด เราไม่เคยได้หยุดเสาร์ อาทิตย์นั่งดูการ์ตูน เราจะได้ดูเฉพาะตอนที่เราไปถ่ายละคร ถ้าเกิดถ่ายในที่ที่เป็นบ้านคนในช่วงที่ยังไม่ถึงคิวถ่าย
แต่ถ้าไปนอกสถานที่เราก็ไม่ได้ดู ตอนเด็กๆ ก็อยากจะดูการ์ตูน งอแงครับ อย่างเพื่อนไปเที่ยวกันเสาร์ อาทิตย์เราก็ไม่ได้ไป ส่วนมากก็วันหยุดเราไปถ่ายละคร ส่วนวันที่เรียนกลับมา เราก็ต้องไปเรียนพิเศษต่อ"
มันดีใจ ภูมิใจไหม เวลาที่เราทำงานมาได้เงิน เอาไปซื้อของที่เราอยากได้ในวัยเด็ก? "สมัยนั้นเอาตรงๆ ไม่ค่อยรู้สึก เพราะตั้งแต่จำความได้กิจวัตรเราจะเป็นอย่างนี้ตลอดเป็น 10 ปีนั่นแหละ เราจะได้แค่รู้สึกว่า มันดีตรงที่ว่าเราได้ประสบการณ์มากกว่าชาวบ้าน ได้มีความรับผิดชอบมากกว่าชาวบ้าน และมีประสบการณ์ที่บางคนเขาไม่ได้มีแบบเรา
อย่างใครจะได้ไปเที่ยวตอนที่สวนสนุกเขาปิดบ้างล่ะ เราไปถ่ายละครตอนที่สวนสนุกเขาปิด หรือว่าก่อนที่เขาจะเปิด เพราะว่ามันไม่มีคน หรือเราจะได้เข้าห้างก่อนที่เขาจะเปิดครับ"
ในวัยเด็กมีชื่อเสียง เพื่อนตื่นเต้นไหมที่มีเพื่อนเป็นดารา? "ส่วนมากไม่มี มามีตอนม.ต้นกับตอนมหาวิทยาลัย ว่าเป็นอดีตดาราเด็กนี่หว่า แต่ถ้าตอนเด็กรุ่นปฐมไม่มีครับ เพราะเราเห็นเรารู้จักเพื่อนกันตั้งแต่อนุบาลเลยไม่มีความรู้สึกพิเศษ หรือตื่นเต้น แต่จะมาตื่นเต้นตอนที่เราเข้าม.ต้น"
รู้สึกอิ่มตัวในการแสดง ถึงหันหลังให้วงการ? "จริงๆ ไม่ได้หันหลังให้วงการนะ แต่เราเรียนโรงเรียนรัฐบาลตอนม.ต้น ตอนถ่ายละครก็จะมีแค่เสาร์ อาทิตย์ แล้วมันเป็นช่วงที่เราไม่ได้โต แล้วก็ไม่ได้เด็ก ช่วงนั้นมันจะไม่มีบทให้เราเล่นอยู่แล้ว
แต่ก็มีบ้างนะที่ติดต่อมาให้เราไปเล่น ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง คุณแม่ก็ปฏิเสธงานจนผู้ใหญ่เข้าใจว่าคุณแม่อยากให้ลูกไปเรียนมากกว่า เอาง่ายๆ ก็เหมือนกับว่าติดต่อจนเราไม่รับ แล้วเขาก็ยกเลิกไปเอง ถ้าเกิดไปรายการเราไปได้นะ เพราะว่าเราไม่ติด ส่วนมากรายการจะอัดตอนเย็น หรือไม่ก็เสาร์ อาทิตย์"
ช่วงที่แม่ปฏิเสธงาน เราอยากจะไปเล่นละครมั้ย? "ช่วงนั้นเราไม่รู้สึก เหมือนว่าเราได้พักแหละ"
ตอนนั้นเริ่มรู้ตัวเองว่าไม่ได้อยากเดินสายนี้ในอนาคต? "ด้วยความที่บางทีเราก็รู้สึกอยากทำอาชีพอื่น แต่ว่าถ้าเกิดให้ไปเล่น เราก็เล่นได้ เพราะเราชินแล้ว ถามว่าเราอยากทำอาชีพอื่นไหม ตอนนั้นที่เราเรียนเราก็พยายามเลือกว่าเราอยากจะเป็นอะไร"
พอโตขึ้นมาพ่อแม่สนับสนุนอาชีพอื่น? "คือผู้ใหญ่ชอบพูดว่า เขาอยากให้เรามีอาชีพที่มั่นคง เพราะบางทีเราก็ไม่รู้ว่าเราจะถ่ายละครได้ถึงเมื่อไหร่ เราอาจจะไม่ได้ถ่ายแล้วก็ได้ แม่เขาก็เลยอยากให้เรียนมากกว่า อยากให้ทำอาชีพที่เราอยากทำมากกว่า เพราะว่าละครมันไม่ได้เป็นอาชีพที่เราเลือกเอง เรามีโอกาสได้เข้าไปเล่นตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ใช่โอกาสที่เราเลือก
แต่ตอนมหาวิทยาลัย เราก็มีละครนะ พอได้กลับไปเล่นเราก็รู้สึกดี และรู้สึกว่าจริงๆ เราก็ชอบละคร เราได้เปลี่ยนคาแร็กเตอร์ตัวเองไปเรื่อยๆ แต่อีกฟีลนึงคือเรายังเด็กด้วย เราติดเพื่อนมากกว่า ถ้าให้ไปเล่นก็เล่นนะ มันคนละอย่างกัน บอกไม่ถูก"
จุดเปลี่ยนที่ตัดสินใจไปทำงานต่างประเทศ? "พอจบมหาวิทยาลัยปุ๊บ เหมือนเราต้องดูว่าเราต้องเรียนต่อ เราก็ได้ไปฝึกงานที่อื่น แล้วบริษัทเขาก็แนะนำว่าถ้าอนาคตอยากจะไปให้โตมากกว่านี้ แนะนำให้เราจบนอกดีกว่า ตอนนั้นเราเรียนนิเทศน์โฆษณา ก็เลยมาอเมริกา ตอนนั้นก็มาเลือกเรียนภาษาก่อน แต่ก็ยังเลือกไม่ได้ว่าจะทำอะไร เสร็จแล้วพี่สาวเป็นคนอยากเรียนเชฟ แต่ไปๆ มาๆ แกก็แต่งงานและไม่ได้เรียนเชฟ
แต่แกจะเป่าหูผมทุกวันว่า ตามชอบทำอาหารตั้งแต่เด็กไม่ใช่เหรอลูก อาชีพเชฟก็เป็นอาชีพที่น่าสนใจนะ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่อยากให้เรียน สมัยนั้นในเมืองไทยอาชีพเชฟยังไม่ดัง แต่เราก็รู้จักเชฟหลายๆ คน เราดูทีวีเราก็อยากทำอาหาร จนสุดท้ายก็ขอที่บ้านได้ พี่สาวขอได้ก่อน แต่พี่สาวไม่ได้เรียน"
พอได้เข้าไปเรียน มีความสุขกับการทำอาหาร? "ชอบทำอาหารอยู่แล้วครับ ตอนนั้นเราเรียนไปด้วย และทำงานพาร์ตไทม์ด้วย หลังๆ เราก็ได้เข้าไปทำในครัว ด้วยความที่เราอยู่ที่บ้านเราก็ทำอาหารปกติ แต่เราไม่ใช่โปรเฟสชั่นแนล จนเราเข้าไปทำงานในร้านอาหาร พี่ๆ เขาก็สอน แล้วเราก็ได้เรียนรู้ว่าทำอาหารมันไม่ง่าย คือทำที่บ้านเราทำได้
แต่พอเป็นอาชีพจริงๆ แล้ว พี่ๆ เขาเหนื่อยนะ แล้วพอเราได้มาสัมผัสมันเหนื่อยจริง แล้วพอเราได้ไปเรียนแล้วเราจะมีประสบการณ์จากที่เราไปทำ แต่พอไปเรียนในระบบของฝรั่งแล้ว เขาก็สอนวิธีทำที่ถูกต้อง มันเลยทำให้เราเข้าใจหลักการของเขามากขึ้นในการปรุงอาหาร
ถามว่ายากไหม ยากด้วยความที่เราเรียนภาษาอังกฤษ แต่คำที่เขาใช้คือศัพท์ฝรั่งเศส ซึ่งเราไม่ถนัดเลย เขาจะพูดเป็นว่าเราต้องทำยังไง บางทีเราฟังแล้วไม่เข้าใจ จนเพื่อนอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ แล้วบางทีสอบข้อเขียนเขาเขียนเป็นศัพท์ฝรั่งเศสมา เราเข้าใจนะว่าคืออะไร แต่เราก็เขียนเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย จนสุดท้ายอาจารย์เขาก็บอกทำไมไม่ตอบเป็นภาษาฝรั่งคำนี้ เราเลยต้องท่องศัพท์มากขึ้น"
เรียนทำอาหารชาติไหนบ้าง? "เราเรียนเป็นของฝรั่งเศสนะ แต่เขาก็สอนแบบอินเตอร์เนชั่นแนล คือมีอาหารหลายประเทศด้วย มีอาหารอเมริกัน อาหารสเปน อาหารอินตาเลี่ยน แต่ตอนนี้เราไปลองทำงานในร้านอาหาร ที่เราเข้าไปในครัวมันเป็นร้านอาหารไทยครับ"
ตอนนี้เรียกเชฟได้หรือยัง? "ตอนนี้ก็คือเป็นเชฟแล้วครับ"
ก่อนเป็นเชฟผ่านงานก้นครัวมาก่อน? "จริงครับ ต้องมีประสบการณ์มาก่อน ถ้าเกิดเป็นเชฟอาหารฝรั่งทุกอย่างที่เราทำเราต้องเตรียมเอง แม้กระทั่งผัก เนื้อสัตว์ ทุกอย่างต้องทำเอง เตรียมเอง ทำซอสขึ้นมาเอง และปรุงเองทุกอย่างเลย ถ้าเกิดเป็นร้านอาหารไทยในวงการจริงๆ แล้ว เขาจะมีคนเตรียมทุกอย่างไว้ให้
ทุกคนที่เป็นเชฟเขาจะต้องรู้ว่าต้องเตรียมอะไรยังไง ก่อนที่จะมาเป็นอาหารแบบนี้ แล้วตอนนี้เรามาเป็นเชฟในร้านอาหารรุ่นน้องเราก็ทำเองครับ แม้มีคนมาช่วยเราทำทุกอย่างก็จริง แต่เราก็ต้องเป็นคนที่คิดสูตรขึ้นมาใหม่หมด คิดสูตรนี่คือสามารถให้เราหรือใครก็ได้ไปยืนคลุกทำรสชาติให้เหมือนเราได้มากที่สุด"
ตอนนี้คุณแม่อยู่ไทย? "แม่อยู่ไทยครับ ก็อยากกลับไปอยู่กับแม่นะ แต่ด้วยความที่ว่าเราติดภารกิจทำร้านอาหาร ซึ่งร้านเราอยู่ตัวแล้ว แต่เรามีหลายร้านที่ต้องเปิด"
ทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจไปแล้ว? "วันหยุดก็ทำอ่ะ คือกลับมาถึงบ้านเราก็ทำอาหาร วันหยุดเราก็ทำอาหาร ขนาดเราไปเที่ยวก็ยังทำอาหารครับ เอาง่ายๆ ทำอาหารทุกวัน"
เห็นไอจีโพสต์รูปอาหารเพียบเลย? "ร้านที่เราทำเป็นร้านอาหารไทย แต่ร้านเราจะต้องมีอาหารใหม่ทุกๆ 3 เดือน อาหารไทยส่วนหนึ่งแล้วก็จะต้องทำอาหารอิตาเลี่ยนบ้าง แล้วก็อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น และอาหารเม็กซิกัน ที่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์คืออาหารไทย และอาหารฝรั่งเศส นอกจากนี้เราก็ทำร้านราเม็งด้วยครับ"
คิดจะอยู่ที่ต่างประเทศถาวร? "ไม่ครับ เรากะจะไปทำที่ไทยด้วย แต่เราจะทำที่นี่ให้มันโอเคก่อน คงเปิดไปเรื่อยๆ ครับ เพราะคุณแม่อยากให้กลับไปอยู่ด้วย และเราก็มีคนชวนหลายคนให้ไปเปิดที่ไทย บั้นปลายอยากกลับไปอยู่ไทย"
มีโอกาสที่จะได้กลับมาเห็นผลงานในวงการบันเทิงอีก? "อยากกลับไปเล่นครับ ถ้าได้มีโอกาสกลับไทย ถ้าเกิดว่ามีคนติดต่อมา แล้วตรงช่วงจังหวะที่เรากลับไปก็โอเคครับ ก็รับเล่นแหละ ความจริงก็อยากทำยูทูบแต่ด้วยความที่ว่ามันมีโปรเจ็กต์เปิดร้านใหม่หลายร้าน เราก็ไม่มีเวลาทำอยู่ดี"
ฝากความคิดถึงแฟนๆ? "ห่างวงการมา 17 ปีแล้วครับ ยังคิดถึงแฟนๆ และผู้ใหญ่สมัยก่อนครับ เพราะว่าแฟนคลับเราส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใหญ่ที่อายุ 40 อัพ เป็นรุ่นใหญ่หมดครับ ถ้าเกิดมีโอกาสก็จะกลับไปเล่นให้ดูครับ"