เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์น้ำดีจากทางฝั่งเกาหลีกับ The Silent Sea หรือชื่อภาษาไทย "ทะเลสงัด" บอกเลยว่าแค่ชื่อเรื่องกับตัวtrailerที่ปล่อยออกมานั้นมันสร้างความอยากดูแก่ท่านผู้ชมไม่น้อย เหตุผลไม่ใช่เพราะการก้าวกระโดดของวงการภาพยนตร์หรือซีรีส์เกาหลีที่มันเติบโตรวดเร็วเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเนื้อหาของซีรีส์ The Silent Sea ที่วางมาเกี่ยวกับเรื่องราวบนอวกาศ บวกกับความเป็นไซไฟระทึกขวัญที่มันค่อนข้างดูสากลคล้ายกับพวกฮอลลีวูดอยู่ไม่น้อยถ้าเทียบกับซีรีส์มหาชนก่อนหน้านี้อย่าง Squid Game หรือ Hellbound ที่ดูยังไงก็ยังมีความเป็นเกาหลีอยู่พอสมควร แต่พอเป็นคิวของ The Silent Sea เหมือนว่าทางผู้สร้างเองเริ่มขยับสู่ความเป็นสากลเข้าถึงคนดูทั่วโลกได้มากขึ้นเนื้อหาของซีรีส์โดยย่อ ซีรีส์จะเล่าถึงโลกในอนาคตที่เกิดวิกฤตอย่างหนักในการขาดทรัพยากรน้ำและด้วยการที่น้ำกลายเป็นสิ่งหายากและมีจำนวนจำกัดบนโลกมันจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการแบ่งชนชั้น ซึ่งสังเกตได้จากบัตรที่ตัวละครในเรื่องใช้กดน้ำแต่ละครั้งซึ่งบัตรแต่ละใบก็จะถูกแบ่งไปตามยศ ตามฐานะของคนนั้นๆอีกด้วย จุดนี้ผมมองว่าซีรีส์เองเก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยๆได้ดีเลยทีเดียวครับ ซีรีส์เองก็ได้เล่าว่าก่อนหน้านี้รัฐบาลเกาหลีเคยมีโครงการทดลองบางอย่างบนสถานีอวกาศในดวงจันทร์ที่ชื่อ "บัลแฮ" แต่ด้วยอุบัติเหตุจึงมีการสั่งปิดโครงการนี้ไป แต่ด้วยเหตุผลสำคัญบางอย่างรัฐบาลได้มีการส่งทีมสำรวจไปสถานีวิจัยอีกครั้งโดยลูกทีมที่ส่งไปนั้นประกอบด้วย กัปตันทีมชื่อว่า "ฮันยุนแจ" ที่แสดงโดย กงยู และนักชีวดาราศาสตร์ที่ชื่อว่า "ซงจีอา" ที่แสดงโดย แบดูนา ซึ่งภารกิจหลักของทีมสำรวจคือการที่พวกเขาต้องนำตัวอย่างทดลองเมื่อ 5 ปีที่แล้วกลับมายังโลกให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมงจุดเด่นของซีรีส์ อย่างแรกนั้นคือตัวซีรีส์ลำดับเนื้อหาของเรื่องมาค่อนข้างดี การดำเนินเรื่องราวที่ค่อนข้างกระชับไม่ค่อยมีจังหวะยืดเยื้อหรือจังหวะดึงดราม่ามากนักการเดินไปข้างหน้าของเนื้อเรื่องค่อนข้างไวในช่วง 2-3 ตอนแรกแต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ชมเกิดความสับสนแต่อย่างใดเพราะตัวซีรีส์ได้มีการอธิบายเรื่องราวต่างๆไว้อย่างชัดเจนตลอดเวลา แถมยังมีจังหวะแฟลชแบ็คอดีตของตัวละครต่างๆในเรื่องเพื่อเป็นการทำให้คนดูเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดง่ายอีกด้วยจุดเด่นอย่างต่อมาคือพอยต์หลักของเรื่องหรือความลับบนสถานีวิจัยบัลแฮนั้นเอง ที่พอซีรีส์เฉลยเรื่องราวทั้งหมดออกมามันทำเอาคนดูขนลุกไปไม่น้อย การเล่าเรื่องบางตอนที่มีความสโลว์เบิร์นอยู่ในตัวเพื่อคอยบิ้วอารมณ์คนดูให้ถึงขีดสุดแล้วค่อยปล่อยหมัดฮุกตอนเฉลยเรื่องราวทั้งหมดทีเดียว และถ้าถามว่าพล็อตตรงนี้ของ the silent sea มันมีความคล้ายกับหนังฮอลลีวูดบ้างไหม? สำหรับตัวผมเองมองว่ามีความแอบเหมือนกับเรื่อง โพรมีธีอุส หรือเรื่อง แพนดอรัม อยู่บางส่วนแต่มันก็เป็นส่วนเล็กๆจริงๆเพราะพอถึงจุดเฉลยเรื่องราวทั้งหมด the silent sea เองกลับมีทางของมันที่ไม่ซ้ำกับใครเลยจุดเชื่อมโยงระหว่างการวิจัยบนสถานีบัลแฮกับภัยวิกฤตที่โลกกำลังเผชิญอยู่นั้นมันดูเมคเซ้นส์และเข้าใจได้จุดเด่นอีกหนึ่งอย่างคือคีย์เมสเสจที่ซีรีส์พยายามสื่อออกมาตลอดเวลาในเรื่องหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ หรือจะเป็นเรื่องความถูกต้อง หลักมนุษยธรรมและความไม่เท่าเทียมกันของผู้คน ที่วงการภาพยนตร์หรือซีรีส์เกาหลีเองมักจะพูดถึงประเด็นตรงนี้บ่อยครั้งและซีรีส์อย่าง the silent sea ก็ใส่เมสเสจตรงนี้เข้ามาได้อย่างพอดีไม่มากไม่น้อยจนเกินไปจุดด้อยของซีรีส์ คือเรื่องที่ตัวละครนั้นนำเชื้อตัวอย่างมาทดลองแล้วไม่สวมชุดป้องกันที่มันมิดชิด ทั้งที่เจ้าตัวเป็นคนพูดเองแท้ๆว่าเชื้อที่พบเจอนั้นมันอันตรายมากแถมไม่รู้สาเหตุแน่ชัดว่าเชื้อพวกนี้เข้าสู่ร่างกายมนุษย์ด้วยวิธีใด จุดนี้มันเลยกลายเป็นช่องโหว่เล็กๆที่ซีรีส์เองมองข้ามไปอย่างน่าเสียดายอีกหนึ่งอย่างคือเรื่องฉากดึงดราม่าในช่วงท้ายๆที่ตอกย้ำความเป็นซิกเนเจอร์ของเกาหลีอย่างเห็นได้ชัด แถมบทตรงนี้ก็มากองอยู่กับนักแสดงอย่าง กงยู ซะเยอะเห็นแล้วชวนนึกถึงพี่แกตอนเล่นเรื่อง train to busan จริงๆ บางฉากนั้นดึงดราม่าซะเยอะจนมันเสีย mood and tone ความดาร์ก ความสิ้นหวัง ที่ซีรีส์ปูมาค่อนข้างดีแล้วในตอนเริ่มเรื่องสรุปโดยรวม the silent sea เรื่องนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่ไม่เสียเวลาแก่การดูอย่างแน่นอนพล็อตที่มีทางเป็นของตัวเองบวกกับองค์ประกอบหลายอย่างที่ค่อนข้างลงตัว ถึงแม้จะขัดใจอยู่บ้างบางช่วงบางตอน แต่ถ้าท่านผู้ชมเน้นเสพความสนุกเป็นหลักก็สามารถปล่อยผ่านได้สบายครับ และถ้าคนไหนสนใจอยากหาชมซีรีส์ the silent sea เรื่องนี้ ก็สามารถรับชมผ่านสตรีมมิ่งออนไลน์ netflix ได้เลย รูปภาพประกอบบทความจาก Official Twitter: Netflix Koreaภาพหน้าปก | ภาพประกอบที่ 1 | ภาพประกอบที่ 2 | ภาพประกอบที่ 3 | ภาพประกอบที่ 4 เกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ๆ App TrueID โหลดฟรี!