“แม่สิตางคุ์” เดือด!ศึกชิงลูกทำแม่แท้ๆร้องสื่อทวงลูกคืน ด้านคุณหมอแนะตรวจสภาพจิตยกครัวหาทางออก
“แม่สิตางคุ์” เดือด!ศึกชิงลูกทำแม่แท้ๆร้องสื่อทวงลูกคืน ด้านคุณหมอแนะตรวจสภาพจิตยกครัวหาทางออก
จากกรณีที่ “สิตางศุ์ บัวทอง” เน็ตไอดอลคนดัง ถูกแม่แท้ๆของลูกบุญธรรมที่ตนรับไว้อุปการะ แจ้งความ หมิ่นประมาท เนื่องจากก่อนหน้านี้มีข้อพิพาทว่า ฝ่ายแม่แท้ๆจะขอลูกคืนจาก “แม่สิตางศุ์” แต่เจ้าตัวยืนยันว่าไม่ให้คืน ยินดีจ่ายเงินให้ แต่เรียกร้องเยอะเกินไป พร้อมกล่าวอ้างถึงวีรกรรมของอีกฝ่ายก่อนที่ลูกบุญธรรมจะมาอยู่ในความดูแลของตัวเอง จนกลายเป็นต้นเหตุสู่การแจ้งความในครั้งนี้นั้น
ฝั่ง “นางวรรณา แซ่โง้ว”ที่เป็นแม่แท้ๆ ของ “ตี๋น้อย” ลูกบุญธรรมของ “แม่สิตางศุ์” ได้เปิดใจให้สัมภาษณ์ ในรายการ “ถกไม่เถียง” ทางช่อง 7HD ดำเนินรายการโดย “ทิน โชคกมลกิจ” ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า ที่ร้องเข้ามาทางรายการถกไม่เถียง ต้องการได้ลูกคืน เพราะคนที่อ้างว่าเป็นแม่บุญธรรม ออกข่าวโจมตี ว่าร้ายตนเอง ไปให้ข่าวต่างๆนาๆ จนคนในตลาดมาถามตนว่าทำไมปล่อยลูกไปอยู่กับเขาแบบนั้น เริ่มต้นคือ “ตี๋น้อย” หายไปตั้งแต่เดือนเมษายน ลูกกลับมาหาตนแค่ 2 ครั้ง แล้วหายไปเลย ลูกมาบอกตนว่าอยากเป็นดารา ตนก็บอกว่าเป็นไม่ได้หรอก แต่ลูกก็ไม่ฟัง หลังจากนั้นก็หายไปเลย แล้วก็เริ่มติดต่อลูกไม่ได้ สักพักหนึ่ง ก็มีข่าวว่า “คุณสิตางศุ์” รับลูกตนเป็นลูกบุญธรรม แถมมีการพาไปเปลี่ยนนามสกุลด้วย และจะพาไปบวชให้เขาอีก ถามพ่อถามแม่เขาหรือยัง แถมยังมีการมาด่าตนอีกว่าเป็นแก๊งขอทาน
ถึงแม้ลูกชายตนจะอายุ 23 ปีแล้วก็จริง แต่ลูกตนป่วยพิการทางสมอง มีบัตรคนพิการด้วย ทั้งหมดเป็นการตัดสินใจเพราะเขาป่วย หลังจากนั้นตนก็ไปที่สมาคมคนพิการ อยากให้เขาเช็คให้หน่อยว่าลูกตนไปเปลี่ยนนามสกุลรึยัง แล้วมีคนบอกว่ารับลูกตนเป็นลูกบุญธรรม อย่างนี้มันทำได้ด้วยหรือเขาก็เช็คให้ พบว่าลูกยังไม่ได้เปลี่ยนนามสกุล ที่แม่คัดค้านไม่อยากให้ลูกบวช เพราะเราเชื่อว่าถ้าบวชแล้วสึกกลางพรรษาคนๆนั้นจะกลายเป็นบ้า ตอนหลังตนเริ่มติดต่อลูกไม่ได้ มารู้อีกทีคือลูกไปบวชที่เขาวงกต ส่วนแม่สิตางศุ์ก็ออกสื่อบอกว่าลูกตนไม่มีแม่
สำหรับเรื่องที่ “ตี๋น้อย” ออกมาบอกว่าโดนตนเองทำร้าย เอาน้ำกรอกปาก ส่วน “แม่สิตางศุ์”ที่ดูแลดีเหมือนแม่แท้ๆนั้น เป็นเรื่องไม่จริง แม่ไม่เคยทำร้ายลูก ให้รถชนตายเลย ไม่เคยเอาน้ำกรอกปากลูกเลย ที่ลูกพูดไปเพราะเขาป่วย ถามว่าทุกวันนี้โกรธลูกไหม บอกเลยไม่โกรธ เพราะลูกป่วย ตนพาลูกไปรักษาจิตเวชมาตั้งแต่เด็ก “ตี๋น้อย” หนีแม่ไปหาคนที่เพิ่งเจอกันไม่กี่เดือน ตนอยากร้องขอความเป็นธรรมบ้าง เอาลูกตนไปทำคอนเทนต์ด่าแม่อย่างนั้นอย่างนี้ ขอบคุณมากที่รายการได้ลงพื้นที่ ไปถามหาความจริง กับชาวบ้านที่อยู่ละแวกบ้านตน จะได้รู้ความจริงจากฝั่งแม่ด้วย ว่าแม่เลี้ยงลูกยังไง ตนยอมไปศิริราช พาลูกไปรักษาจิตเวชที่ศิริราชจนถึงช่วงวัยรุ่น ทีนี้หมอบอกให้ย้ายไปรักษาที่แผนกวัยรุ่น แต่ตั้งแต่วัยรุ่นก็ไม่ได้มีการรักษาต่อเนื่อง”
ด้าน “สิตางศุ์ บัวทอง” เล่าอีกมุมว่า ฉันบอกว่าฉันรับเด็กขอทานไว้คนนึง วันนั้นเขาโทรมาทะเลาะกับลูกฉันลั่นบ้าน ระยะหลังมานี้เขาโทรมาป่วนบ้านฉันทุกวัน ถามว่าทำไม “ตี๋น้อย” ไม่รับโทรศัพท์ เลยบอก “ตี๋น้อย” ว่าแม่เธอน่าจะป่วยนะ เพราะเขาเองก็บอกว่าแม่ป่วย ต้องไปรับยาจิตเวชที่ รพ. และยังโดนสามีตบตีด้วย ที่ฉันรับเด็กคนนี้เข้าบ้าน ฉันปรึกษาน้องชายกับสามี เพราะเด็กบอกว่าโดนครอบครัวทำร้าย เราก็เอ็นดูน้อง เรื่องพาเด็กเข้าวงการนั้น ตี๋น้อยปากเบี้ยว พูดไม่ชัด เราก็บอกแม่เขานะว่าลูกเธอทำงานไม่ได้หรอก ส่วนเรื่องที่ตี๋น้อยมีบัตรผู้พิการนั้น ฉันก็เพิ่งจะรู้ เขาบอกว่าเขาตามลูกไม่ได้ทั้งๆ ที่เขาโทรมาด่าลูกทุกวัน ฉันเต็มใจที่จะรับเป็นลูกบุญธรรม แต่ว่ายังไม่ได้เซ็นเอกสารกัน เพราะทนายเตือนว่าแม่เขายังไม่ได้ยอมรับเลย ก็เลยยังไม่ได้เซ็น ทีนี้ก็เลยคุยกันว่าเราจะให้เงินแม่แท้ๆ เขาเป็นรายเดือน แต่ไม่ได้บอกว่าจะให้กรณีไหน เพราะลูกเธอทำอะไรไม่เป็น ตี๋น้อยเป็นเด็กดีนะ แต่ครอบครัวเขาเลี้ยงไม่ดทั้งนี้เชื่อว่า “ตี๋น้อย” พูดเรื่องจริง เขาเล่าว่าโดนบูลลี่ที่โรงเรียน เพราะเขาสมองช้า ตอนนั้นฉันยังไม่ได้คิดประเด็นเรื่องผู้พิการนะ ฉันเพิ่งมารู้เรื่องตอนสมาคมผู้พิการโทรมา ตอนแรกมาสมัครแคสต์งาน พูดไม่ค่อยได้ ปากเบี้ยว จับไม้กวาดยังจับไม่ค่อยได้เลย ฉันเลยช่วยเขาฝึกออกกำลังกายให้ ให้เขาใช้มือได้ปกติ จนเขาเริ่มดีขึ้น ถ้าแม่เขาอยากจะเอาลูกกลับไป ฉันก็ไม่ห้าม อยากได้ก็เอาไป เด็กมีสิทธิใช้ชีวิตนะ ฉันขอใช้เวลาตรวจสอบก่อนว่าแม่เขาพูดจริงไหม แล้วฉันจะพาไปให้คุณหมอประเมินอาการก่อนว่าแค่สมองช้า หรือออทิสติก ฉันเคยไล่ให้กลับไปบ้าน ตั้งแต่ครั้งแรกที่แม่เขาโทรมาแล้ว คุณไม่มีสิทธิมาปรักปรำใช้คำหยาบคายกับฉัน
ขณะที่ “พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญ” ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 กรมสุขภาพจิต พูดถึงอาการของ “ตี๋น้อย” ว่า เท่าที่ฟังจากที่คุณแม่เล่าว่าลูกมีปัญหาเรื่องการเรียน การควบคุมอารมณ์ และมีบัตรคนพิการประเภท 6 จริงๆ เป็นเรื่องภาวะบกพร่องทางการเรียน เหมือนเขาเชื่อมโยงตัวหนังสือไม่ได้ อ่านช้า เขียนช้า บกพร่องมากจนถึงขั้นเรียนได้ไม่ดี ซึ่งถ้าเป็นแค่อาการนี้อาการเดียว ไม่มีโรคอื่นร่วมด้วย ก็จะเหมือนคนปกติ เพียงแต่จะเรียนหนังสือไม่เก่ง และจากที่ฟัง หมอเดาอยู่ 2-3 โรค น่าจะมีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรม ถ้าตอนเด็กๆ ไม่กินยา อาจทำให้ไม่สามารถนั่งเรียนกับเพื่อนๆได้ และก็อาจทำให้ไม่สามารถที่จะเรียนรู้เรื่องการควบคุมอารมณ์ ถ้าจะให้ชัด น้องต้องไปตรวจเพิ่ม ถ้าวินิจฉัยตามบัตรผู้พิการ เขายังรับรู้เรื่องทุกอย่างได้ แต่ต้องประเมินกันอีกที มีโอกาสที่โรคจะพัฒนาไปมากขึ้นก็ได้ หรืออาจจะป่วยน้อยลงก็ได้ กรณีนี้หมอแนะนำให้พาน้องไปพบแพทย์อีกทีค่ะ ยิ่งที่เขามีประวัติอยู่แล้วยิ่งดีมาก เพราะจะได้วิเคราะห์อาการได้ถูกต้อง ทางที่ดีต้องไปพบคุณหมอให้หมดทั้งฝั่งคุณแม่ พี่ชาย และฝั่งแม่สิตางค์พื่อให้คุณหมอวินิจฉัย หาที่มาที่ไป และทางออกที่เหมาะสมค่ะ
ส่วนเรื่องคดีความนั้น “ดร.มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล” หรือ “ทนายแก้ว” รองประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เผยว่า สิทธิการเป็นพ่อแม่ลูกมันเลิกไม่ได้ มันจะต้องเป็นไปตลอดชีวิต เหมือนกัน บัตรผู้พิการเมื่อระบุให้ “คุณแม่วรรณา” เป็นผู้ดูแลท่านก็ต้องมีสิทธในการปกครองลูก เบื้องต้นในการติดตามลูกคืน แม่สามารถไปติดตามลูกคืนมาได้ ส่วนเรื่องที่ “คุณสิตางศุ์” จะยกเลิกบัตรผู้พิการนั้น ยังไม่สามารถทำได้ ต้องให้แพทย์เป็นผู้ประเมินก่อน และต้องมีการยินยอมจากผู้ดูแล ตามสิทธิ แม่วรรณาควรจะพาลูกไปหาหมอ เพราะสิทธินี้ควรจะเป็นผู้ปกครอง แต่ถ้าประเมินแล้วเด็กปกติ เด็กมีสิทธิที่จะเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่กับใคร