"ฉันก็แค่..ตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งแล้วพบว่าเธอไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว.."ประโยคเด็ดที่กลายเป็น Quote ดังจากภาพยนต์ และยังคงแชร์กันอยู่จนทุกวันนี้ แม้ว่า 500 Days of Summer จะผ่านมากว่า 10 ปี แล้วก็ตาม ความนิยมของเรื่องนี้ยังคงไม่เสื่อม เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งภาพยนต์อมตะตลอดกาลเลยก็ว่าได้ เพราะทอม (Tom) กับซัมเมอร์ (Summer) ตัวละครหลักของเรื่อง ได้สะท้อนรูปแบบความสัมพันธ์ที่มีความเรียล และแม้จะผ่านไปกี่ยุคสมัย ความสัมพันธ์รูปแบบนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นกับผู้คนให้เจ็บหัวใจจี๊ดเล่น ๆ ได้อยู่เนือง ๆ เลยล่ะค่ะ"ความสัมพันธ์ที่ไม่มีสถานะ"500 Days of Summer เป็นเรื่องราวของทอม (รับบทโดย Joseph Gordon-Levitt) และซัมเมอร์ (รับบทโดย Zooey Deschanel) คู่ชายหญิงเพื่อนร่วมงาน ที่ตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก รวมระยะเวลาแล้วกว่า 500 วัน โดยตัวหนังเปิดเรื่องมาด้วยช่วงเวลาท้าย ๆ ของความสัมพันธ์ ช่วงที่ทอมต้องตกอยู่ในภาวะของคนอกหัก เพราะถูกซัมเมอร์เทหายไปดื้อ ๆ ซะนี่!500 Days of Summer ถูกถ่ายทอดในมุมมองของทอม กับ 500 วัน ที่เขาได้รู้จักกับซัมเมอร์ ช่วงเวลาที่มีสุดแสนมีความสุข ไปจนถึงวันที่สติแทบไม่เหลือเพราะต้องจบความสัมพันธ์กว่า 500 วัน นั้นไป ตัวหนังมีการเล่าเรื่องได้อย่างแยบยลน่าติดตาม ไม่ได้เล่าจาก 1 ไปถึง 500 แต่เล่าย้อนไปมาในแต่ละช่วงเวลา ช่วงที่เริ่มตกหลุมรัก ช่วงที่เริ่มขัดใจมีปากเสียง ช่วงที่ใช้ชีวิตด้วยกันแบบคนรัก หรือช่วงที่ทอมต้องทนทุกข์เพราะการหายไปของซัมเมอร์ วันที่เขารักทุกอย่างในตัวเธอ และวันที่เขาอยากจะบดขยี้เธอให้แหลกคามือ แน่นอนว่าเมื่อมันถูกถ่ายทอดออกมาผ่านมุมมองของทอม ซัมเมอร์ก็กลายเป็นคนนิสัยไม่ดีในสายตาของผู้ชมเช่นกัน"You Bitch!, Summer!" เสียงเชียร์จาก #ทีมทอม ก็จะประมาณนี้ โดยเฉพาะจากผู้ชายค่ะ ฮ่า ๆ ๆ500 Days of Summer เป็นเรื่องหนึ่งที่แบ่งผู้ชมที่มีความเห็นต่างกันออกเป็น 2 ทีม คือ #ทีมทอม และ #ทีมซัมเมอร์ ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้ชมล่ะนะคะ ว่าจะอินกับฝั่งไหนมากกว่า ความแตกต่างกันสุดขั้วของทอมกับซัมเมอร์ คือ "ทอม" จะใช้ความรู้สึกในความสัมพันธ์มากกว่า เชื่อในพรหมหมลิขิต รักใครแล้วทุ่มเท ด้วยอาชีพในเรื่องคือเป็นนักเขียนคำอวยพรในโปสการ์ด (เป็นอาชีพที่น่ารักมากเลยค่ะ เพิ่งรู้ว่ามีในโลกด้วย) ทอมจึงเป็นคนที่ใส่ใจกับทุกรายละเอียดโดยธรรมชาติอยู่แล้ว และคนประเภทนี้มักมีอารมณ์อ่อนไหว มีความโรแมนติก ใฝ่ฝันที่จะพบรักแท้ในขณะที่ "ซัมเมอร์" คือสิ่งที่ตรงกันข้าม ซัมเมอร์ไม่เชื่อในรักแท้ เธอคิดว่าความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย มีแต่จะทำให้เจ็บปวดและเสียเวลา เธอมักใช้เหตุผล แต่ก็เชื่อมั่นในความรู้สึกตัวเอง รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกตรง ๆ แบบนั้น เป็นตัวของตัวเองสูง และเน้นสุขนิยม เลือกทำในสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข เธอจึงเป็นคนที่มีเสน่ห์ดึงดูด สามารถทำให้คนที่อยู่ใกล้มีความสุขไปด้วย แต่ในขณะเดียวกัน หากมองในอีกมุมก็เหมือนเป็นการปั่นหัวหลอกใช้คนอื่นเพื่อความสุขของตัวเองด้วยด้วยความทุกข์ใจของทอมที่ถ่ายทอดออกมาผ่านเนื้อเรื่อง การเป็นคนที่ถูกเท เลยทำให้หลายคนมักจะอินไปกับ #ทีมทอม เสียมากกว่า พาลว่าซัมเมอร์หลอกให้รักแล้วจากไปบ้างล่ะ ซัมเมอร์ไม่เข้าใจความรักบ้างล่ะ ทั้งที่ในความจริงแล้ว ซัมเมอร์เข้าใจความรักดีมากทีเดียว และเพราะเข้าใจ จึงมีความชัดเจนในตัวเอง รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ใช่นานเกินไป"ความรักมันไม่มีจริงหรอก....ก็แค่เรื่องเพ้อฝันเรื่องหนึ่ง"- Summerทอมและซัมเมอร์ ยังคงไม่เลือนหายไปจากหน้านิยามของความสัมพันธ์ ซัมเมอร์นั้นถูกยกให้เป็น "เจ้าแม่แห่งความสัมพันธ์ที่ไม่มีสถานะ" เลยก็ว่าได้ ฮ่า ๆ ในขณะที่ทอมเอง ก็เป็นตัวแทนของคนจำนวนมากที่ไม่สามารถ Move on ไปจากความสัมพันธ์ที่จบลงไปแล้วได้ หล่อเลี้ยงตัวเองไปวัน ๆ ด้วยความทรงจำที่เคยดี และความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าจะกู้คืนความสัมพันธ์ที่จบลงไปแล้วได้ การเดินเรื่องสลับไปมาของหนัง เป็นอีกหนึ่ง Key message ที่สะท้อนถึงการคิดวนเวียนซ้ำ ๆ ของทอม และการเป็นคนอ่อนไหวที่จินตนาการเก่ง ในความสัมพันธ์ของคนเราก็มักเป็นเช่นนี้ บ่อยครั้งที่เราตีความหมายจากการกระทำของอีกฝ่ายไปเอง ทั้งในแง่บวกและลบ เพราะความคลุมเครือในความสัมพันธ์ ความไม่ชัดเจนในความรู้สึกและการกระทำ ที่ทำให้ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่สิบปี 500 Days of Summer ก็จะยังคงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงได้อีกไม่มีจบสิ้นคงต้องบอกว่า ส่วนตัวเป็น #ทีมซัมเมอร์ ค่ะ ฮ่า ๆ ๆ ซัมเมอร์ก็แค่ทำตามความรู้สึกของตัวเอง แค่ชัดเจนในความสัมพันธ์ รู้ว่าอะไรใช่หรือไม่ใช่ ทอมอาจจะเจ็บปวดกับการตัดสินใจ แต่การไม่ปล่อยทั้งที่ไม่สามารถไปต่อได้ จะสร้างความเจ็บปวดที่มากกว่านี้ในอนาคต เหมือนที่หนังถ่ายทอดออกมาผ่านฉากที่ทั้งคู่ไปเดินซื้อของแต่งบ้าน ในครั้งแรกนั้นช่างสดใสตามประสาคนกำลังอินเลิฟ หลังจากผ่านไป 300 กว่าวัน ความสดใสนั้นก็หมดไป นั่นคือช่วงที่ซัมเมอร์เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า "ไม่ใช่" อีกต่อไปแล้วและเธอก็แค่ทำให้มันถูกต้อง เท่านั้นเอง..500 Days of Summer เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกเลยว่า การย้อนกลับไปดูซ้ำในช่วงอายุที่ต่างกันไป ก็อาจมีมุมมองต่อเรื่องนี้เปลี่ยนไป ในอดีตที่ยังไม่เดียงสากับความสัมพันธ์มากนัก เราอาจรู้สึกว่าอินกับทอม เพราะเป็นผู้ถูกกระทำ และพาลโกรธแค้นซัมเมอร์ที่ทำเหมือนไม่มีหัวใจ แต่เมื่อผ่านเวลามาประมาณหนึ่ง เมื่อถูกประสบการณ์และวันเวลาเคี่ยวกรำมาระยะหนึ่งแล้ว เราอาจเข้าใจซัมเมอร์มากขึ้น ว่าทำไมเธอจึงตัดสินใจที่จะทำแบบนั้น หรืออาจจะพาลรำคาญความงี่เง่าของทอมไปเลยก็ได้นะคะ ฮ่า ๆ ๆที่สุดแล้ว วันเวลาจะสอนให้เราเข้าใจว่า ความสัมพันธ์มันเป็นได้มากกว่าที่เคยนิยาม การไม่มีสถานะไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย หากแต่เป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ และความรักไม่ได้ต้องการเพียงความรู้สึกรัก หรือเหตุผลที่จะอยู่ร่วมกันเท่านั้น แต่สัญชาตญาณจะบอกเราเองว่าคน ๆ นั้น "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" และเราไม่ควรเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ใช่นานเกินไป.."การบอกลาจึงไม่ใช่เรื่องผิดและการ Move on ให้ได้ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ"หากมีเวลา อยากชวนให้ชมเรื่องนี้กันค่ะ ตอนนี้มีฉายทาง Netflix และสามารถรับชมผ่านกล่อง True ID ได้ด้วยนะคะ สำหรับใครที่เคยชมแล้ว อยากชวนให้ย้อนกลับไปชมอีกครั้งค่ะ ไม่แน่ว่า...ครั้งนี้คุณอาจจะเปลี่ยนทีมก็ได้นะ ฮ่า ๆ ๆพรหมลิขิตจะมีจริงไหมไม่รู้ แต่ตอนจบของ 500 Days of Summer กำลังบอกเราว่า..ลองปล่อยสิ่งที่ยึดอยู่ แล้วมองรอบ ๆ ตัวดูบ้างนะ :) เรื่อง : ดารัณ พันสวะนัด (ผู้เขียน)ขอบคุณภาพประกอบทั้งหมดจาก 500 Days of Summer Official Facebook Fanpage