เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน น้ำตาของฉันก็รินไหลออกมาคำพูดของ ชิน แฮมี หญิงสาวนางเอกของเรื่องที่รับบทโดย จ็อน จงซู ที่สะท้อนความหมายบางอย่างออกมาและสามารถตีความได้หลากหลายในคำพูดนั้นBurning ผลงานภาพยนตร์ของ อี ชางดง ผู้กำกับชั้นครูของเกาหลีใต้ ที่ก่อนหน้าจะสร้างเรื่องนี้ ก็เป็นตัวแทนในการพาภาพยนตร์เกาหลีไปลุยชิงออสการ์ถึง 2 ครั้งจากเรื่อง Oasis ในปี 2002 กับ Secret Sunshine ในปี 2007 และ Burning ก็เป็นเรื่องที่ 3 ที่ อี ชางดง พาไปส่งชิง แม้จะไม่ถึงฝั่งการเข้าชิง แต่ฝีไม้ลายมือก็ทำให้ทั่วโลกล้วนสนใจในงานสร้างของ อี ชางดงโดย Burning มีความพิเศษก่อนประกาศสร้างด้วยซ้ำ เพราะเป็นการนำเรื่องสั้น “Barn Burning” มาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้ หรือในชื่อไทย “มือเพลิง” ของ ฮารูกิ มุราคามิ ในประเทศไทยนั้น เรื่องนี้ถูกบรรจุอยู่ในรวมเรื่องสั้น “เส้นแสงที่สูญหาย เราร้องไห้เงียบงัน” ของสำนักพิมพ์กำมะหยี่โดยในเรื่องสั้นของมุราคามิ เล่าถึงชายหนุ่มที่มีความรู้สึกรักกับหญิงสาวที่วัยห่างกันสิบกว่าปี แล้ววันหนึ่ง เธอก็พาชายหนุ่มหน้าใหม่มาปรากฏตัว และได้แนะนำถึงการ “เผาโรงเรือน” และได้ทิ้งปมปริศนาบางอย่างไว้ในตัวเรื่องให้นักอ่านหลายคนได้ตีความกันหลากหลายมากมายจนถึงทุกวันนี้ แม้ อี ชางดง ได้นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ หลายอย่างที่ค้างคาใจผู้อ่านหลายคนก็เหมือนจะคลี่คลายลงในฉบับคนแสดง แต่หลายสิ่งหลายอย่างก็ยังคงคาใจในฉบับภาพยนตร์ อี ชางดง นำมาสร้างเป็นแบบฉบับของชาวเกาหลีใต้ โดยคงใจความหลักของเรื่องไว้ดังเดิม ทำให้ในฉบับภาพยนตร์ เราได้เห็นวิถีชีวิตของชาวเกาหลีใต้แถบเมืองพาจู ที่เป็นชนบทและไม่ไกลจากเกาหลีเหนือ โดยให้ตัวเรื่องมีนามว่า จงซู (รับบทโดย ยู อาอิน) ชายหนุ่มวัยรุ่นที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียน แต่การไปอยู่ในจุดนั้น ไม่ง่ายดาย และเขาก็ได้พบกับ ชิน แฮมี (รับบทโดย จ็อน จงโซ) หญิงสาวที่เป็นเพื่อนสมัยเด็ก จนกระทั่งทั้งคู่ได้สานสัมพันธ์กัน และหลายสิ่งหลายอย่างเริ่มก่อตัวเป็นความพิเศษการที่จงซูได้พบกับแฮมี เหมือนกับบอกเล่าบางอย่างว่า จงซู ผู้ที่ทำงานในตัวเมือง โหยหาความฝันการเป็นนักเขียนนั้น ไม่ต่างอะไรกับคนที่อ้างว้างเดียวดาย รอการเติมเต็มในชีวิต ซึ่งสิ่งที่ใฝ่ฝันมาตลอด ก็คือการได้เป็นนักเขียน แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่าการได้พบเจอกับผู้หญิงที่เคยมีใจให้ ก็อาจจะทำให้เขาคิดได้ว่าเป็นการเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปในชีวิต เพราะในตัวเรื่องก็ดันสะท้อนภาพความสัมพันธ์ของคนในสังคมเกาหลีใต้มาระดับหนึ่งคือ การที่จงซูเลือกกลับไปบ้านเกิด ตั้งใจจะดูแลฟาร์มของครอบครัว แต่ผู้เป็นพ่อ ก็ดันไปก่อเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล ความนับถือของลูกที่มีต่อพ่อกลับมีน้อยนิด เพราะตัวลูกก็ไม่ได้สนิทสนมมากมายนัก อีกทั้งธรรมชาติมนุษย์ ก็มักจะยอมรับคนที่มีคดีได้ยากเป็นทุนเดิม ซึ่งฉากนี้กลับสะท้อนตัวจงซูออกมาได้มากมาย หากพูดในคำหยาบแบบวัยรุ่น ก็เรียกว่า “เห็นหญิงดีกว่าคนใกล้ตัว” แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่จงซูได้พบเจอกับแฮมี ก็เหมือนเป็นการเติมเต็มช่องว่างในหัวใจของเขา ซึ่ง อี ชางดง นำเสนอในจุดนี้ได้น่าสนใจจนกระทั่ง แฮมี ไปอยู่แอฟริกา ทิ้งความเชื่อใจให้กับจงซูให้ดูแลแมวในห้องของเธอ นั่นยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า แฮมีก็ได้ให้ใจแก่จงซูไปแล้ว ซึ่งการกระทำแบบนี้ เป็นคาบเกี่ยวของความรักอันสดใสกับอันตรายที่หดหู่พอสมควร เพราะจงซูคือคนที่อ้างว้างมานาน แต่เราจะเชื่อได้อย่างไรว่า แฮมีคือคนที่โลเลและเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่เรื่องความรัก ก็มักเป็นเช่นนี้ ฝ่ายไหนที่ไม่ชัดเจน ก็มักจะยืนกรานขอให้อีกฝ่ายให้ใจไปก่อนฝ่ายเดียว ซึ่งจงซูก็ตกอยู่ในสถานการณ์นั้น และนั่นก็ทำให้เขาเข้าสู่จุดที่พลิกชีวิต เมื่อการปรากฏตัวของบุคคลที่สามอย่าง เบน (รับบทโดย สตีเวน ย็อน) ที่กลายเป็นภาพแตกต่างขึ้นระหว่างจงซู หนุ่มบ้านนาเกษตรกรผู้ต่ำต้อย กับเบน ชายหนุ่มผู้ร่ำรวยควบพอร์ชผู้สมบูรณ์แบบ เพียงแค่นี้ ก็เหมือนสะท้อนค่านิยมบางอย่าง ที่ทางสังคมคนเราตีค่ากันออกมา ซึ่งตรงจุดของการแบ่งชั้นฐานะ มีการจิกกัดเข้าไปเล็กน้อยผ่านฉากที่จงซูได้พบกับเบนและเหล่าผองเพื่อน ซึ่งทั้งสองนั่งฟังเพื่อนของเบนถกถึงประเด็นชาวจีนว่าเวลาคนจีนจ่ายตังค์ เขาจะใช้วิธีโยนมัน พวกเขามองว่าเงินมันโสโครก พวกเราเทิดทูนเงิน แต่พวกนั้นเห็นเงินเป็นของสกปรกแต่ขณะเดียวกันนั้น เบนก็แสดงออกบางอย่างว่า คนรวยอย่างเขารู้สึกเบื่อหน่ายกับคนรวยเช่นกัน เพราะพวกเขาเอาแต่พูดถึงเรื่องที่พวกเขาเข้าใจ ทำให้ตัวเบนกลับใยดีกับคนต่ำต้อยอย่างจงซู ที่เป็นเพียงคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต โหยหาความสุข แต่การที่เขารู้สึกเบื่อหน่ายคนระดับเดียวกันนั้น อาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกว่าการได้อยู่กับจงซู มันทำให้เขารู้สึกดูดีและสูงส่งกว่าการได้อยู่ร่วมกับพวกคนรวยหรือไม่ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ตัวเรื่องได้ทิ้งประเด็นไว้ให้เราคิดและตีความความสัมพันธ์กลายเป็นรักสามเส้าขึ้นมา แฮมีพยายามที่จะทำดีกับจงซูเพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาด ด้านเบนก็เป็นคนที่มิตรภาพที่ดี เขาทำดีกับจงซูสม่ำเสมอ จนเหมือนกลายเป็นรักสามเส้าที่ดำเนินไปได้แบบชายสองหญิงหนึ่ง แต่ในชีวิตจริง จะมีใครที่พ่อพระขั้นนั้น จนสามารถยอมรับได้ ซึ่งต้องขอขอบคุณ อี ชางดง ที่นำประเด็นจากตรงนี้มาขยายต่อจนกระจ่าง ที่ได้นำเสนอฉากที่จงซูเล่าถึงตอนที่แม่ของเขาทิ้งเขาไปว่าวันที่แม่ผมไป ผมเผาเสื้อผ้าแม่ทิ้งหมดแล้วเบนก็กล่าวเสริมว่าบางทีผมก็เผาพวกเรือนเพาะชำ ผมมีงานอดิเรกเลือกเรือนเพาะชำร้าง แล้วจุดไฟเผามัน เป็นช่วงจังหวะที่ดีสำหรับผม มันใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีโดยในหนังสือ ทิ้งปมให้คนอ่านได้ตีความไปเอง เพราะจบลงหลังจากที่ตัวเองวิ่งหาเรือนเพราะชำที่ถูกเผา แต่ไม่พบเจอ ซึ่งในฉบับภาพยนตร์ อี ชางดง นำมาขยายความต่อ และได้คลายข้อสงสัยของนักอ่านหลายคน โดยการทำให้ตัวละครของจงซู ที่โหยหาความสุขอยู่ เชื่อว่าการที่ได้เผาเสื้อผ้าของแม่ เขาสงบลงได้ และการเผาเรือนเพาะชำ ก็อาจจะสามารถชดเชยความสุขในชีวิตได้ หลังจากที่แฮมีหันไปคบกับเบนแต่วันหนึ่ง เขาพบกับเบน และได้ทราบจากปากว่าเบนเผาเรือนเพาะชำไปแล้ว เขายิ่งตามหา ก็ยิ่งไม่พบว่าที่ไหนถูกเผา เปรียบเสมือนเขาวิ่งหาสิ่งที่จะทำให้เขามีความสุขให้ได้ แต่ก็ไม่พบเจอ ซ้ำร้าย แฮมี คนที่เขาเชื่อเสมอว่าเป็นความสุขเดียวในชีวิตของเขา กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เขาเริ่มอยู่ไม่สุข และออกหาคำตอบเพื่อที่จะเอาสิ่งนั้นกลับมาให้ได้อ่านถึงตรงนี้ ก็ยิ่งสะเทือนใจคนที่ถูกทิ้งบ่อย ๆ เพราะเชื่อว่าการที่ถูกทิ้ง มักจะโดนตอนที่กำลังมีความสุขมาก ๆ โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้แสดงให้เห็นเลยว่าเขาไม่มีความสุข ทำให้การได้เห็นจงซูทุกข์ใจในเรื่อง ก็อาจจะเจ็บปวดได้ โดยเฉพาะคนที่โดนเททิ้งขว้างบ่อย ๆ แต่ท้ายที่สุด จงซู ก็เหมือนสะท้อนภาพสัญชาตญาณดิบของมนุษย์ออกมา เมื่อตอนที่เขาได้รู้ความจริง จากการโหยหาความสุข ก็ถูกทดแทนด้วยความเคียดแค้น ดังที่คนอกหักหลายคนมักประสบอยู่เสมอคืออย่าเล่นกับความรู้สึกของคนเพราะเมื่อไหร่ที่ความรู้สึกของหัวใจถูกย่ำยี คน ๆ นั้นจากที่เป็นแมวเหมียวผู้น่ารัก ก็อาจจะกลายเป็นยักษ์ที่พร้อมจะทุบตีทุกสิ่งทุกอย่างให้พังทลายลงในส่วนที่ อี ชางดง สร้างเสริมขึ้นมานั้น อาจจะเป็นการตีความในมุมมองของเขา ไม่ได้เป็นการนำเสนอผ่านต้นตำรับอย่างมุราคามิ แต่ก็ถือว่าเป็นการเสริมที่สมบูรณ์แบบ และน่าทึ่งที่ทำให้การดำเนินเรื่องแบบเนิบ ๆ ตลอดสองชั่วโมงกว่า กลายเป็นการติดตามที่ไม่สามารถละสายตาไปจากจอได้ อีกทั้งยังได้แฝงเรื่องของความรู้สึกทางใจที่ไม่ควรล้อเล่น ให้ผู้ที่ชมเรื่องนี้ได้คิดหนัก ๆ ก่อนที่จะไปผูกความสัมพันธ์กับใครใครพลาดการรับชมในโรงภาพยนตร์ที่จำกัดโรงฉาย สามารถชดเชยได้โดยการซื้อผ่าน Documentary Club และสามารถดูได้ตลอดจนกว่าต้นสังกัดจะไม่ถือลิขสิทธิ์เรื่องนี้ อีกทั้งในสถานการณ์ที่ไวรัสระบาดเช่นนี้ การกักตัวอยู่ในบ้าน แล้วเปิดชม Burning อาจจะทำให้หัวใจของคุณร้อนรนไปกับแรงเสียดทาน ที่เรื่องนี้ได้สะท้อนออกมาเรื่องโดย: กิตติพัฒน์ วิริยะภาพจาก: Documentary Club