รีเซต

แมตต์ เดมอน ยอมรับปฏิเสธบทหนัง "Avatar" เป็นสิ่งที่โง่ที่สุดที่นักแสดงเคยทำมา

แมตต์ เดมอน ยอมรับปฏิเสธบทหนัง "Avatar" เป็นสิ่งที่โง่ที่สุดที่นักแสดงเคยทำมา
แบไต๋
27 พฤษภาคม 2566 ( 12:30 )
96

การที่นักแสดงฮอลลิวูดจะปฏิเสธการรับบทในหนัง โดยเฉพาะหนังใหญ่ระดับบล็อกบัสเตอร์นั้นเกิดขึ้นอยู่เสมอจนแทบจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่นักแสดงหลายคนเข้าใจได้ แต่หลายครั้ง การปฏิเสธการร่วมแสดงในหนังระดับบล็อกบัสเตอร์ที่ประสบความสำเร็จมหาศาลในระดับที่เป็นหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาล ก็ชวนให้น่าเสียดายไม่ใช่น้อย ซึ่งนักแสดงคนหนึ่งที่ออกปากชัดเจนว่าเสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสร่วมแสดงในหนังดังนั่นก็คือ แมตต์ เดมอน (Matt Damon)

โดยเดมอนได้มีโอกาสเล่าเรื่องนี้อีกครั้งในบทสัมภาษณ์ของเว็บไซต์ Entertainment Tonight ในฐานะที่เขาได้มีโอกาสร่วมแคมเปญโฆษณาโปรโมทเบียร์ Stella Artois ร่วมกับคนดังอีกหลายคน และหนึ่งในนั้นก็คือ โซอี ซัลดานา (Zoe Saldana) ที่ตอนนี้กลายเป็นนักแสดงคนแรกที่มีผลงานที่ทำรายได้บน Box Office เกิน 2,000 ล้านเหรียญมากถึง 4 เรื่อง ทั้ง ‘Avengers: Infinity War’ (2018), ‘Avengers: Endgame’ (2019) และแน่นอนว่าต้องมี ‘Avatar’ (2009) และ ‘Avatar: The Way of Water’ (2022) ที่ซัลดานาเคยรับบทเป็น เนย์ทีรี (Neytiri) ทั้ง 2 ภาค

ซึ่งพอสัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ เดมอนก็ถึงกับรู้สึกเจ็บจี๊ด ในฐานที่เขาปฏิเสธบทบาทระดับพันล้านเหรียญ กับผู้กำกับเจ้าของหนังอย่าง เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ใน ‘Avatar’ ภาคแรก รวมทั้งปฏิเสธข้อเสนอรายได้และส่วนแบ่งก้อนโตไปด้วย “ผมว่ามันเป็นสิ่งที่โง่เขลาที่สุดที่นักแสดงเคยทำมาในประวัติศาสตร์ของนักแสดงแล้วล่ะ เธอ (ซัลดานา) แสดงในหนัง 4 เรื่อง และทุกเรื่องทำรายได้เกิน 2,000 ล้านเหรียญ ในขณะที่ผมเล่นหนังมา 50 เรื่องมั้ง ยังไม่มีเรื่องไหนที่ทำเงินได้ถึงพันล้านเหรียญเลยนะ”

เดมอนกล่าวแบบขำ ๆ ก่อนที่ซัลดานาจะพูดขึ้นว่า “ฉันไม่คิดว่าอาชีพการงานของคุณจะตกต่ำเพราะเรื่องนี้หรอกนะ เชื่อฉันสิ… ” เดมอนถามกลับว่า “คุณคิดว่า ถ้าผมร่วมแสดงด้วย หนังจะออกมาเป็นแบบไหนเหรอ…” ซัลดานาตอบกลับว่า “ฉันก็ไม่ได้คิดไว้เหมือนกันนะ เชื่อฉันสิ ฉันแค่รู้สึกมีความสุขที่ได้รับเลือกมาแสดงน่ะ ฉันต้องออดิชัน และฉันก็ทำงานหนักมาก ฉันไม่ใช่ แมตต์ เดมอน นะ ฉันคงไม่กล้าปฏิเสธ ‘Avatar’ หรอก”

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 เดมอนเคยเปิดเผยเรื่องนี้ครั้งแรกกับเว็บไซต์ GQ ระหว่างโปรโมทหนัง ‘Ford v Ferrari’ (2019) ร่วมกับ คริสเตียน เบล (Christian Bale) ว่า เขาเคยได้รับข้อเสนอให้รับบทเป็น เจค ซัลลี (Jake Sully) อดีตนาวิกโยธินขาพิการที่เปลี่ยนตัวเองกลายเป็นชาวนาวี

จิม คาเมรอน เสนอบทใน ‘Avatar’ ให้ผม และตอนเขาเสนอ เขาบอกผมว่า ‘ฟังนะ ตอนนี้ผมไม่ได้อยากได้คนอื่น ผมไม่ได้อยากได้นักแสดงดัง ๆ สำหรับหนังเรื่องนี้ นักแสดงที่มีชื่อเสียง อะไรแบบนี้น่ะนะ ถ้านายไม่รับเล่นหนังเรื่องนี้ ผมก็คงต้องไปหานักแสดงโนเนมสักคน แล้วให้บทนี้กับเขา เพราะหนังเรื่องนั้นไม่ได้ต้องการเขา แต่ถ้านายรับข้อเสนอ ผมจะให้นายเพิ่มอีก 10%’ …ซึ่งมันก็เป็นเรื่องของเงินนั่นแหละนะครับ”

“ผมเล่าเรื่องนี้ให้ จอห์น คราซินสกี (John Krasinski) ฟัง ตอนที่เราสองคนกำลังเขียนบท ‘Promised Land’ (2012) ด้วยกัน เราเขียนบทหนังกันอยู่ในครัว และกำลังพักผ่อน ผมก็เลยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เขาก็ถามว่า ‘ไรนะ…’ แล้วเขาก็ยืนขึ้น แล้วก็เดินไปเดินมา เขาพูดว่า ‘โอเค โอเค โอเค โอเค โอเค… ถ้านายจะเล่นหนังเรื่องนั้น ชีวิตนายก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรหรอกน่า ไม่มีอะไรที่ชีวิตนายจะต่างออกไปซะหน่อย ยกเว้นว่านายกับฉันจะคุยกันเรื่องนี้บนอวกาศน่ะนะ'”

ส่วนเหตุผลที่ทำให้เดมอนจำเป็นต้องยอมปฏิเสธบทบาทในหนังบล็อกบัสเตอร์เรื่องดัง และส่วนแบ่งรายได้มหาศาลที่เขาควรจะได้ไป นั่นก็เพราะว่าเขาเองกำลังอยู่ในระหว่างการถ่ายทำ ‘The Bourne Ultimatum’ (2007) หนังแอ็กชันทริลเลอร์สายลับภาคที่ 3 ของแฟรนไชส์ เจสัน บอร์น (Jason Bourne) ของผู้กำกับ พอล กรีนกราส (Paul Greengrass) อยู่พอดี ทำให้เขาจำต้องปฏิเสธไป ทำให้ในเวลาต่อมา คาเมรอนจึงเลือกให้นักแสดงที่ยังไม่ดังในเวลานั้นอย่าง แซม เวอร์ธิงทัน (Sam Worthington) มารับบท เจค ซัลลี แทน

อย่างที่ทราบกันดีว่า สุดท้าย ‘Avatar’ ก็สามารถทำรายได้ Box Office ทั่วโลกไปมากกว่า 2,923 ล้านเหรียญ ขึ้นแท่นอันดับ 1 หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาล ซึ่งถ้าเเดมอนตัดสินใจรับเล่นหนังเรื่องนี้ เขาก็น่าจะได้รับส่วนแบ่งประมาณ 292 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 10,000 ล้านบาทแบบเหนาะ ๆ โดยที่เวอร์ธิงทันเองก็อาจจะไม่ได้เงินส่วนนี้ด้วย และเขาเองก็จะมีโอกาสได้รับเงินเพิ่มอีก จากการรับบทในหนังภาคต่ออย่าง ‘Avatar: The Way of Water‘ ที่ตอนนี้ทำรายได้ 2,320 ล้านเหรียญ ติดอันดับ 3 หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลไปแล้ว ยังไม่นับรวมภาค 3,4,5 ที่จะมีมาในอนาคต และสร้างรายได้ให้เขาได้อีกเป็นกอบเป็นกำได้อีกต่างหากด้วย

นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกนักที่เดมอนจะออกปากเสียดายทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ เดมอนเคยเล่าเรื่องนี้เป็นโจ๊กแบบขำ ๆ ในระหว่างที่เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อ ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ปี 2021 ซึ่งหลังจากที่เขารู้แล้วว่าหนังเรื่องนี้ขึ้นแท่นอันดับ 1 หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาล เขาจึงเรียกเหตุการณ์นี้แบบจิกกัดตัวเองว่าเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ “ผมถูกชวนไปแสดงหนังเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า ‘Avatar’ ครับ จิมเสนอค่าตัวผม 10% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งผมคงถูกจารึกในประวัติศาสตร์ไปแล้ว เพราะคุณคงไม่เคยเห็นนักแสดงคนไหนที่ปฏิเสธเงินจำนวนมากกว่านี้อีกแล้วแหละ” และอีกครั้งที่เขาเล่าเรื่องนี้กับ BBC ว่า การทิ้งรายได้มหาศาลไปขนาดนั้น ทำให้เขาเรียกตัวเองว่าเป็น ‘นักแสดงที่โง่ที่สุดตลอดกาล’

ส่วนผู้กำกับอย่างคาเมรอน ก็เคยกล่าวถึงเดมอนเรื่องนี้เหมือนกัน ในบทสัมภาษณ์ของ BBC Radio เมื่อปี 2022 ว่า เขาเองก็พยายามจะปลอบใจเขาในความรู้สึกถึงการตัดสินใจผิดพลาดในครั้งนี้อยู่เหมือนกัน “เขากำลังพยายามจะเอาชนะตัวเองในเรื่องนี้ครับ และผมคิดว่าคุณเองก็รู้ว่าแมตต์เป็นดาราหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก เพราะฉะนั้น เลิกคิดถึงมันซะเถอะ เขาแค่ต้องแสดงหนัง Bourne อีกเรื่อง ในช่วงเวลาเดียวกันพอดี และเราก็คงไม่สามารถทำอะไรได้ เขาจึงต้องจำต้องปฏิเสธไปอย่างน่าเสียใจ”

เดมอนได้กล่าวเรื่องนี้ทิ้งท้ายกับ GQ ว่า “มันก็ใช่แหละครับ ผมทิ้งเงินไปมหาศาล มากกว่าที่นักแสดงทุกคนเคยทำมาจริง ๆ นั่นแหละ มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากมาจนถึงทุกวันนี้ แต่สิ่งที่น่าจะเสียใจมากกว่าก็คือ (ถ้าตัดสินใจเลือก ‘Avatar’) มันจะทำให้เกิดปัญหากับ พอล กรีนกราส และเพื่อนๆ ทุกคนใน ‘The Bourne Ultimatum’ ผมเลยทำแบบนั้นไม่ได้”

“คาเมรอนเคยบอกกับผมว่า เขาเองเป็นคนที่ไม่ได้ทำหนังบ่อย ๆ ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้ตัวว่า ผมคงปิดโอกาสตัวเองที่จะได้ร่วมงานกับเขาไปแล้วล่ะ มันเป็นสิ่งที่แย่และโหดร้ายจริง ๆ แต่พอถึงจุดหนึ่ง ลูก ๆ ผมก็ยังกินอิ่ม และตัวผมเองก็ยังโอเคอยู่นะ”


ที่มา: Entertainment Tonight, GQ, Insider,