(ภาพปกถ่ายโดยผู้เขียน) คนที่ชอบการ์ตูนอนิเมชั่นไม่ว่าจะของญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา หรือประเทศอื่น ๆ น่าจะรู้จักสตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) ซึ่งเป็นสตูดิโอสร้างภาพยนตร์อนิเมชั่นของประเทศญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงมาก และมีผลงานเด่น ๆ หลายเรื่อง เช่น Spirited Away, Grave of the Fireflies, Kiki's Delivery Service, Ponyo, My Neighbor Totoro ฯลฯ แต่เรื่องที่คนไทยมักจะรู้จักกันเป็นอย่างดีคือ Grave of the Fireflies (สุสานหิ่งห้อย) และ My Neighbor Totoro (โทโทโร่เพื่อนรัก) เพราะเคยมีการตีพิมพ์หนังสือการ์ตูนภาคภาษาไทยออกมาวางจำหน่ายในคร้ังนี้เราจะพูดถึง สุสานหิ่งห้อย ในเวอร์ชั่นอนิเมชั่น ซึ่งเปิดให้ลูกดูในระหว่างที่เก็บตัวอยู่กับบ้านเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการระบาดของไวรัสโควิด 19 อันที่จริงก่อนจะเปิดให้ดูก็คิดอยู่เหมือนกันว่า ควรจะเปิดให้ดูดีไหม เพราะถึงจะเป็นการ์ตูน แต่เนื้อหาถือว่าค่อนข้างหนัก ต่างจากการ์ตูนทั่วไปที่ดูแล้วรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดให้ดู ซึ่งเราก็มีเหตุผลที่อยากจะอธิบายให้ฟังดังนี้(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) ปกดีวีดีเรื่องสุสานหิ่งห้อย สำหรับใครที่ไม่เคยดูขออนุญาตเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ก่อนว่า เรื่องราวไม่ได้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง จึงขอแนะนำว่าน่าจะเหมาะกับเด็กที่พอจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว และในขณะที่เปิดให้เด็กดู ก็ควรคอยให้คำแนะนำไปด้วยเหตุผลแรกที่เราตัดสินใจเปิดให้ลูกดูก็คือ คิดว่าลูกโตพอที่จะรับรู้แล้วว่าโลกใบนี้ไม่ใช่ทุ่งลาเวนเดอร์ และถึงเวลาที่จะต้องเปิดรับอะไรนอกเหนือไปจากเทพนิยายที่จบแบบ "แล้วทั้งอยู่ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป" เพราะมันใช้กับชีวิตจริงแทบไม่ได้เลย แต่เราก็ไม่ได้อยากให้ลูกมองโลกในแง่ร้าย เพียงแต่อยากให้มองสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงที่มีทั้งดีและร้าย (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) ปกดีวีดีเหตุผลข้อที่สอง เราอยากให้ลูกเรียนรู้ว่า ยังมีสถานการณ์ที่แย่กว่าสิ่งที่เรากำลังเจออยู่อีกเยอะ ในระหว่างที่ต้องอยู่แต่กับบ้านและกินอาหารที่สำรองไว้เพื่อไม่ให้ต้องออกจากบ้านบ่อยเกินความจำเป็น ลูกก็จะมีบ่นว่าเบื่ออาหารที่กินและมีงอแงไม่ยอมกิน เราก็อธิบายว่าสถานการณ์โรคระบาดทำให้พวกเราควรจะอยู่บ้านให้มากที่สุด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกินอาหารที่มีไปก่อน ความเบื่อที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เราคิดว่า เปิดสุสานหิ่งห้อยให้เด็กดูน่าจะดี จะได้เห็นว่าแค่มีอาหารกินและไม่อดอยากถือว่าดีมากแล้ว เพราะในเรื่องตัวดำเนินเรื่องอย่างเซตะและเซซึโกะต้องเผชิญกับภาวะข้าวยากหมากแพงเพราะสงคราม จนถึงขั้นอดอาหาร ไม่มีอะไรจะกิน แล้วก็ได้ผลจริง ๆ หลังจากดูจบ ลูกบอกว่า "อย่างน้อยเราก็ยังมีอาหารให้กินเนอะแม่"เหตุผลข้อที่สาม เราอยากสอนลูกว่า ถึงสถานการณ์โควิดที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่จะค่อนข้างแย่ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเลวร้ายขนาดที่อยู่ไม่ได้หรือรับไม่ไหว เพราะยังมีเหตุการณ์ที่หนักกว่านี้อีกเยอะ โดยให้เขาลองเปรียบเทียบชีวิตของตัวเอง ณ ตอนนี้กับชีวิตของเซตะและเซซึโกะที่ต้องสูญเสียพ่อและแม่ไปเพราะสงคราม และต้องดิ้นรนเอาตัวรอดกันเพียงลำพัง (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) แผ่นดีวีดีเหตุผลข้อที่สี่ เราอยากสอนลูกหลังจากดูจบแล้วว่า ถึงในตอนท้ายญี่ปุ่นจะแพ้สงคราม และประเทศพินาศย่อยยับจนดูเหมือนหมดสิ้นหนทางแล้ว แต่ญี่ปุ่นก็ไม่เคยสิ้นหวังและพยายามฟื้นฟูประเทศจนกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่เจริญที่สุดในโลก นั่นหมายความว่า ถึงจะดูเหมือนสิ้นหวัง แต่ถ้าไม่ยอมแพ้ โอกาสก็ยังมี เหตุผลข้อที่ห้า เราอยากให้ลูกเห็นถึงผลของสงคราม อยากให้ลูกเข้าใจว่าเมื่อเกิดสงคราม ประชาชนต่างก็ได้รับผลกระทบ ซึ่งเรื่องสุสานหิ่งห้อยสื่อสารประเด็นนี้ได้ชัดเจนมาก ถึงลูกเราจะไม่มีน้ำตาหลังจากดูตอนจบ แต่การดูหนังเรื่องก็เพียงพอที่จะทำให้เขาเข้าใจและรังเกียจสงคราม(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) ปกหลังดีวีดีเราขอสรุปว่า "คิดถูก" ที่เปิด สุสานหิ่งห้อย ให้ลูกดู เพราะเขาได้รับรู้และเรียนรู้สิ่งที่เราอยากจะสอนแล้ว ถึงตอนจบจะไม่สวยหรูเหมือนเรื่องต่าง ๆ ที่เขาเคยดูหรืออ่านมา แต่เรามั่นใจว่าหลังจากดูเรื่องนี้ เขาจะโตขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น และพร้อมจะเปิดใจรับสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น แม้ว่าสิ่งน้ันจะไม่ใช่สิ่งที่พึงปรารถนาก็ตาม