เอสเกอร์ โฮล์ม ตำรวจภาคสนามที่ถูกย้ายมาปฏิบัติหน้าที่รับแจ้งเหตุฉุกเฉินระหว่างรอการพิจารณาคดีส่วนตัวของเขา ซึ่งเขาไม่เต็มใจทำงานกับหน้าที่นี้เท่าไหร่ จนกระทั่งการโทรเข้ามาแจ้งเหตุฉุกเฉินของสายปริศนาคนหนึ่งที่โทรเข้ามาด้วยน้ำเสียงตื่นกลัวเป็นพิเศษ จึงทำให้เขาสนใจสายนี้อย่างรวดเร็ว และด้วยประสบการณ์การเป็นตำรวจของเขามานานจึงรู้ภายหลังว่า อีเบน กำลังถูกลักพาตัวจากคนร้ายอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เอสเกอร์ จึงต้องพยายามทำทุกทางเพื่อหาทางให้ความช่วยเหลือหญิงสาวที่อยู่ปลายสายและชะตากรรมของเธอกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายทุกวินาทีเป็นวินาทีตายภาพยนตร์ Crime ผสม Thriller น้ำดีส่งตรงจากประเทศเดนมาร์ก แถมติด 1 ในรายชื่อภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมเมื่อปี 2019 จากเทศกาลงานออสการ์ปีเดียวกัน เริ่มต้นมาจะโฟกัสไปที่ตัวพระเอกแทนคนดูว่าเป็นใคร ทำอะไรอยู่ที่แห่งนี้ ซึ่งช่วงนี้ค่อนข้างน่าเบื่อไปนิดเหมือนหนังเกริ่นนำพาเราทำความรู้จักกิจวัตรการทำงานของพระเอกที่นั่งรับสายแก่คนร้องเรียนมากมายหลายรูปแบบทั้งโทรมาจริงและมาป่วนปะปนกันด้วยความเบื่อหน่ายถึงขั้นกินยาแก้ปวดหัวฆ่าเวลา จนกระทั่งได้รับจากสายปริศนาคนหนึ่งที่โทรแจ้งว่าเธอได้ถูกลักพาตัวมานี่แหล่ะความสนุกเริ่มทำงานขึ้นมาทันที แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิด เพราะ ตรงจุดนี้เองหนังค่อย ๆ เปิดปมในอดีตของพระเอกไปพร้อมกับเรื่องที่ซ่อนไว้ของเสียงสาวปริศนาพร้อมกันไปทีละนิด จากนั้นหนังค่อย ๆ เปลี่ยนโหมดเข้าสู่การติดตามสืบสวนตำรวจกับผู้ร้ายทันที มีแวะพักข้างทางประปรายนิดหน่อย แม้เราจะเห็นตัวพระเอกนั่งอยู่ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียวโดยรวมระยะเวลา 1 ชั่วโมง 25 นาที ที่สนุก ตื่นเต้น ประทับใจ เล่นน้อยแต่ได้มาก มีแอบย้วยระยะทางบ้างแต่ยังน่าติดตามต่อไปจนจบ บทสรุปเดาทางไม่ถูก สร้างความสะเทือนใจอยู่ เพราะ ตลอดทางที่ดูไปแต่ละฉากมีความเรียบง่ายในสถานที่เดียวแต่ในหัวเต็มไปด้วยคำถามไปหมด แม้ว่า Plot เจ้าหน้าที่โอเปอเรเตอร์ หรือ เจ้าหน้าที่รับแจ้งเหตุติดตามคนร้ายจะไม่ใช่ Plot ใหม่ แต่ตัวหนังสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดความเป็นหนังแนวสืบสวนจากเดิมได้น่าสนใจไม่น้อยด้วยการเพิ่มน้ำหนักไปที่ปมของพระเอกรองรับบทให้มีมิติเข้าไปช่วยให้เราเข้าใจพร้อมเอาใจช่วยด้วยกันมากขึ้น แม้อีกฝ่ายมีแค่เสียงจากโทรศัพท์อย่างเดียว มันจึงทำให้คนดูอย่างเราต้องใช้สมาธิในการคิด วิเคราะห์ แยกแยะแล้วจินตนาการตามภาพไปพร้อมกับพระเอกกันว่าเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นใครทำอะไรกันไปเรียบเรียงเอาเองจนเล่นสมองทำงานกันหนักหน่วงเลยทีเดียว ซึ่งเข้าใจได้ไม่ยากอีกอย่างที่ค่อนข้างประหลาดใจคือ ปกติแนวอาชญากรรมนี้เราจะต้องเห็นภาพคนตาย ตำรวจตามสืบคดีว่าใครคือฆาตกร ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีแบบนั้น แม้แต่ฉากยิง หรือ ต่อสู้ก็ไม่มีให้เห็น แต่ทำไมขณะที่ดูรู้สึกได้ว่าสถานการณ์ในเรื่องมันตึงเครียดจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ ซึ่งสัมผัสได้ง่ายจากการสนทนาผ่านการแสดงสีหน้า และ การกระทำของตัว เอสเกอร์ พระเอกของเรื่อง รับบทโดย Jakob Cedergren นักแสดงมากฝีมือชาวสวีเดนจาก The Birdcatcher (2019) ที่เห็นว่าเขามีความเครียดอึดอัดในใจรอวันระเบิดออกมาใจจะขาดอยู่แล้ว โดยเฉพาะฉากซัดคีย์บอร์ดใส่พื้นจนแตกกระจายนี้เป็น Scene ที่เดือดมาก เข้าใจอารมณ์เลยว่ามันไม่ไหวแล้วจริง ๆ ทั้งเรื่องมีเพียงแค่สถานีตำรวจเป็น Location แห่งเดียว แต่ผู้กำกับสามารถบรรยายสถานที่เคร่งเครียดอยู่แล้วให้ดูไร้ชีวิตชีวาราวกับเป็นห้องดับจิตเข้าไปอีก รวมถึงสามารถดึงศักยภาพในตัว Jakob ให้ปล่อยของออกมาได้เต็มที่เกินคาด นอกนั้นจะเป็นเสียงปลายสาย และ ตัวละครประกอบไม่กี่คนทำหน้าที่โผล่มาแล้วก็ผ่านไปแค่นั้น ที่ขาดไปไม่ได้อีกคนคือ อีเบน สายลึกลับที่เป็นต้นเหตุของเรื่อง รับบทโดย Jessica Dinnage จาก The Man (2017) มีส่วนช่วยสนับสนุนประคับประคองให้ทิศทางการดำเนินเรื่องมีความตื่นเต้น สลับซับซ้อน น่าติดตามมากขึ้น อีกทั้งชวนสงสัยกันด้วยว่านางมาดีหรือมาร้าย มีจุดประสงค์ต้องการแม้จะไม่เห็นหน้าเธอก็ตามผมได้ดูมาทั้ง 2 เวอร์ชั่น ทั้งของผู้กำกับ Gustav Moller จาก I Morke (2015) และ ส่วนของผู้กำกับ Antoine Fuqua จาก Training Day (2001) ถ้าให้เปรียบเทียบว่าเวอร์ชั่นไหนดีกว่าสำหรับผมนั้นบอกเลยไม่มี แต่ถ้าให้ถามว่าชอบแบบไหน ผมยังคงชอบเวอร์ชั่นดั้งเดิมมากกว่าตรงที่ความสดใหม่ของ Plot ที่คมคาย หนักแน่น จังหวะเล่าเรื่องนิ่งเงียบแต่ดุดัน เหมือนจะเดาทางได้แต่ไม่ง่าย ส่วนเวอร์ชั่นรีเมคที่แสดงโดยเฮีย Jake Gyllenhaal ทำได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน มีปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางอย่างไปตามบริบทตามสังคมหน่อยเพื่อไม่ให้เหมือนต้นฉบับจนเกินไป เพียงแต่ว่ามันสรุปตามสูตรสำเร็จ Hollywood ไปหน่อยจนไม่ต้องลุ้นอะไรมากไปกว่าการเก็บตกรายละเอียดจากข้อมูลบางอย่างที่ยังตกค้างอยู่จากเวอร์ชั่นเดิมเข้าไปเสริมเติมแต่งให้เรื่องมีคำตอบที่ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงสิ่งที่ทำได้ยอดเยี่ยมเหมือนกันคือ ตัวหนังสามารถสื่อสาร Message ในสาระถึงเส้นแบ่งระหว่างกฎหมายกับความถูกต้อง การไถ่บาปในจิตใจ ความกดดัน การตัดสินใจ รวมถึงการก้าวข้ามบาดแผลในอดีต ปมปัญหาที่มันค้างคาใจได้ลึกซึ้งกินใจเช่นกัน ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับขอขอบคุณภาพประกอบโดย : Facebook / TheGuiltyFilm = ภาพประกอบหน้าปก 1 / ภาพประกอบหน้าปกที่ตัวอักษร 2 / ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 5 / ภาพประกอบที่ 6คอมมูนิตี้ “โลกคนรักหนัง” ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน