10 หนังไซไฟแป้กตอนฉาย แต่ปัจจุบันกลายเป็นหนังคัลต์สุดคลาสสิก
หนังไซไฟ (Science fiction: Sci-fi) เป็นหนังที่สร้างแรงบันดาลใจให้เราเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวสุดล้ำเหนือจินตนาการ บางเรื่องประสบความสำเร็จทันทีที่ออกฉาย แต่บางเรื่องกลับแป้กแบบไม่เป็นท่า ล้มเหลวทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อผู้คนค้นพบคุณค่าใหม่ ๆ ของหนังเหล่านั้น กาลเวลาก็ทำให้มันกลายเป็นหนังไซไฟสุดคัลต์ที่คอหนังคลาสสิกหลงรักไปในที่สุด
ในวันนี้ BUZZ ก็ได้นำ 10 หนังไซไฟน่าดูที่ในอดีตเคยแป้ก แต่ปัจจุบันกลายเป็นหนังคัลต์สุดคลาสสิกที่คอไซไฟต้องดูสักครั้งในชีวิตมาฝาก จะมีเรื่องอะไรอยู่ในลิสต์บ้าง ลองมาดูกัน
10. Silent Running (1972)
ความยาว: 1 ชั่วโมง 30 นาที
ผู้กำกับ: ดักลาส ทรัมบูล (Douglas Trumbull)
อาจเป็นเพราะความยิ่งใหญ่ของ ‘2001: A Space Odyssey’ ที่เข้าฉายในช่วงปี 1969 ทำให้ผู้คนไม่ค่อยตื่นเต้นและสนใจ ‘Silent Running’ ที่เข้าฉายในปี 1972 เท่าไหร่นัก เพราะบรรยากาศของหนังมีความมืดมนกว่า เน้นหนักไปที่เรื่องราวของระบบนิเวศน์ และยังเกี่ยวข้องกับการเอาตัวรอดของมนุษย์
แต่แล้ว 50 ปีต่อมาหนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังไซไฟสุดคลาสสิกที่หลายคนรัก นอกจากนี้เป็นที่จดจำในฐานะหนังไซไฟเรื่องแรกที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเผชิญภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อมและการหาแนวทางแก้ไขด้วย
‘Silent Running’ เล่าเรื่องราวหลังโลกล่มสลาย ป่าไม้สูญพันธุ์ไปเกือบหมด นักบินอวกาศ 4 คนบนสถานีอวกาศจึงต้องทำหน้าที่ปกป้องพืชพรรณกลุ่มสุดท้ายของโลกเอาไว้ให้ได้
9. Waterworld (1995)
ความยาว: 2 ชั่วโมง 56 นาที
ผู้กำกับ: เควิน เรย์โนลส์ (Kevin Reynolds)
ความจริงรายได้ของ ‘Waterworld’ ในตอนที่เข้าฉายเมื่อปี 1995 นั้นไม่ถือว่าแย่ แต่ถ้าเทียบกับทุนสร้างที่ถือว่าสูงมากสำหรับหนังในยุคนั้น รวมถึงคำวิจารณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ก็ทำให้มันกลายเป็นหนังแป้กที่พังไม่เป็นท่า
แต่เมื่อเวลาผ่านไป แฟนหนังไซไฟหันกลับมามอง ‘Waterworld’ ในมุมใหม่โดยปราศจากสื่อที่วิจารณ์ในแง่ลบเหมือนครั้งอดีต และนั่นก็ทำให้หนังเรื่องนี้ได้รับความนิยมจนเป็นที่ชื่นชอบในหมู่แฟนหนังคัลต์ทันที ฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นทำให้มีการปล่อยเวอร์ชัน Ulysses Cut ออกมา ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่เพิ่มความยาวหนังขึ้นกว่า 40 นาทีด้วย
‘Waterworld’ เล่าเรื่องราวของโลกในอนาคตที่ไม่เหลือแผ่นดินเพราะเผชิญกับหายนะจากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย มนุษย์ที่เหลือรอดต้องใช้ชีวิตบนเรืออย่างอดอยาก อาหาร น้ำดื่ม และของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันกลายเป็นของหายาก เวลาผ่านไปนานจนเรื่องของแผ่นดินกลายเป็นเพียงความเชื่อ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเด็กสาวชื่อ อีโนล่า มีลายแทงซึ่งคาดว่าเป็นแผนที่นำไปสู่แผ่นดินอยู่บนหลัง อีโนล่าและเฮเลนหญิงสาวที่ดูแลเธอต้องหนีการตามล่าจากโจรร้าย ดีคอน จนทำให้ทั้งคู่ได้ร่วมเดินทางกับชายนิรนามผู้เต็มไปด้วยปริศนาโดยไม่ตั้งใจ
8. Tron (1982)
ความยาว: 1 ชั่วโมง 36 นาที
ผู้กำกับ: สตีเวน ลิสเบอร์เกอร์ (Steven Lisberger)
ต้องบอกว่าแนวคิดของหนังเรื่อง ‘Tron’ นั้นค่อนข้างล้ำและน่าสนใจสำหรับช่วงปี 1982 แต่ความนิยมกลับสู้ ‘E.T. the Extra-Terrestrial’ หรือ ‘อี.ที. เพื่อนรัก’ ที่เข้าฉายในช่วงปีเดียวกันแถมยังทำรายได้ไปแบบถล่มทลายไม่ได้
แต่ ‘Tron’ ก็เป็นที่จดจำและมีชื่อเสียงในฐานะหนังเรื่องแรก ๆ ที่นำการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์มาใช้ ถึงเทคโนโลยี CGI ในยุคนั้นจะไม่ได้ดูดีแบบปัจจุบัน แต่มันก็กลายเป็นความคลาสสิกที่แฟน ๆ ชื่นชอบ จนทำให้เกิดภาคต่อ ‘Tron: Legacy’ ตามมาในปี 2010
‘Tron’ เล่าเรื่องราวของโปรแกรมเมอร์หนุ่มที่ถูกขโมยผลงานการเขียนโปรแกรมไปและถูกไล่ออกจากงาน สามปีต่อมาเขาเจาะระบบเข้าไปในฐานข้อมูลของบริษัทเดิมที่เคยทำงาน แต่กลับโดน AI ระบบป้องกันของบริษัทโจมตี ทำให้เขากลายเป็นข้อมูลดิจิทัลและติดอยู่ในโลกดิจิทัลจนต้องหาทางเอาชีวิตรอด รวมถึงต้องหาทางออกจากโลกนั้นให้ได้
7. Starship Troopers (1997)
ความยาว: 2 ชั่วโมง 9 นาที
ผู้กำกับ: พอล เวอร์โฮเวน (Paul Verhoeven)
‘Starship Troopers’ เป็นหนังไซไฟที่เรียกว่ามีองค์ประกอบของหนังบ็อกซ์ออฟฟิศอยู่ครบ ทั้งผู้กำกับมือฉมัง แอ็กชันมันส์ระห่ำ อารมณ์ขัน เทคโนโลยี CGI สุดล้ำ การโปรโมตและทุนสร้างก้อนโต แต่ตอนเข้าฉายเมื่อปี 1997 กระแสกลับเงียบกริบจนหนังพังไม่เป็นท่า
แต่เวลาผ่านไป เมื่อ ‘Starship Troopers’ ถูกนำมาฉายบนช่องเคเบิลทีวีและบริการสตรีมมิง หนังเรื่องนี้ก็กลายเป็นหนังไซไฟที่มีฐานแฟนคลับของตัวเองไปในทันที ด้วยการผสมผสานเรื่องราวไซไฟอวกาศเข้ากับเรื่องของสังคมและการเมืองได้อย่างลงตัว
‘Starship Troopers’ เล่าเรื่องราวการสู้รบของมนุษย์กับแมลงจากอวกาศ Arachnids ที่ต้องการล่าอาณานิคมไปทั่วจักรวาล ทางฝ่ายมนุษย์มีอาวุธ เทคโนโลยี และยานอวกาศสุดล้ำสมัย แต่ขณะเดียวกันฝ่ายแมลงก็มีจำนวนมหาศาลแถมยังฉลาดเป็นกรด พระเอกและเพื่อนได้สมัครเข้าร่วมกองทัพภายใต้ชื่อองค์กร United Citizen Federation พวกเขาผ่านการฝึกหนัก และในที่สุดก็ได้เข้าร่วมการต่อสู้ในสงครามอันดุเดือดระหว่างมนุษย์กับแมลง
6. Donnie Darko (2001)
ความยาว: 1 ชั่วโมง 53 นาที
ผู้กำกับ: ริชาร์ด เคลลี (Richard Kelly)
‘Donnie Darko’ เป็นผลงานการกำกับหนังเรื่องแรกของเคลลี มันเป็นหนังที่มีความซับซ้อน ลึกลับ และเล่าเรื่องเหนือธรรมชาติของการสำรวจลึกเข้าไปในจิตใจของมนุษย์ มีการแฝงเรื่องราวของศาสนา ปรัชญา และการเมืองอยู่มากมาย แต่โชคร้ายเมื่อหนังเรื่องนี้เข้าฉายมันถูกฉายแบบจำกัดโรง จนถูกตัดสินว่าเป็นหนังที่ล้มเหลวไปในที่สุด
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ‘Donnie Darko’ กลับได้รับความนิยมและเสียงชื่นชมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น เพราะเมื่อกลับมาดูซ้ำผู้ชมก็จะได้รับประสบการณ์ในแง่มุมใหม่เสมอ
‘Donnie Darko’ เล่าเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่ป่วยเป็นโรคจิตอ่อน ต้องเข้ารับการบำบัดและกินยาตลอดเวลา แต่เมื่อหยุดกินยาเขาจะเกิดอาการหลอนและเห็นภาพหลอน รวมถึงเห็นเพื่อนในจินตนาการชื่อแฟรงค์ คนสวมชุดกระต่ายหน้าตาชวนขนหัวลุกที่กลายมาเป็นภาพจำของหนังเรื่องนี้
5. Blade Runner (1982)
ความยาว: 1 ชั่วโมง 50 นาที
ผู้กำกับ: ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott)
ด้วยความที่ไม่ได้เป็นหนังเอาใจตลาด ‘Blade Runner’ จึงล้มเหลวในด้านรายได้ตั้งแต่ออกฉาย ตัวหนังนำเสนอความไซไฟในแบบดาร์ก นัวร์ ของโลกยุคอนาคตเอาไว้ได้ล้ำสมัย ลุ่มลึก และน่าสนใจ แม้จะแป้กในส่วนของรายได้ แต่กลับได้รับคำชื่นชมมากมายจากแฟนไซไฟฮาร์ดคอร์ทั่วโลก
‘Blade Runner’ เต็มไปด้วยการตั้งคำถามเกี่ยวกับสังคม การเมือง และผลกระทบจากปัญญาประดิษฐ์ที่มีต่อสังคม เมื่อเวลาผ่านไปหนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังไซไฟระดับตำนาน อีกทั้งยังกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนัง เกม นิยาย ซีรีส์อีกหลายเรื่อง รวมถึงมีการสร้างจักรวาลของตัวเองขึ้นมาด้วย
‘Blade Runner’ เล่าเรื่องราวของลอส แองเจลิส ปี 2019 มนุษย์มีเทคโนโลยีการสร้างรีพลิแคนต์ (Replicants) หรือมนุษย์เทียมขึ้นเพื่อทำหน้าที่หลากหลายแบบ และมีหน่วยล่ารีพลิแคนต์ที่ทำผิดกฎในชื่อ เบลด รันเนอร์ แต่ระหว่างภารกิจการไล่ล่ารีพลิแคนต์ ก็ทำให้อดีตนายตำรวจฝีมือดี ริค เดคการ์ด (แฮร์ริสัน ฟอร์ด – Harrison Ford) ที่ปัจจุบันอยู่หน่วย เบลด รันเนอร์ ได้เข้าใจความหมายของชีวิตมากขึ้น
4. Blade Runner 2049 (2017)
ความยาว: 2 ชั่วโมง 43 นาที
ผู้กำกับ: เดอนี วีลเนิฟว์ (Denis Villeneuve)
‘Blade Runner 2049’ เจอชะตากรรมไม่ต่างจากภาคแรก เพราะทำรายได้ไปไม่ดีนักเมื่อเปิดตัว สาเหตุหลักมาจากแฟน ๆ ไม่มั่นใจในภาคต่อแม้จะได้ฟอร์ดกลับมารับบท ริค เดคการ์ด ก็ตาม
แต่ในที่สุด ‘Blade Runner 2049’ ก็พิสูจน์ตัวเองว่านี่คือหนังไซไฟที่ดีเยี่ยมไม่แพ้ภาคแรก เป็นกรณีหายากที่หนังภาคต่อจะทำได้ดีพอ ๆ กับภาคต้นฉบับจนได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกและคำชื่นชมมากมายจากแฟน ‘Blade Runner’
‘Blade Runner 2049’ เล่าเรื่องราวของรีพลิแคนต์หรือมนุษย์เทียมที่สามารถให้กำเนิดลูกได้ขึ้นมา ทำให้เจ้าหน้าที่ KD 6-3.7 (ไรอัน กอสลิง – Ryan Gosling) หนึ่งในสมาชิกของ เบลด รันเนอร์ ต้องออกล่าลูกของรีพลิแคนต์คนนั้นและทำลายทิ้งซะ
3. Event Horizon (1997)
ความยาว: 1 ชั่วโมง 37 นาที
ผู้กำกับ: พอล ดับบลิว.เอส. แอนเดอร์สัน (Paul W.S. Anderson)
‘Event Horizon’ เป็นหนังไซไฟ-สยองขวัญที่แป้กทันทีตั้งแต่เข้าฉาย เพราะผู้ชมส่วนใหญ่กล่าวหาว่าหนังเรื่องนี้ลอก ‘Alien’ มาเต็ม ๆ จนทำให้เกิดอคติและไม่ได้รับการยอมรับจากเหล่าคนดู
อันที่จริงนอกจากการนำเสนอบรรยากาศลึกลับและความสยองขวัญบนอวกาศแล้ว ‘Event Horizon’ ก็แทบไม่มีส่วนไหนเหมือน ‘Alien’ เลย เมื่อมันถูกนำกลับมาฉายผ่านเคเบิลทีวีและสตรีมมิง ‘Event Horizon’ หรือ ‘ผ่านรกสุดขอบฟ้า’ ก็ขึ้นแท่นเป็นหนังที่คอไซไฟอวกาศ-สยองขวัญต้องหามาดูสักครั้งในชีวิตไปทันที
‘Event Horizon’ เล่าเรื่องราวภารกิจตามหาและกู้ภัยยานอวกาศ Event Horizon ที่หายไปอย่างลึกลับนานถึง 7 ปี หน่วยกู้ภัยที่ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจึงเร่งเดินทางไปทำภารกิจและค้นหาความจริงเกี่ยวกับการหายตัวไปของยาน แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่ากำลังจะได้เผชิญกับความลี้ลับสุดสยองเกินบรรยาย
2. The Abyss (1989)
ความยาว: 2 ชั่วโมง 20 นาที
ผู้กำกับ: เจมส์ แคเมรอน (James Cameron)
แม้ว่า ‘The Abyss’ จะสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมและได้รับคำชื่นชมอย่างมากในตอนเปิดตัว แต่ในส่วนของรายได้กลับเรียกว่าไม่เข้าเป้า ไม่ว่าจะเป็นรายได้ในอเมริกาหรือจากการเข้าฉายทั่วโลกก็ตาม
แต่หลังจากเปิดตัว DVD ฉบับพิเศษเมื่อปี 1992 ซึ่งเพิ่มเนื้อหาเข้ามาอีก 28 นาทีก็ทำให้หนังเรื่องนี้มีฐานแฟนคลับเพิ่มขึ้นทันที แถมยังทำให้ DVD ฉบับนี้กลายเป็นของหายาก เป็นที่ต้องการในหมู่นักสะสมที่ชื่นชอบการสะสมคอลเล็กชันหนัง เพราะยังไม่มีการผลิตหนังเรื่องนี้ออกมาในรูปแบบของ Blu-ray หรือ 4K นั่นเอง
‘The Abyss’ เล่าเรื่องราวของการค้นหาเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่อับปางลงกลางมหาสมุทร ทางการตัดสินใจส่งหน่วยรบพิเศษไปทำภารกิจนี้ โดยใช้แท่นขุดเจาะน้ำมันใต้ทะเลของบริษัทเอกชนเป็นฐานปฏิบัติการ รวมถึงขอความร่วมมือให้ลูกเรือของแท่นขุดเจาะนี้มาร่วมงานด้วย แต่สิ่งที่พวกเขาค้นพบใต้ทะเลลึกนั้นกลับเป็นอารยธรรมของมนุษย์ต่างดาวที่ทรงภูมิปัญญาและพวกมันยังอยู่ที่โลกของเรามานานเกินกว่าใครคาดคิด
1. The Thing (1982)
ความยาว: 1 ชั่วโมง 49 นาที
ผู้กำกับ: จอห์น คาร์เพนเตอร์ (John Carpenter)
เนื่องจากปี 1982 มีหนังไซไฟที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกอย่าง ‘E.T.’ และก่อนหน้านั้นก็มีตำนานของหนังไซไฟอวกาศอย่าง ‘Star Wars’ เข้าฉาย ทำให้กลายเป็นเรื่องยากที่หนังดาร์กไซไฟ-สยองขวัญอย่าง ‘The Thing’ จะเบียดเข้ามาทำรายได้ในบ็อกซ์ออฟฟิศ แถมในตอนนั้นมันยังถูกวิจารณ์ว่าแปลกประหลาดเกินไปด้วย
แต่แล้ว 40 ปีต่อมา ‘The Thing’ กลายเป็นหนึ่งในหนังไซไฟ-สยองขวัญที่หลายคนรักและได้รับการยกย่องว่าคลาสสิกที่สุดเท่าที่เคยมีมา นอกจากคำชื่นชมด้านบทหนังแล้ว ‘The Thing’ ยังเป็นที่จดจำในด้านเอฟเฟกต์ที่สมจริง แปลกใหม่ และเต็มไปด้วยเลือดอีกด้วย
‘The Thing’ เล่าเรื่องราวของทีมนักวิจัยที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่แอนตาร์กติกา ได้พบกับสิ่งมีชีวิตประหลาดจากนอกโลกที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ พวกเขาต้องเอาตัวรอด ท่ามกลางความหวาดระแวง ว่าหนึ่งในเพื่อนร่วมทีมอาจเป็น “มัน” ที่แฝงตัวมา
บางครั้งเวลาก็ช่วยให้เรามองเห็นคุณค่าของสิ่งที่เคยมองข้ามในอดีต หนังไซไฟทั้ง 10 เรื่องข้างต้นเองก็เช่นกัน แม้ในตอนแรกที่เข้าฉายจะล้มเหลวและแป้กเรื่องรายได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้ชมก็รับรู้ถึงคุณค่าของหนังจนกลายเป็นหนังไซไฟสุดคัลต์และคลาสสิกที่สร้างแรงบันดาลใจให้สื่อบันเทิงในยุคหลังมาอย่างต่อเนื่องหลายทศวรรษ เป็นหนังไซไฟน่าดูที่ควรค่าแก่การหามาชมสักครั้ง
อ้างอิง: cbr