"ปุยฝ้าย" รับหมดแพชชั่นในวงการ ปฏิเสธละครกว่า 10 เรื่อง ! (มีคลิป)
นักแสดง นักร้อง มากความสามารถ "ปุยฝ้าย ณัฎฐพัชร์" หรือชื่อใหม่ "ปุยฝ้าย ภัทณชา" หรือรู้จักกันดีในนาม "ปุยฝ้าย AF" ที่วันนี้จะมาเปิดใจหมด Passion หมดไฟประกาศพักงานในวงการบันเทิง ปฏิเสธงานละครเกือบ 10 เรื่อง ไม่รู้ว่าแบบนี้เจ้าตัวคิดจะออกจากวงการเลยหรือเปล่า แล้วหันไปเป็นศรีภรรยาเต็มตัว แถมล่าสุดเธอยังยอมใจอ่อนมีลูกให้สามีแล้วด้วย ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง one31 ที่มีพีเค ปิยะวัฒน์ และหนิง ปณิตา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
อะไรทำให้เราซีเรียสเรื่องออกกำลังกายขนาดนี้?
ปุยฝ้าย : มันไม่เชิงซีเรียส มันเชิงเก็บกด จริงๆ ก่อนหน้านี้ฝ้ายเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้น การใช้ชีวิตมันถูกจำกัดมากเลย ห้ามออกกำลังกายแบบนี้ อย่าวิ่ง อย่าล้ม พยายามดูแลตัวเองให้อยู่ในสภาพที่ไม่บาดเจ็บ พอเราไปผ่าคอเรารู้สึกว่ากิจกรรมอะไรก็ตามที่เราอยากทำ เราอยากทำมันให้เต็มที่ ซึ่งพอผ่าคอเราก็ทำได้ คือฝ้ายผ่ามาประมาณปีกว่า ในความรู้สึกเรา เราอยากจะเป็นผู้หญิงแข็งแรงมากกว่า แล้วอยากทำกิจกรรมที่ไม่เคยทำมาหลายปี
ขอบคุณคลิปจากรายการ คุยแซ่บShow
ที่ออกกำลังกายเป็นเพราะสามีชอบ สามีคลั่งรักหนักมากที่แฟนหุ่นดี จริงไหม?
ปุยฝ้าย : เปล่า เขาจะบอกว่ายังไงก็ได้ขอให้มีความสุข เขาเห็นว่าเราเป็นคนชอบกิน ตัวเขาชอบออกกำลังกาย เขาไม่เคยแบบ เห้ย...ฝ้ายต้องไปนะ แล้วแต่เรา
คนในบอกว่าสามีคลั่งรักฝ้ายหนักมาก แต่ข่าวออกมาว่าขาเตียงฝ้ายไม่แข็งแรง?
ปุยฝ้าย : ขาเตียงในที่นี่น่าจะเป็นเรื่องของการมีลูก ตอนนั้นเขาถามว่าเราอยากมีลูกไหม เราก็บอกว่าเราไม่เคยคิดเลยว่าเราอยากมีลูก เราปฏิบัติธรรม เรารู้สึกว่าเราไม่อยากเอาอะไรมาผูกความรู้สึกให้เราต้องห่วงอีกแล้ว เราไม่อยากมีลูก เขาก็เลยมีความผิดหวัง แต่ว่าในความผิดหวังนั้น เขาก็มีความเข้าใจเรา จนในที่สุดเราก็มานั่งถามตัวเองว่าถ้าเราปฏิบัติธรรมมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้วเราไม่สามารถจัดการความรู้สึกเราได้ว่าวันหนึ่งถ้ามีลูกเราจะทุกข์ เราจะห่วงไหม แสดงว่าเราสอบตก เพราะฉะนั้นเนี่ย เรามี
ทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนความคิด?
ปุยฝ้าย : คือเราเกิดความคิดใหม่ว่า ถ้าเรามีแล้วเราไม่สามารถจัดสรรความรู้สึกของเราได้ หมายความว่าสิ่งที่เราฝึกฝนมาคือเรื่องของการปฏิบัติธรรมมันไม่ประสบความสำเร็จ เพราะถ้าเราไปคาดหวังในตัวลูกเรา เรากลัวว่าลูกจะทำให้เราผิดหวัง ลูกจะทำให้เราทุกข์ มันหมายความว่าเราอะไม่ดี เราต้องให้ตัวเองที่ฝึกฝนมาตั้งนานสามารถรับสภาพอะไรก็ได้บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะผิดหวังหรือสมหวัง เราก็เลยลองดู อันนี้คือสนามใหญ่ของเรา
เราเก็บไข่ไหม?
ปุยฝ้าย : ตั้งใจจะเก็บแล้ว จริง ๆ ด้วยวัย 35 ปี มันอยู่ในช่วงที่ควรจะ ถ้าไข่ที่ดีคือช่วง 28-31 ปี แต่พอเราเริ่ม 34-35 แล้วถ้าเรายังไม่มีลูกสักที คุณหมอจะแนะนำว่าเก็บไข่ไว้ก่อน เพราะปีนี้มันจะดีกว่าปีหน้าแน่นอน ถ้าปีหน้ายังไม่มี ปีถัดไปมันจะแย่ไปอีก
ขั้นตอนของการเก็บไข่มันเป็นยังไง?
ปุยฝ้าย : เขาต้องตรวจร่างกายเราก่อนว่ามีปัญหาอะไรไหม อย่างตัวฝ้ายเป็นภาวะไข่ไม่ตกจากการออกกำลังกายค่อนข้างมากไป ก็ต้องมารักษาตรงนั้นก่อนพอเสร็จปุ๊บก็ไปตรวจความสมบูรณ์ของไข่ ก็เริ่มมีการฉีดกระตุ้นฮอร์โมน แล้วเลือกไข่ที่แข็งแรงแล้วเก็บเอาไว้ ถ้าเราอยากจะมีก็เอาไข่มาผสมภายนอกกับเชื้อของแฟนเรา
แล้วพอเป็นตัวอ่อนแล้วค่อยฝังกลับเข้าไปคืน
มันเก็บได้นานแค่ไหน?
ปุยฝ้าย : เรื่อย ๆ เลย อยู่ที่ว่าเรามีทุนทรัพย์ยังไง ก็ฝากปีต่อปีไป
คุยกันไหมว่าอยากมีผู้ชายหรือผู้หญิง?
ปุยฝ้าย : ฝ้ายอยากมีผู้ชาย แต่แฟนอยากมีผู้หญิง เขาเลยบอกว่างั้นขอสัก 12 คนได้ไหม เราบอกเดี๋ยวก่อน เราไม่ใช่หมา เราไม่ได้ออกเป็นคอก ใจเย็น ๆ แต่ว่าที่สุดแล้วเขายังไม่อยากให้เราเก็บด้วยซ้ำ กลัวเราเจ็บ เขาบอกถ้าพร้อมลองธรรมชาติก่อน ถ้าไม่มีจริง ๆ ค่อยว่ากัน
แสดงว่าตอนแรกสามีอยากมี แต่ฝ้ายไม่อยากมี?
ปุยฝ้าย : ใช่ แต่ตอนนี้เราเข้าใจในการที่เราจะต้องมีแล้ว ตัวเขาเองบอกว่าถ้าตอนนี้ฝ้ายยังใช้ชีวิตมีความสุข อยากทำอะไรก็ทำไปก่อน ไม่ต้องรีบเร่ง เพราะที่ผ่านมาฝ้ายทำงานมาตลอดเลย ยังไม่เคยได้ใช้ชีวิต ตอนนี้ถ้าฝ้ายทำอะไรแล้วมีความสุขให้ทำ แล้วก็อย่าเอาความสุขของคนอื่นมาเป็นภาระของตัวเอง เช่น ถ้าเขาอยากมีลูก เขาไม่ได้เป็นคนท้องนิ อย่าเอาความสุขของเขามาเป็นภาระของฝ้าย ฝ้ายพร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยมี หรือถ้าวันหนึ่งฝ้ายจะบอกพี่ว่าไม่อยากมีแล้ว เขาเข้าใจ
ฝ้ายอยู่วงการ 10 กว่าปีแล้ว ทีมงานบอกว่า ณ ตอนนี้เลย เรารู้สึกว่าเราหมด Passion กับวงการบันเทิงแล้ว ทำไม?
ปุยฝ้าย : อยู่ดี ๆ ก็เป็น คือก่อนหน้านี้ตอนที่เรามีโอกาสในการทำงาน เราทำมันอย่างเต็มที่ เขาเรียกว่ามันทะลักเกินไปคือมันใช้แรงล่วงหน้าเราไปเยอะ แล้วละครมันไม่ใช่สิ่งที่เราชอบที่สุด แต่เราทำเพราะว่าเราได้โอกาสในการทำงานแล้วเราก็เลยทำๆ แบบไม่ลืมหู ลืมตา ทำมาตลอด แต่พอเจอโควิดปุ๊บ มันเป็นไฟท์บังคับที่ถูกให้หยุด คราวนี้มันหลายเป็นว่า พอเราหยุดแล้วเราดันไปเจอความรู้สึกว่ามันมีความสุขมาก คือสงบ ไม่ต้องเจอคน
ตอนหยุดฝ้ายทำอะไรบ้าง?
ปุยฝ้าย : หนูอยู่บ้าน ทำน้ำพริกอยู่ในครัวคสเดียว แล้วกลายเป็นว่าสิ่งที่เราทำไปมีคนชื่นชอบ แล้วมันอยู่ที่เราเองว่าอยากจะทำเมื่อไหร่ เราเลือกได้ว่าวันนี้ฉันอยากจะพัก วันนี้ฉันจะไปทำอะไร แล้วสงบ อยู่บ้านไม่ต้องเจอใคร มันกลายเป็นความสุขที่เหมือนเจอแสงสว่าง
ทำอย่างนั้นมากี่ปี?
ปุยฝ้าย : 3 ปีค่ะ
แล้วเริ่มออกกำลังกายตอนไหน?
ปุยฝ้าย : ฝ้ายเพิ่งเริ่มออกกำลังกายได้ 4 เดือนเอง หนูก็ไม่คิดว่ากล้ามท้องมันจะมาไวขนาดนี้ แต่ก่อนหน้านั้นงานที่ทำเราต้องรู้สึกว่าใจเราอยากจะทำ เราถึงไป ถ้าอันนี้เรารู้สึกฝืน เราเลือกไม่ไปดีกว่า แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนฝืนแต่ก็เกรงใจไปก็ได้
อารมณ์แบบไม่อยากเจอกล้อง ไม่อยากเจอคน ไม่อยากแต่งหน้า แต่งตัว?
ปุยฝ้าย : ใช่ ไม่ชอบแต่งหน้า ไม่ชอบทำผม ไม่ชอบแต่งตัว จริง ๆ เป็นมานานแล้ว แต่ว่าคาแรกเตอร์ในละครจะเป็นผู้หญิงเปรี้ยว ตัวร้าย ฉันจะต้องแต่งตัวสวย แต่ในชีวิตจริงไม่แต่งตัวเลย ขอโทษนะคะ รองเท้าที่ฝ้ายใส่ในวันนี้เป็นรองเท้าที่ฝ้ายไปขุดมา แล้วสายมันเปื่อย ฝ้ายเป็นคนไม่ใส่ส้นสูง ปกติใส่ผ้าใบ รองเท้าแตะ กางเกงวอร์ม ยีนส์ สามีเขาชอบมาก อะไรก็ได้ที่เป็นธรรมชาติ แล้วชุดก็แบบซื้อออนไลน์มาใส่ ไม่รู้ว่าหนูจะไปหาของแพงมาใส่ทำไม มาออกรายการ หนูนั่งทาเล็บด้วยตัวเองนะ
ปฏิเสธละครไป 10 กว่าเรื่อง?
ปุยฝ้าย : คือถ้า 3 ปี 10 กว่าเรื่องค่ะ เฉพาะปีนี้ 6 เรื่อง
คนที่อยู่ใกล้ ๆ ตัวฝ้ายเขาก็แอบเป็นห่วงว่าอาการแบบนี้มันอาจจะเป็นสาเหตุเบื้องต้นของคนเป็นโรคซึมเศร้า?
ปุยฝ้าย : โดนบ่อยมาก คือขออนุญาตนะคะ จะมีทางกองละครของพี่ฉอด จริง ๆ พยายามจะก้าวข้ามตัวเองเพื่อไปเล่นละคร แต่ข้างในมันยังไม่ไป ก็ยื้อไป ยื้อมา คุยกับน้องทีมงาน จนในที่สุดแล้วพี่ฉอดก็อธิบายว่าฝ้าย นี่บทมันน่าสนใจอย่างนี้ หนูบอกว่าหนูเข้าใจ บทน่าเล่นมาก ๆ แต่ขอพูดตรงๆ ดีกว่า ไม่มี Passion แล้ว คุยไป 2 ชั่วโมง ทุกคนจะเป็นห่วงว่าไปหาหมอไหม เป็นซึมเศร้าหรือเปล่า เจอพี่หนึ่ง จักรวาล ถามว่าทำไมหนูไม่ร้องเพลงแล้วลูก ร้องพี่ แต่บางทีรู้สึกว่าเห็นไมค์แล้วกลัว ๆ
นอกจากละครแล้วมันมาถึงร้องเพลงเลยเหรอ?
ปุยฝ้าย : เป็น คือหนูเป็นนักร้องมาก่อน ซึ่งคนจะเข้าใจว่าเราเป็นนักแสดง แต่จริง ๆ เราเป็นนักร้อง พอไปร้องเพลงมันกลายเป็นประหม่า คือเราเป็นนักร้อง เป็นสายประกวดมา ชอบร้องเพลงเพราะ ๆ แต่ช่วงหลัง ๆ อาจจะเป็นเพราะคาแรคเตอร์ในละครทำให้เวลาเราไปเล่นคอนเสิร์ต คนจะคาดหวังความตลกจากเรา บางครั้งเราต้องโชว์ในแบบที่เขาอยากเห็น แต่เราไม่ได้โชว์ในแบบที่เราอยากทำ แล้วบางครั้งเวลาที่เราร้องเพลง เราอยากพัฒนาตัวเองให้ร้องได้ดีตามยุค ตามสมัย แต่ในที่สุดเรารู้สึกว่าเราไม่พอจริงๆ เลยสำหรับยุคนี้ มีความนอยด์ ๆ อยู่บ้าง เกิดความไม่มั่นใจในตัวเองเวลาจะร้องเพลง แต่ตอนนี้ก็เริ่มปรับตัวนะ มันเกิดจากช่วงหลัง ๆ เรามีงานตามผับบ่อย แล้วปกติเป็นคนไม่ดื่มเลย แล้วเวลาไปเล่นคนดูเขาจะสนุกมาก แล้วเรารู้สึกว่าความสนุกของเราที่เราทำอยู่มันยังไม่พอเท่าที่พวกพี่เขาสนุกกันเลย เรารู้สึกว่าฉันมาขนาดนี้แล้ว ยังไม่โดน ยังไม่ทัชใจกันอีกเหรอ เรารู้สึกว่าเราต้องมีความกล้ามากขึ้นในการโชว์ด้วยการดื่มสักแก้ว เพราะหนูเป็นคนเมาง่าย พอดื่มสักแก้ว มันจะเริ่มมึน ๆ จะกล้าพูด กล้าเล่นในสิ่งที่ชีวิตปกติไม่ค่อยพูด ทำอย่างนั้นมาเป็นปี ๆ จนรู้สึกว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ทำไมเราต้องพยายามดื่มให้กล้า กล้าเพื่อเล่น วนอยู่อย่างนี้มันก็เลยเหนื่อย
แบบนี้ถึงขั้นจะพักงานในวงการเลยไหม?
ปุยฝ้าย : พักบางอย่าง ทำบางอย่าง ตอนนี้ฝ้ายพักละคร แล้วมาทำพิธีกร ร้องเพลงปะปราย ร้องเพลงรับอยู่ ถ้าอีเว้นท์หรือรายการนั้นๆ ไม่ทำให้เรารู้สึกล่าสุดฝ้ายไปอีเว้นท์มาต้องร้องคนเดียวหนึ่งชั่วโมง ยืนมือสั่น แต่ขึ้นไปคนไม่รู้นะคะ สักประมาณเพลงที่3 เข้าที่
แล้ววันนี้เขาไปขุดฝ้ายมาออกรายการ คุยแซ่บshow ได้ยังไง?
ปุยฝ้าย : คุยแซ่บติดต่อไปหลายครั้งเลย แต่หนูก็บอกว่าไม่เอา ไม่มาดีกว่า จนในที่สุดเรารู้สึกว่าวันนี้เป็นสิ่งที่เราได้พูดถึงความรู้สึกตัวเอง ณ ปัจจุบันด้วยหนูก็เลยอยากมา
จริงไหมจะบวชตลอดชีวิตเลย?
ปุยฝ้าย : พอเราแต่งงานมันคงไม่ได้ทำ แต่จริง ๆ การปฏิบัติธรรม เราสามารถทำได้ทุกวัน อย่างก่อนมารายการฝ้ายก็สวดมนต์มาในรถนะ คือเรื่องบวชตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องบวชทุกปีเป็นการเข้าไปปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งไม่ต้องตลอดชีวิตแล้ว อยู่ที่บ้านก็ทำได้
เรื่องมูที่บอย พิษณุ พี่แท่ง เลือกเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนเบอร์ มันมาได้ยังไง?
ปุยฝ้าย : คือมันเกิดจากที่เราพอมีความรู้บ้าง จริง ๆ ฝ้ายไม่ใช่หมอดู ไม่ใช่คนเก่งอะไร มีพระอาจารย์สอนมาอีกที แล้วด้วยความสนิทกับพี่บอย เราก็เลยไปดูชื่อ สกุล เขาแต่เขาไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เราก็แกล้งโทร.ไปว่าเราไปเช็กชื่อสกุล มา เลขของพี่เป็นประมาณนี้ พอเราพูดไปเขาแบบ เห้ย...มันตรงมากเลย เขาก็เลยอยากเปลี่ยนชื่อ ในที่สุดฝ้ายไม่ได้มีความสามารถในการเปลี่ยนชื่อให้ใคร ก็ต้องพาไปหาครูบาอาจารย์เหมือนกัน
แล้วเรื่องดูตัวเลขละ ที่เขาบอกว่าดูตัวเลขให้กับคนเกือบทั้งวงการ?
ปุยฝ้าย : ก็ตั้งแต่รายการออกไป มีคนรู้ว่าเราดูตัวเลขได้ เวลาเจอกันก็จะให้ดู ซึ่งอย่างพี่นุ้ย พอดูปุ๊บก็ไแทักแกตรงมาก ๆ เลยแกบอก
แล้วไปเอาความรู้ตรงนี้มาจากไหน?
ปุยฝ้าย : มีพระอาจารย์ที่ฝ้ายนับถือตั้งแต่เด็ก ด้วยความสงสัยว่าทำไมตัวเลขมันถึงมาบอกเรื่องราวในชีวิตเราได้เยอะขนาดนี้ ท่านก็จะสอนว่าตัวเลขมันมีกำลังของมันนะ มันมีความหมายของมัน มันก็คล้าย ๆ สถิตินั่นแหละ ท่านก็เลยบอกเราว่า 1-100 มีความหมายยังไง เราก็มานั่งอ่านดู คือฝ้ายไม่เก่ง แต่ตัวเลขเขามีความหมายของเขาอยู่แล้ว เราแค่จำได้แค่นั่นเอง
ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama