หากช่วงชีวิตของเรากำลังดำดิ่งอยู่ในภาวะของความตกต่ำทางจิตวิญญาณอย่างสุดขีด การได้เสพดนตรี หนังสือ งานศิลปะ หรือภาพยนตร์สัก 1 เรื่อง ก็เป็นอีกหนึ่งทางออกที่ดีไม่น้อย ปัจจุบันหนังแนวให้กำลังใจ หรือให้พลังทางใจทางบวกเพื่อต่อสู้กับความหนักหน่วงต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตมีหลายเรื่องด้วยกัน หนังที่ผมมักจะนึกถึงเสมอและหยิบมาดูเกือบทุกครั้งเพื่อโหยหาพลังงานทางจิตวิญญาณ หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นเรื่อง “The King's Speech” ซึ่งเป็นหนังที่สร้างขึ้นจากเรื่องจริง อันเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่คุณค่ายิ่งของพระเจ้าจอร์จที่ 6 (George VI) ซึ่งเป็นพระบรมราชชนก (บิดา) ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (Elizabeth II) พระมหากษัตริย์ของอังกฤษในปัจจุบัน ที่ทรงเอาชนะสิ่งที่ยากยิ่งที่สุดในชีวิตของพระองค์นั่นคือ "การพูดติดอ่าง" หนังเรื่องนี้ได้ถ่ายทอดให้เห็นถึงเรื่องราวของพระองค์ในขณะขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอังกฤษ ซึ่งการปฏิบัติพระราชกรณียกิจในแต่ละครั้งจะต้องมีการพระราชทานกระแสพระราชดำรัส หรือการพูดต่อหน้าประชาชน ในงานพิธีการสำคัญต่าง ๆ หรือแม้แต่การพูดเพื่อปลุกใจ หรือให้กำลังใจประชาชน ทว่าเมื่อพระองค์ทรงมีข้อจำกัดในเรื่องของการพูดติดอ่าง ซึ่งหนังได้เปิดเรื่องราวความไม่ราบรื่นของพระองค์ในข้อนี้เป็นฉากแรก เมื่อดูแล้วคนที่เคยติดอ่างอย่างผม ยิ่งรับรู้ได้ถึงความรู้สึก ความอึดอัดนั้นและชวนให้ดิ่งลึกสู่ภวังค์แห่งความลุ้นระทึกเป็นอย่างยิ่ง เมื่อการพูดของพระองค์เป็นไปอย่างไม่ราบรื่นแล้ว ย่อมส่งผลต่อขวัญและกำลังใจของประชาชน ถือเป็นปัญหาอย่างใหญ่หลวงในฐานะของพระมหากษัตริย์ เพราะนั่นหมายถึงสถาบันหลักของชาติ ที่ไม่อาจทำหน้าที่ได้อย่างสมสง่านอกจากฉากแต่ละฉากในหนังเรื่องนี้จะประพิมพ์ประพายไปด้วยความงดงาม ยิ่งใหญ่ และใกล้เคียงกับข้อเท็จจริง ทั้งการแต่งกาย สถานที่ และสิ่งแวดล้อมในยุคนั้นแล้ว (ช่วงปี 1936 – 1947) หนังยังได้พยายามถ่ายทอดให้เห็นถึงความอึมครึม น่าอึดอัด และลุ้นจนแทบจะหยุดหายใจเกี่ยวกับการมีสุนทรพจน์ของพระองค์ในแต่ละครั้ง โดยหนังได้บอกเล่าเรื่องราวความอึมครึม น่าอึดอัดผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ เรื่อยมา จนกระทั่งประเทศเข้าสู่สภาวะสงคราม การพระราชทานพระราชดำรัสของพระมหากษัตริย์เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับเหล่าทหารกล้าและประชาชนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ทำให้สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธ (Elizabeth) ซึ่งเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนี (มารดา) ในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (Elizabeth II) เกิดความห่วงใยในการทำหน้าที่ของพระราชสวามีของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง จึงได้แสวงหาผู้ที่จะทำการรักษา หรือช่วยให้พระราชสวามีมีพระอาการที่ดีขึ้น โดยทรงพยายาททุกวิถีทาง คนแล้วคนเล่า แต่ก็ไม่เป็นผลดี ซึ่งการทำหน้าที่ภรรยาในฐานะสมเด็จพระราชินีได้เป็นอย่างดียิ่ง จนกระทั่งในท้ายที่สุดได้พบกับชายสามัญชน ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาเกี่ยวกับการพูดแบบแนวใหม่ และเกิดเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเรื่อง “ชนชั้น” ระหว่าง “กษัตริย์” กับ “ราษฎร” ซึ่งหนังทำออกมาให้ความรู้สึกที่อิ่มเอมแบบพอเหมาะพอดียิ่งเหนือสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากประเด็นความอิ่มเอมใจที่ว่าด้วยเรื่องของชนชั้นที่หนังเรื่องนี้ได้เสนออย่างพอเหมาะพองามแล้ว หนังยังได้พยามนำเสนอกระบวนการรักษาอาการติดอ่าง ของพระเจ้าจอร์จที่ 6 อย่างน่าสนใจ กล่าวคือพระองค์ต้องทรงละวางหัวโขนของการเป็นกษัตริย์ทุกครั้งที่อยู่ในช่วงเวลาของการรักษา เพราะมีกระบวนขั้นตอน หรือวิธีการที่อาจจะต้องปฏิบัติต่อพระองค์เยี่ยงสามัญชน รวมทั้งกระบวนวิธีการรักษาในรูปแบบต่าง ๆ ที่ชี้ให้เห็นถึงความสร้างสรรค์ทางความคิด ที่จะต้องแสวงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างไม่หยุดยั้ง สิ่งไหนเป็นสิ่งเดิมที่เคยทำกันมาแล้ว ก็เสียเวลาที่จะไปย้อนคิดย้อนทำ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นปัจจุบันและอนาคตไม่ใช่การหมกมุ่นหรือโอบกอดแต่อดีตความรู้สึกภายหลังที่ได้รับชมหนังเรื่องนี้ ไม่เพียงการเปิดรับเกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์และเรื่องราวจารีตประเพณีของสถาบันพระมหากษัตริย์แห่งอังกฤษเท่านั้น ความประทับใจเหนือสิ่งอื่นใดคือการที่หนังเน้นให้เห็นถึงคำว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" เป็นเรื่องที่มีอยู่จริง ซึ่งเป็นการเพิ่มความขลังให้หนังเรื่องนี้ได้อย่างลงตัว มันงดงาม และชวนให้ปริ่มเปรม จนอยากลุกขึ้นปรบมือในฉากอันยิ่งใหญ่ตระการตาในตอนท้ายของเรื่อง ซึ่งเป็นฉากที่ทำให้ผมน้ำตาเอ่อไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ท้ายที่สุดนี้ผมอยากขอบคุณเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้เชื่อว่าความมืดมิดไม่ได้อยู่กับเราเสมอไป สำหรับผมแล้วหนังเรื่อง The King's Speech จึงเป็นมากกว่าหนังอ้างอิงประวัติศาสตร์และเป็นหนังที่สร้างกำลังใจและแรงบันดาลใจให้ผมตลอดกาลขอบคุณภาพประกอบจาก The King's Speech Official Trailer