Series ReviewHouse of Ninjas เฮาส์ ออฟ นินจา (2024)เมื่อความเป็นญี่ปุ่นถูกเล่าโดยคนอเมริกันเลยกลายเป็นงานแบบคนนอกที่ดูสนุกไม่เรียบเรื่อยแต่ก็เป็นซีรีส์นินจาที่หาได้ทั่วไปเพราะ...เมื่อปีที่แล้วซีรีส์ญี่ปุ่นที่เป็นงาน Original ของ NETFLIX มีออกมาน่าประทับใจหลายเรื่องแต่มีสองเรื่องที่สร้างกระแสได้ระดับหนึ่ง นั่นคือการนำเสนอเรื่องราวทางศิลปะวัฒนธรรมของชนชาติที่บริโภคซูชิแกล้มสาเกหรืออาจเรียกตามภาษาสมัยนิยมว่าขาย Soft Power นั่นคือการหยิบเอาความลึกล้ำลึกซึ้งที่มีเสน่ห์ความเป็นญี่ปุ่นมาร้อยเรียงเป็นงานซีรีส์ดราม่าในแบบญี่ปุ่นจนกลายเป็นที่จดจำนั่นคือ The Makanai: Cooking for the Maiko House ที่หยิบเอาเรื่องของเกอิชามาเล่าได้อย่างงดงามในความเป็นซีรีส์ดราม่าญี่ปุ่นที่เรียบเรื่อยแต่ซึมลึก กับอีกหนึ่งคือ Sanctuary หยิบเอาเรื่องของกีฬาประจำชาติอย่างซูโม่มาเล่าในแบบงานดราม่ากีฬามีชั้นเชิงแบบมังงะแต่ออกมาสถานะเสมือนจริงทำให้ดูสนุกบนความลึกล้ำเชิงวิถี แล้วมาปีนี้ NETFLIX Japan ก็หยิบเอาความลึกลับลึกล้ำที่เป็น Soft Power อีกอย่างที่คนทั่วโลกรู้จักนั่นคือเรื่องของนักรบรัตติกาลที่ขนานนามว่านินจามาเล่า ทำให้ความน่าสนใจแรกคือเรื่องจะลึกซึ้งเหมือนสองเรื่องก่อนหน้าหรือไม่ที่สัมผัสได้ถึงชีวิตจริงแต่จะเป็นยังไงไปว่ากันดังต่อไปนี้หกปีหลังจากสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไปคนหนึ่งในภารกิจลับครอบครัวทาวาระก็ตัดสินใจปิดผนึกห้องฝึกและแขวนอาวุธเพื่อใช้ชีวิตครอบครัวปกติสามัญ แต่ครอบครัวทาวาระที่เป็นครอบครัวนินจาที่พวกเขาเรียกตัวเองว่าชิโนบิชุดสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ในโลกปัจจุบันและสืบเชื้อสายมาจากนินจาในตำนานฮัตโตริ ฮันโซ และอยู่ภายไต้การบังคับบัญชาภารกิจโดยทบวงวัฒนธรรมก็เริ่มพบเรื่องยุ่งยากเมื่อมีการสังหารหมู่บนเรือสำราญด้วยยาพิษและทบวงวัฒนธรรมต้องการให้ครอบครัวทาวาระมาสืบและจัดการ แต่ซูอิชิ (โยสุเกะ เอกุชิ) ผู้เป็นพ่อไม่ยอมเจ้าหน้าที่จึงบีบบังคับโยโกะ (ทาเอะ คิมูระ) แม่บ้านที่แสวงหาความตื่นเต้นด้วยการขโมยของในห้างไปรับภารกิจแทนแบบลับๆ อีกทางก็ข่มขู่ให้ฮารุ (เคนโตะ คาคุ) ไปสืบเรื่องของลัทธิลับจากการที่เขาไปมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวที่เป็นการผิดกฎ แล้วเรื่องก็ปรากฎว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของพวกฟูมะที่เป็นชิโนบิสายมืดที่ซ่องสุมกำลังเพื่อคิดการใหญ่ถึงขนาดทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ครอบครัวทาวาระจึงต้องหยิบอาวุธสวมหน้ากากอีกครั้งเพื่อยับยั้งแผนการร้ายนี้เมื่อความเป็นญี่ปุ่นถูกเล่าโดยคนอเมริกันมุมมองจึงแปลกเพราะไม่เห็นเรื่องเชิงลึกจนเป็นงานที่มาเพื่อบันเทิงเฉพาะหน้า โดยปกติแล้วซีรีส์ญี่ปุ่นแท้ๆจะค่อนข้างใส่ใจเรื่องเชิงลึกโดยไม่พยายามขยี้แต่เลือกเก็บเกี่ยวอารมณ์ ส่วนเรื่องนี้แม้ว่าจะเล่าเรื่องเชิงวัฒนธรรมของญี่ปุ่นที่คนทั่วโลกรู้จักในนามนินจาแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องนินจาก็มีการสร้างในภาพยนตร์หรือซีรีส์อเมริกันมานักต่อนัก กระนั้นในงานเหล่านั้นไม่มีเลยที่จะลงลึกถึงจิตวิญญาณของความเป็นนินจาหรือเล่าลงถึงเรื่องเชิงวิถีซึ่งเมื่อเป็นการสร้างจากญี่ปุ่นก็ควรมีแต่ก็ไม่มี เรื่องนี้จึงมีแค่สองตระกูลนินจาโบราณที่เป็นคู่อาฆาตคือฝ่ายฮัตโตริ ฮันโซที่เป็นฝ่ายดีอยู่ในมุมสว่างกับพวกของฟูมะที่เป็นนินจาฝ่ายร้ายที่ต้องอยู่ในมุมมืด หรือถ้านึกไม่ออกลองนึกถึงพวกอิงะกับโคงะในการ์ตูนนินจาฮาโตริอาจจะชัดกว่าด้วยซ้ำทำให้เรื่องเชิงลึกในด้านของการฝึกฝนทั้งทางร่างกายและจิตใจไม่มีทั้งยังเรื่องของสิ่งที่ต้องแลกที่เล่าได้ผิวๆ จนกลายเป็นซีรีส์นินจาทั่วไปที่มาเพื่อเป็นความบันเทิงเฉพาะหน้าแบบที่เคยเห็นกันอาจเพราะกำกับโดยคนอเมริกัน Dave Boyleการเดินเรื่องยังมีเรียบเรื่อยแบบญี่ปุ่นแต่เลือกเล่าประเด็นยาวๆจนเหลือความเป็นญี่ปุ่นคือ "โลกสวย จิตใจดี มีมารยาท" โดยปกติแล้วซีรีส์ญี่ปุ่นแนวแอ็กชันสืบสวนแบบนี้มักจะเล่าเรื่องซอยออกเป็นตอนๆและมันควรจะเป็นแบบนั้นเพราะเป็นการใช้ชั้นเชิงแบบมังงะ แต่เรื่องนี้กลับเลือกเล่าประเด็นเดียวยิงยาวคือเรื่องของสองตระกูลนินจาที่เดินหน้าไปหาความระทึกเร้าใจในปลายทาง แต่การเดินเรื่องกลับเลือกค่อนไปทางญี่ปุ่นคือเรียบเรื่อยให้ภาพและเพลงสื่อสารแต่ก็ไม่ชัดเพราะการเดินหน้าแบบนี้ของฝรั่งก็มีและเหมือนจะมีมากกว่าด้วยซ้ำ ทำให้ถ้าเป็นคนที่ดูซีรีส์ญี่ปุ่นมามากพอจะสังเกตได้ว่าเหลือความเป็นญี่ปุ่นอยู่ไม่มากจนเกือบเป็นซีรีส์อเมริกันอยู่รอมร่อถ้าไม่มีมิติความเป็นเอกลักษณ์ของคนญี่ปุ่นคือ "โลกสวย จิตใจดี มีมารยาท" ในทุกสถานการณ์ก็คงกลายเป็นซีรีส์ฝรั่งไปแล้ว แน่นอนการเล่าเรื่องแบบร่ายยาวโดยไม่ซอยย่อยกับซีรีส์ที่เวลาฉายเยอะแบบนี้สิ่งที่ต้องแลกมาคือความเรียบเรื่อยจะพาความเอื่อยเฉื่อยมาเป็นพักๆ ซึ่งมันต่างจากความเป็นซีรีส์ญี่ปุ่นแท้ที่เล่าแบบนี้เพราะความต่างกันคือเรื่องของอารมณ์อาจไม่ได้ดั่งใจต้องการแต่ยังเป็นงานที่ดูสนุกดูเพลินมีอารมณ์ขันเจ็บๆทำให้แม้จะเล่าเป็นหนังเรื่องยาวแต่ไม่น่าเบื่อ แรกเลยผู้เขียนคิดหวังถึงการเอาเรื่องเชิงศิลปะวัฒนธรรมที่ลึกล้ำมาเล่าเหมือนอย่างสองเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นและความน่าสนใจอยู่ที่เรื่องของนินจามันมีความลึกลับอยู่ด้วย แต่สิ่งเหล่านั้นก็ถูกมองข้ามไปอาจเพราะเรื่องนินจาเป็นแค่เรื่องเล่าในตำนานที่หลงเหลือไว้ไม่มากก็เป็นได้จึงเลือกที่จะไม่ลงลึกซึ่งก็น่าเสียดายเพราะนั่นคือหัวใจของการจะดึงอารมณ์ แต่แม้จะไม่ได้ดั่งใจก็ยังเป็นงานที่ดูสนุกเพราะการสานปมประเด็นยังผูกมัดกันได้ทำให้น่าสนใจไปจนถึงตอนท้ายไม่มีหลุดไม่มีทิ้งไว้ให้หัวจะปวดเพราะไม่ได้ตั้งใจมายาก ทั้งความพลิกผันที่พอเปิดออกมาก็ออกปากได้เลยว่า "นั่นไงว่าแล้ว" เพราะไม่ยากต่อการคาดเดา แต่ความเพลินของเรื่องนี้อยู่ที่อารมณ์ขันเจ็บๆที่อาจไม่แรงแต่เรื่อยๆทั้งในเรื่องช่องว่างระหว่างวัยและความเป็นครอบครัวแน่นอนสามีภรรยาพ่อกับลูก ที่สำคัญยังมีตัวละครปริศนาที่ซ่อนคมงำประกายไว้อย่างน่าขันคือคุณย่า (โนบุโกะ มิยาโมโตะ) ทำให้เรื่องยาวๆไม่มีน่าเบื่อความจริงมองเห็นในเรื่องของการพยายามเล่าเรื่องครอบครัวแต่บทกลับไปไม่ถึงฝั่งโชคดีที่ยังได้การแสดงช่วยไว้ เพราะชื่อเรื่องก็บอกแล้วว่านี่คือบ้านของนินจาที่ก็คือครอบครัวนินจาที่จะต้องมีปัญหาเพราะต่อให้เป็นนินจาก็ยังเป็นคน ทำให้ตลอดทางเห็นความพยายามเล่าเรื่องความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยวในครอบครัวเพราะความไม่หันหน้ามาเปิดใจกันและการตัดสินใจในฐานะหัวหน้าครอบครัวที่เหมือนเป็นโลกเก่า ในขณะที่ในครอบครัวมีตัวแทนของคนทุกวัยที่น่าตลกคือคุณย่าที่น่าจะไม่เข้าใจแต่ดันเข้าใจมากกว่าพ่อ ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะต้องถูกคลี่คลายเพื่อหลอมรวมมาเป็นครอบครัวที่ปกติแม้จะไม่ปกติแต่สิ่งที่ว่ามาไม่ได้ลงลึกเลยถ้าว่ากันที่บท แต่ที่ยังจับสัมผัสได้จนมาร่ายได้ขนาดนี้มาจากการแสดงของทุกคนในครอบครัวนี้ที่เป็นผู้เล่นทรงคุณค่าทุกคนทั้งโยสุเกะ เอกุชิในบทพ่อทาเอะ คิมุระในบทแม่ ร่วมสร้างปัญหาโดยเคนโตะ คาคุในบทลูกชายอาจู มากิตะในบทลูกสาวและเท็นตะ บันกะในบทเจ้าตัวเล็ก แต่ที่ขโมยซีนเต็มๆกลายเป็นคุณย่าโนบุโกะ มินาโมโตะกับเจ้าแมวดำที่แอบคิดเลยว่าต้องมีอะไรแน่ๆอาจเรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ลูกครึ่งญี่ปุ่นอเมริกันที่ถ้าไม่เอาความคาดหวังมาจับผิดนี่ก็คืองานดีในความเป็นซีรีส์นินจาที่มาเพื่อบันเทิง หรือถ้าจะเอาแบบไม่เกรงใจคือมีความเป็นซีรีส์อเมริกันมากกว่าด้วยซ้ำเพราะแม้แต่เพลงประกอบยังเป็นเพลงฝรั่ง ความรู้สึกจึงไม่ต่างจากการเป็นคนนอกที่มองเข้าไปในความเป็นนินจาญี่ปุ่นที่ไม่ว่ายังไงก็ยังไม่เข้าใจลึกซึ้งอยู่ดีที่บางทีอ่านมังงะยังจะจับใจกว่าด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่ายังไงถ้าไม่เอาความคาดหวังในแบบที่ผู้เขียนเป็นมาแบกมากเกินไปก็ยังเป็นงานที่ดูสนุกดูได้ยาวๆเพราะเป็นงานแอ็กชันสืบสวนที่ดูเพลิน ด้วยงานด้านภาพตามมาตรฐานงาน NETFLIX Original ที่มักจะมาพร้อมภาพมุมกว้างมุมกล้องแบบภาพยนตร์แล้วเมื่อมาประกอบกับการเล่าเรื่องยิงประเด็นเดียวยาวๆแบบนี้ก็ยิ่งเหมือนกับการดูหนังเรื่องยาวมากกว่าการดูซีรีส์ ส่วนที่น่าเจ็บใจและช่วงหลังงาน NETFLIX Original ไม่ว่าจะมาจากที่ไหนก็จะเป็นแบบนี้คือจบแบบไม่จบ แต่เรื่องนี้ยังดีที่จบไปส่วนหนึ่งแต่ทิ้งท้ายไว้ไม่เหมือนกับบางเรื่องค้างไว้แล้วไม่ยอมเผยว่าจะมาซีซันต่อไปหรือไม่ช่างน่าเขกกะโหลกยิ่งนักดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 จาก Instagram netflixjpภาพที่ 2 / ภาพที่ 3,4 / ภาพที่ 8 จาก Instagram kento_kakuภาพที่ 1 / ภาพที่ 7 จาก Facebook Netflix ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/1GyjnZ4Ewnlrhttps://entertainment.trueid.net/detail/VPx1aVrk9ygZhttps://entertainment.trueid.net/detail/grW2lRvGMmgJhttps://entertainment.trueid.net/detail/kwY0O8VjzXGlเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !