Short Comment Dong Yi Jewel in the Crown : ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ (2010)ย้อนกลับไปเมื่ออดีตกาลนานมาแล้วเมื่อลูกคนที่สองของดูไปบ่นไปยังไม่เกิด ณ ขณะนั้นผู้เขียนเองได้ลาออกจากชีวิตเมืองมาใช้ชีวิตในชนบทตอนเหนือของจังหวัดเชียงใหม่แล้ว และเมื่อตอนนั้นเมื่อยี่สิบปีก่อนความบันเทิงในชายคาบ้านในชนบทก็คือละครโทรทัศน์ และถ้าจำไม่ผิดมีช่วงหนึ่งที่ซีรีส์เกาหลีที่ชาวบ้านร้านตลาดเรียกว่าหนังเกาหลีได้เข้ามามีบทบาทในจอแก้วที่ชาวบ้านติดกันงอมแงมผ่านจอช่องน้อยสีตอนเย็นย่ำในเวลาแห่งมื้ออาหารเย็นวันเสาร์-อาทิตย์ ซีรีส์เรื่องนั้นที่กลายเป็นตำนานที่ทุกบ้านต้องดูคือแดจังกึม จอมนางแห่งวังหลวง (A Jewel in the Palace 2003-2004) และจากความนิยมนั้นก็เข้าสู่ยุคทองของหนังเกาหลีตอนเย็นวันเสาร์-อาทิตย์เต็มที่ แต่ทว่าผู้เขียนกลับเป็นคนขวางโลกที่ไม่ดูหลังจากนั้น เพราะมองว่ามันมาตามกันมากไปจนทำให้พลาดไม่ได้ดูเรื่องที่กำลังเพิ่งได้ดูจบเพราะท่านผู้อ่านแนะนำมาว่าต้องดูกับเรื่องราวของทาสผู้ก้าวไปสู่จอมนางคูบัลลังก์แห่งโชซอนนามว่าทงอี ที่เริ่มตั้งแต่วัยเด็กที่ทงอี (คิมยูจอง) ที่ได้เจอกับเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตเมื่อพ่อและพี่ชายต้องตายอย่างอยุติธรรม ทงอีน้อยได้รับการช่วยเหลือให้ไปเป็นทาสในกองดนตรีในวังหลวงเพื่อค้นหาความจริง แล้วเมื่อเริ่มโตเป็นสาวทงอี (ฮันฮโยจู) ได้พบกับพระราชาซุกจง (จีจินฮี) โดยบังเอิญผ่านการสืบคดี จนเมื่อพระสนมจางอ๊กจอง (อีโซยอน) ถูกใส่ร้ายว่าประทุษร้ายพระมเหสีอินฮยอน (พัคฮาซุน) ทงอีก็ได้ช่วยล้างมลทินให้จางอ๊กจองและได้รับโอกาสให้เข้ามาเป็นนางในในแผนกสืบสวน จากนั้นทงอีก็ได้เข้ามาอยู่ท่ามกลางสงครามการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในวังหลวงระหว่างขุนนางฝ่ายพระมเหสีและฝ่ายจางอ๊กจอง จนเมื่อพระมเหสีเพลี่ยงพล้ำโดยอยุติธรรมทงอีจึงต้องเผยความจริงเพื่อช่วยพระมเหสีให้พ้นมลทิน แต่นั่นกลับทำให้ทงอีที่เป็นคนโปรดของพระราชาต้องหันหน้ามาเผชิญกับวังวนแห่งการแย่งชิงอำนาจกับจางอ๊กจอง ที่ความจริงมันทั้งน้ำเน่า ตามสูตร และลิเกเต็มที่แต่ก็มีดีพอที่จะเร้าใจจนหยุดดูไม่ได้ตามแบบละครเมื่อสิบกว่าปีก่อนสาเหตุสำคัญที่ทำให้เรื่องนี้กดสูตรติดและสามารครองใจคนดูในสมัยนั้นได้ หรือกระทั่งสมัยนี้ก็ยังได้แค่ต้องเข้าใจว่ามันคือละครเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั่นคือ หนึ่งคือเรื่องน้ำเน่าการแย่งชิงอำนาจในราชวังระหว่างภรรยาตามกฎหมายและอนุภรรยาที่ต่างฝ่ายต่างก็มีกองกำลังที่แข็งแกร่ง และการชิงไหวชิงพริบที่เชือดเฉือนแม้ว่ายังเป็นไปตามครรลองเมื่อบทวางให้คนที่เจ้าเล่ห์กว่าจะเอาชนะได้เรื่อยๆ แต่นั่นมันคือการเร้าอารมณ์ผู้ชมให้เทไปฝั่งหนึ่งคือฝั่งดีอย่างสุดทางก่อนให้รางวัลที่สาสมใจ สองคือตัวละครไม่สมองกลวงและไม่ทำอะไรเหนือมิติความเป็นมนุษย์ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายร้าย เมื่อฝ่ายดีอย่างทงอีและพระราชาไม่ได้ฉลาดน้อยจนไม่รู้เท่าทันทั้งหมด เหลือเพียงการมองโลกในแง่ดี (เกินไป) ที่ย้อนกลับมาทำร้าย ทำให้เพลี่ยงพล้ำบ่อยๆแต่นั้นก็คือเหตุผลที่เหมือนที่ว่ามาที่บทต้องการให้เป็น และมิติความเป็นมนุษย์แบบนี้เลยทำให้ตัวร้ายไม่ใช่ร้ายแบบโหวกเหวกโวยวายแต่ร้ายด้วยเล่ห์และร้ายลึก กับการแบ่งขาวเป็นขาวดำเป็นดำตามแบบละครสมัยนั้นเต็มที่ที่ทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมแน่นอนสามคือเพลงที่ติดหู เพราะแค่เพลงปิดตอนท้ายที่เป็นเสียงร้องประสานเสียงของนักร้องรุ่นเยาว์ก็บีบอารมณ์ในช่วงเวลาที่ทงอีวัยเด็กต้องเจอกับชะตากรรมอย่างที่เห็น เพราะเมื่อเพลงขึ้นมาคนดูพร้อมจะเศร้าและน้ำตาคลอ และสุดท้ายนักแสดงแถวแรกที่ทำหน้าที่ได้ดีในการเร่งเร้าอารมณ์ ใช่แล้วการแสดงที่เร่งเร้าอารมณ์ตามบทที่ต้องการให้รักเป็นรักเกลียดเป็นเกลียด เพราะคนดูจะไม่มีทางคลางแคลงในความดีงามในหัวใจหรือความซื่อสัตย์ของทงอีเลยแม้แต่น้อย หรือคนดูจะไม่มีทางแคลงใจในความรักที่พระราชามีต่อทงอี กระทั่งคนดูก็ไม่มีทางแคลงใจในตัวพระมเหสีที่หวังดีต่อคนที่นางมองว่าสามารถช่วยพระราชาที่เป็นสามีแต่ไม่ได้ครองหัวใจได้ และแน่นอนว่าไม่มีความสงสารเห็นใจใดให้กับจางอ๊กจองและครอบครัว เพราะบทเร่งให้คนดูคิดและเลือกแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องตำหนิเพราะละครเมื่อก่อนมันก็เป็นเช่นนี้ กระทั่งรวมไปถึงนักแสดงแถวสามที่ยังคงแสดงได้ไม่เนี้ยบพอยังเห็นเป็นการท่องบทก็มีเช่นองค์รัชทายาท แต่กลับเป็นส่วนสำคัญให้มองเห็นว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมาเกาหลีพัฒนาไปไกลขนาดไหนเรื่องการแสดงด้วยเนื้อหาที่เข้าถึงง่ายและบทตั้งใจมาเร้าอารมณ์คนดู จึงไม่แปลกที่ละครเรืองนี้จะสามารถเข้าถึงคนดูได้ทุกเพศทุกวัย (ถ้าไม่อคติเกินไป) เพราะยังมองเห็นเค้าลางของละครหลังข่าวในสมัยนั้นเรื่องเมียน้อยเมียหลวง เพียงแต่การเล่าเรื่องถูกเล่าอย่างละเอียดละเมียด เล่าให้คนดูสัมผัสได้ด้วยใจไม่ใช่ตั้งท่ามาให้คนดูอารมณ์ขึ้นหรือที่สมัยนี้เรียกว่าหัวร้อนกับพฤติกรรมไม่เป็นมนุษย์มนา ซึ่งการเล่าอย่างละเอียดละเมียดนั้นจะสร้างความผูกพันเพราะคนดูไม่มีทางจะไม่รู้สึกสงสารเห็นใจทงอี เพราะคนดูได้เห็นทงอีมาตั้งแต่เด็กได้เห็นชะตากรรมของเธอมาอย่างละเอียดผ่านการเล่าที่ละเมียดโดยให้สัมผัสด้วยความรู้สึกไม่ใช่อารมณ์ ทำให้ตัวละครได้ใจแม้กระทั่งตัวร้ายก็ได้ใจเพราะเล่าให้เห็นมิติของแสงและเงาเพียงแต่ได้ใจในอีกด้าน รวมถึงเรื่องของความรักที่มีพัฒนาการมองเห็นภาพของความรู้สึกของพระราชาที่ความรู้สึกก่อขึ้นโดยไม่รู้ตัวเมื่อความคิดถึงค่อยๆเกาะกุมหัวใจจนสุดท้ายปฏิเสธหัวใจไม่ได้ และทำให้ความรักของพระราชาที่กลายมาเป็นปัจจัยสนับสนุนทงอีดูไม่เกินเลย นั่นเพราะบทเล่าได้อย่างละเมียดจงบนถึงบทสรุปสุดท้ายแบบสุขสันต์นิรันดรดั่ง Cinderrella ที่แม้จะเหมือนเป็นเรื่องที่คุ้นชินแต่มันก็คือความสมใจ เพราะเมื่อคนดูรู้สึกมีส่วนร่วมกับชีวิตทงอีมาตั้งแต่เด็กและได้ผ่านเหตุการณ์ที่ท้าทายจนกระทั่งเจอกับเรื่องราวที่ล่อแหลมต่อชีวิตมากมาย หรือเรียกง่ายๆว่าคนดูรู้สึกเหมือนได้ผ่านเรื่องราวร้ายๆกับทงอีมาทั้งชีวิต เมื่อบทสรุปลงเอยแบบที่เห็นมันคือการให้รางวัลที่คุ้มค่ากับการฝ่าฟัน เพราะความยากลำบากในความเป็นทงอีได้ซึมลึกเข้าสู่กลางใจคนดูจนจนแทบเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตทงอี การได้เห็นทงอีมีความสุขก็คือรางวัลที่ได้รับเป็นความสุขสมใจ และที่ต้องชมคือบทดีพอที่จะทำให้คนดูที่รู้ทั้งรู้ว่าสุดท้ายทงอีจะต้องผ่านทุกเรื่องราวที่เข้ามาได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่คนดูก็ยังรู้สึกเอาใจช่วย ลุ้น หรือกระทั่งหวั่นใจว่าทงอีและองค์ชาย (ในช่วงท้าย) จะเป็นอันตราย ทำให้ระหว่างทางตลอดหกสิบตอนที่ดูจำนวนตอนแล้วสยดสยองแต่มีความน่าติดตามได้ในทุกตอน อย่างน้อยก็ต้องติดตามดูว่าทงอีจะผ่านอุปสรรคไปได้อย่างไร แน่นอนไม่อาจข้ามได้แม้แต่นาทีเดียวแต่... การเล่าเรื่องแบบละเอียดนั้นนอกจากความละเมียดที่ได้รับสิ่งที่ต้องแลกก็คืออาการยืดและช้า เพาะเมื่อดูไปก็เห็นชัดว่ามีการพยายามดึงไม่ให้เรื่องเดินหน้าเร็วเกินไปอันจะทำให้ไม่เหลืออะไรให้เล่า ทำให้คนดูที่ดูในตอนนี้รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่จำเป็น มีตัวละคร มีประเด็นมากมายที่ตัดออกได้เรื่องก็ไม่เสีย แต่นั่นก็คงไม่ยุติธรรมนักเพราะเป็นการเอาความรู้สึกจากความเคยชินจากการดูละครดูซีรีส์ในปัจจุบันมาตัดสิน ซึ่งถ้าเอามาเทียบกันไม่มีทางเปรียบได้เพราะปัจจุบันยี่สิบสี่ตอนก็เยอะมากแล้วและการเดินเรื่องถ้าจะละเมียดในเวลาน้อยกว่านี้ก็มีให้เห็นมาแล้ว แต่ถ้ามองว่านี่คือละครเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วที่ยังไม่ได้มีพัฒนาการด้านบทเหมือนในปัจจุบัน ทั้งยังมีจุดมุ่งหมายเข้าไปนั่งในใจคนดูให้ลึกที่สุด การพยายามใส่เรื่องราวประเด็นที่เร่งและบีบเข้ามาเรื่อยๆจนอาจดูเยอะแต่เมื่อมันได้ผลใครจะทำไม เพราะถึงที่สุดตัวผู้เขียนเองที่ดูไปก็รู้สึกว่ามันดูยืดๆแต่จะหยิบรีโมทมากดเลื่อนก็ทำไม่ได้ เพราะหัวใจมันรู้สึกว่าต้องรับรู้ทุกมิติที่ทงอีต้องเจอ นั่นหมายความว่าทงอีได้เข้าไปนั่งในใจผู้เขียนที่เป็นคนดูแล้วและมันก็ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นตำนานแต่คำว่าตำนานนั้นจะคู่ควรได้ก็ต่อเมื่อเวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังมีคนกล่าวถึง มีจำนวนไม่น้อยที่งานในตำนานไม่ใช่งานที่สมบูรณ์แบบ และมีไม่น้อยที่งานที่สมบูรณ์แบบแต่ถูกกาลเวลาลบเลือนหายไปและไม่ได้กลายเป็นตำนาน และสำหรับเรื่องนี้ถ้าจะว่ากันตามตรงคือมีริ้วรอยมากมายแต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นซีรีส์ในตำนานก็เพราะเมื่อเวลาผ่านมานานแล้วมาดูก็ยังดูสนุก ต่อให้คนดูจะรู้สึกขัดใจกับอะไรที่อาจไม่ทันใจหรือดูๆไปก็ลิเกดีๆ แต่สิ่งที่ยังจัดการคนดูได้คืออารมณ์ร่วมจากความรู้สึกผูกพันกับทงอีเพราะนี่คือเรื่องของทงอี แล้วเมื่อคนดูรู้สึกเหมือนได้ผ่านอะไรมามากมายกับทงอีแล้วสุดท้ายเปี่ยมสุขและสมหวัง มันก็คือสามารถกุมหัวใจคนดูได้จนเมื่อเวลาผ่านไปก็ยังคงกล่าวถึงและแนะนำปากต่อปากว่าต้องดู หรือเมื่อได้เห็นฮันฮโยจูก็จะคิดถึงทงอี เมื่อเห็นคิมยูจองก็คิดถึงทงอี เมื่อเห็นจีจินฮีก็รู้ว่านี่คือพระเอกทงอี แม้นักแสดงเหล่านี้จะสามารถสลัดบุคลิกจากทงอีได้หมดสิ้นแล้ว แต่ความรู้สึกในใจคนดูยังคงคิดถึงบทบาทและเรื่องราวที่พวกเขาได้ถ่ายทอดในทงอี แล้วที่สำคัญคือคนที่ไม่ได้ดูตอนนั้นไม่ว่าเหตุผลใดแล้วเมื่อมาได้ดูก็จะรู้สึกว่า "ไปอยู่ไหนมาถึงเพิ่งได้ดู" แบบนี้ ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ก็คู่ควรกับคำว่าตำนานไปอยู่ไหนมาถึงเพิ่งได้ดูโดย ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 จาก Facebook Viu Thailand