[รีวิวซีรีส์] "Expats" พลัดถิ่น พลั้งพลาด พลัดพราก
ในปี 2019 หนัง(ลูกครึ่ง)ฝรั่งเล่าเรื่องคนเอเซียนอย่าง ‘The Farewell’ ได้เบียดพื้นที่งานประกาศรางวัลต่าง ๆ และมันทำให้ชื่อของ ลูลู่ หวัง (Lulu Wang) ผู้กำกับสาวจากจีนแผ่นดินใหญ่ได้รับการจับตามองถึงการเป็นผู้กำกับหนังดราม่าที่มีความลึกซึ้งและเล่าเรื่องครอบครัวคนเอเซียได้อย่างเข้าอกเข้าใจและเรียกน้ำตาผู้ชมได้โดยที่ตัวหนังปราศจากความฟูมฟาย
4-5 ปีต่อมา ในที่สุดเธอก็ได้มีโอกาสทำซีรีส์ระดับอินเตอร์อย่าง ‘Expats’ ที่ได้นิโคล คิดแมน (Nicole Kidman) มาแสดงนำและนั่งแท่นเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหาร (Executive Producer) ให้กับซีรีส์อีกด้วย โดยซีรีส์จะเล่าเรื่องผ่านโศกนาฏกรรมที่ฮ่องกงในปี 2014 เมื่อ มาร์กาเร็ต (รับบทโดย นิโคล คิดแมน) สาวอเมริกันที่มาใช้ชีวิตในฮ่องกงต้องสูญเสียลูกชายตัวน้อยในตลาดย่านมงก๊ก โดยผู้ที่ต้องแบกรับความผิดบาปครั้งนี้หนีไม่พ้น เมอร์ซี่ (รับบทโดย ยู จียอง, Ji-young Yoo) สาวเกาหลีที่ออกจากบ้านเกิดมาเสี่ยงโชครับงานสาวเสิร์ฟในต่างเมืองที่วันดีคืนดีความไว้ใจก็ทำให้เธอได้งานเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้ลูกชายของมาร์กาเร็ต โดยคนที่โดนลูกหลงจากความสูญเสียของมาร์กาเร็ตยังมี ฮิลารี (รับบทโดย ซารายู บลู, Sarayu Blue) สาวเชื้อสายอินเดียนที่นอกจากจะต้องแบกรับคำกล่าวหาของมาร์กาเร็ตให้ เดวิด (รับบทโดย แจ็ก ฮัสตัน, Jack Huston) สามีฝรั่งขี้นกที่เธอพยายามจะสร้างครอบครัวด้วยแต่เขาแอบไปหลับนอนกับเมอร์ซี่ ชะตากรรมของลูกชายมาร์กาเร็ตเลยกลายเป็นทางออกเดียวเพื่อปลดปล่อยพวกเขา
จากบทของซีรีส์สิ่งที่เป็นลายเซ็นของลูลู่ หวังชัดเจนมากคือการนำเสนอเรื่องราวแบบเสี้ยวชีวิต (Slice of life) ของตัวละครแต่ละคน โดยมีมาร์กาเร็ตเป็นจุดศูนย์กลางที่ร้อยเรื่องราวที่กระจัดกระจายมาเป็นเนื้อเดียวกัน และต้องยอมรับว่าในขณะที่ซีรีส์ดำเนินมาเกินครึ่งทางแล้ว (4 ตอนจาก 6 ตอน) มันพิสูจน์ใจผู้ชมไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะมันปราศจากพลอตเร้าใจ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยบทสนทนาและฝีมือการแสดงของนักแสดงล้วน ๆ
ซึ่งสิ่งที่ดีมากในซีรีส์ชุดนี้คือการได้ทีมนักแสดงหญิงที่แข็งแรงมาก ๆ อย่างคิดแมนนี่หายห่วงเลย เธอได้พิสูจน์แล้วว่าการทิ้งคำว่า “ดารา” มาเป็นนักแสดงอาชีพคือทางที่ยั่งยืนมาก ไม่มีฉากไหนที่เราเห็นมาร์กาเร็ตแล้วจะไม่รู้สึกสงสาร หวาดกลัว และสมเพชในชะตากรรมของเธอ เรียกได้ว่า คิดแมน “ใส่สุด” ให้การแสดงแบบไม่สนฟอร์มของซีรีส์ล่ะ
ในขณะที่อีก 2 นักแสดงสาวก็โดดเด่นไม่แพ้กันทั้ง ยู จียอง ที่ทำให้ภาพของเมอร์ซี่ออกมาเป็นมนุษย์มาก ทั้งมีความเห็นแก่ตัว โหยหาความรักจากผู้ชายที่น่าสิ้นหวังและใช้ชีวิตวัยสาวไปวัน ๆ แบบไร้จุดหมายและยังต้องแบกรักบาปกรรมที่เธอทำลายครอบครัวหนึ่งด้วยความสะพร่ำเพียงชั่วขณะได้อย่างน่าสนใจ และมีเสน่ห์โดยไม่ต้องพึ่งหน้าตา
ในขณะที่ซารายู บลู สาวอินเดียที่มักได้บทตัวประกอบในหนังใหญ่ก็พิสูจน์ฝีมือการแสดงได้น่าสนใจ โดยเฉพาะในตอนที่ 4 (ตอนล่าสุดในปัจจุบัน) ฉากที่เธอต้องติดลิฟต์กับแม่พร้อมด้วยสาวฝรั่งผมสั้นที่ทุกอย่างถ่ายทอดผ่านบทสนทนาที่แสดงให้เห็นอดีตที่ปวดร้าวและความยากลำบากที่เกิดเป็นผู้หญิงอินเดียที่แม่หวังเพียงให้เธอแต่งงานมีลูกเท่านั้น
แม้ว่างานบทสนทนากับการกำกับและการแสดงจะออกมายอดเยี่ยมอย่างที่กล่าว แต่จุดหนึ่งที่หลายคนอาจจะเทซีรีส์เรื่องนี้ได้ง่าย ๆ คือความต่อเนื่องและจังหวะจะโคนของซีรีส์ที่ไม่สมูธเท่าที่ควร โดยเฉพาะการเปิดซีรีส์ด้วยเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว 1 ปี และเราได้เห็นความเร้าใจทั้งฉากไล่ล่าระหว่าง มาร์กาเร็ตกับเมอร์ซี่ ที่แสดงให้เห็นว่าสองคนนี้หนีกันไม่พ้นโดยที่คนดูแทบไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น หรือความหมางเมินระหว่างมาร์กาเร็ตกับฮิลารีที่เริ่มและจบงง ๆ แถมในตอนต่อมาแทบไม่มีผลกับซีรีส์เลย
และยิ่งไปกว่านั้นคือการที่ตอนที่ 2 กลายเป็นฉากแฟลชแบ็กที่มีหน้าที่เล่าเหตุการณ์ที่ลูกชายของมาร์กาเร็ตหายตัวไป แต่กลับไม่ได้เล่าที่มาความสัมพันธ์ระหว่างเดวิด ฮิลารีและเมอร์ซี และตัดกลับมาปัจจุบันแบบงง ๆ และตอนที่ 3 ที่แทบจะไม่มีความคืบหน้าเท่าไหร่ เห็นเพียงแค่ความประสาทกินของมาร์กาเร็ตและฉากสะเทือนใจท้ายตอนที่ 3 ที่รู้สึกว่าเรื่องราวคืบหน้าไปบ้าง
ยังดีที่ตอนที่ 4 เหมือนซีรีส์เริ่มรู้ตัวว่าทำผู้ชมเสียเวลาในตอนที่ 3 ไปเยอะเลยเริ่มสร้างระเบิดเวลาให้ทั้ง มาร์กาเร็ตและสามีที่กำลังเดินทางไปพิสูจน์ชะตากรรมของลูกชายที่จีนแผ่นดินใหญ่ หรือความสัมพันธ์ลับระหว่างเมอร์ซี่กับเดวิดที่เริ่มยุ่งยากขึ้นไปอีกขั้น และมีซีนดี ๆ ของฮิลารีที่ได้เถียงกับแม่ในฉากลิฟต์ที่เราได้กล่าวไป
ขณะนี้ซีรีส์ ‘Expats’ ยังเหลืออีก 2 ตอนโดยจะสตรีมผ่าน Prime Video ทุกวันศุกร์ ใครอยากดูซีรีส์ดราม่าเข้มข้น หม่นเศร้า ที่เล่าเรื่องราวของ “คนพลัดถิ่น” ได้อย่างร้าวรานเชิญชมได้ครับ