[รีวิวซีรีส์] "The Gentlemen" เจ้าพ่อหนังอาชญากรรมยียวนกวนเมืองผู้ดี นาทีนี้ต้องยกให้กาย ริตชี
มองแบบหยาบ ๆ เหมือน กาย ริตชี (Guy Ritchie) อยากทำซีรีส์ ‘Breaking Bad’ ฉบับชนชั้นสูง ยิ่งได้เห็น จิอันคาร์โล เอสโปซิโต (Giancarlo Esposito) มารับบทนักธุรกิจที่เบื้องหลังค้ายาก็ชวนให้ยิ่งนึกถึงกันไปอีก แต่มองลงไปลึก ๆ นี่เป็นงานที่ขยายจิตนาการของริตชีจากตอนสร้างหนัง The Gentlemen (2019) ออกมาได้แตกต่างและมีความต้นฉบับพอสมควร
ในฉบับหนังได้เล่าถึงเรื่องราวการขายกิจการค้ากัญชาของราชาสายเขียวแห่งเมืองผู้ดีที่รับบทโดย แมทธิว แม็กคอนาเฮย์ (Matthew McConaughey) โดยท่ามกลางความวุ่นวายของหลายกลุ่มอิทธิพลที่พยายามเข้ามาซื้อกิจการด้วยกลยุทธต่าง ๆ แต่นั่นก็ยังไม่พอเมื่อทั้งหมดนั้นถูกจับจ้องโดยสายสืบล่าข่าวจอมมโนที่รับบทโดย ฮิวจ์ แกรนต์ (Hugh Grant) ซึ่งพร้อมมาเขย่าทุกอย่างให้สับสนไปอีก ผ่านการสันนิษฐานและเล่าเรื่องราวแบบหลายมุมคล้ายราโชมอน
เมื่อถามว่าความแตกต่างสำคัญของหนังกับซีรีส์ที่มีผู้สร้างเดียวกันนี้คืออะไร ต้องบอกว่าริตชีไม่ได้เพียงแค่อยากจะขยายงานตัวเองให้มันยาวขึ้นในแบบซีรีส์ แต่เขาจับเอาหัวใจและสร้าางเรื่องราวความยุ่งเหยิงแบบใหม่ โดยยังคงฉากหลังเพื่อโยงใยแวดวงอาชญากรรมของอังกฤษเข้าไว้ด้วยกันอย่างน่าสนใจ และด้วยความยาวแบบซีรีส์ ทำให้เขามีเวลาสร้างตัวละครใหม่จำนวนมาก และมีเรื่องราวหลากหลายกลุ่มกว่าเดิม ทั้งกลุ่มอิทธิพลอเมริกัน กลุ่มอเมริกาใต้ กลุ่มนักเลงในเกาะอังกฤษคลั่งศาสนา ขุนน้ำขุนนางเก่า พวกยิปซีเร่ร่อน และขาดไม่ได้คือเจ้าพ่อตลาดกัญชา มันจึงเป็นเรื่องราวใหม่ที่แม้จะดูฉบับหนังมาก่อนก็เริ่มความสนุกใหม่ได้เลย ที่สำคัญยังดูง่ายและให้ความบันเทิงเข้าถึงคนทั่วไปได้มากกว่าด้วย
ธีโอ เจมส์ (Theo James) พระเอกจากหนังแฟรนไชส์ ‘Divergent’ (2014) และมีผลงานเด่นกับซีรีส์ ‘The White Lotus’ (2021-2022) ถือว่ากลับมาสู่สปอตไลต์ได้น่าสนใจกับบท เอ็ดดี้ ทหารยูเอ็นที่อยู่ ๆ ต้องลาออกกลับมารับมรดกของพ่อที่เป็นดยุกทั้งที่ตัวเองเป็นลูกชายคนรอง ทำให้เขาต้องรับมือกับพี่ชายคนโตสุดป่วงที่แตะอะไรก็พังพินาศไปเสียหมดอย่าง เฟร็ดดี้ ที่รับบทโดย แดเนี่ยล อิงส์ (Daniel Ings) จากซีรีส์ ‘The Crown’ (2016-2017) ที่เป็นอุปสรรคใหญ่ในชื่อว่าครอบครัวของเอ็ดดี้ที่จะผลักทิ้งก็ไม่ได้แต่กอดไว้ก็ยิ่งฉิบหายมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเฟร็ดดี้ดันไปเป็นหนี้พวกนักเลงขาโหดจากเมืองลิเวอร์พูลอย่างแก๊งกอสเปลด้วย
ในขณะที่ปัจจัยภายนอกเองก็มากมายไม่เบา เอ็ดดี้เพิ่งมารับทราบว่ามรดกที่ดินของบ้านนั้น มีไร่ปลูกกัญชาลับใต้ดินซึ่งพ่อของเขาเคยไปทำสัญญากับราชากัญชาตระกูลกลาสเพื่อให้เช่าที่ดินไว้ และตอนนี้ลูกสาวของราชาคนดังกล่าวอย่าง ซูซี่ ก็เข้ามาทวงถามความร่วมมือกันต่อไปกับเจ้าของคนใหม่ ซึ่งยิ่งนำพากลุ่มแก๊งภายนอกอีกมากมายที่สนใจจะฮุบธุรกิจกัญชานี้เข้ามาในชีวิตของเอ็ดดี้และครอบครัว
คายา สโคเดลาริโอ (Kaya Scodelario) จากแฟรนไชส์ ‘The Maze Runner’ (2014) และสาวฟัดจระเข้ใน ‘Crawl’ (2019) ก็รับบทซูซี่ได้อย่างน่าจดจำทั้งความสวย ความไม่น่าไว้ใจ และจุดที่ทำให้เธอมีความน่าสนใจคือการแสดงความอ่อนแอและดูเป็นหญิงสาวธรรมดาในบางจังหวะที่เหมาะสม ทำให้เรารู้สึกทะนุถนอมอยากให้พระเอกเข้ามาช่วยเธอ ชวนให้หนังมีบรรยากาศหนังรักแมวหยอกหนูที่ไม่โรแมนติกแต่ก็น่าแอบจิ้นไปด้วย
อย่างไรก็ตามแม้พระนางจะเป็นคู่ที่แบกให้ซีรีส์รอดได้สบายแล้ว ทว่าบรรดานักแสดงสมทบก็ไม่ได้มาเล่น ๆ เลย แต่ละคนคือมาเล่นได้น่าจำและสร้างตัวละครที่เราหลงรักได้แทบทุกคนเลย โดยเฉพาะอิงส์ในบทเฟร็ดดี้ที่ทำเอาชังอยากตบหัวสักป้าบแต่ก็น่ารักน่าชังจนอยากไปหยิกแก้มแทนได้ ฝั่งเอสโปซิโตเองก็ยังรักษามาตรฐานความนิ่งแต่ทรงพลังได้ดียิ่งได้บทพูดคม ๆ จากริตชีด้วยแล้วยิ่งส่งให้ตัวละครนี้ทรงพลังมาก ยังไม่นับเหล่าดาราสมทบที่น่าสนใจอย่าง วินนี่ โจนส์ (Vinnie Jones) ดาราลูกหม้อของริตชีตั้งแต่ ‘Lock, Stock and Two Smoking Barrels’ (1998) ที่กลับมารับบทพ่อบ้านที่คอยหนุนช่วยพวกอยู่เงียบ ๆ, ไมเคิล วู (Michael Vu) เกษตรกรเอเชียนมือทองผู้เชี่ยวชาญการเพาะปลูกกัญชา, เพียร์ซ ควิกเลย์ (Pearce Quigley) ในบทนักเลงผู้คลั่งพระเจ้าที่โผล่มาแต่ละทีก็ทำเอากดดันขนลุกได้ตลอด
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ซีรีส์นี้สนุกมาก ๆ คือบทซีรีส์ที่มีการเดินเรื่องแบบซิตคอมที่นำพาสถานการณ์ประดังประเดเข้ามาเรื่อย ๆ ยิ่งวุ่นยิ่งฉิบหายยิ่งสนุก โดยเฉพาะเมื่อฉากหลังมันคือเรื่องราวของแก๊งอาชญากรรมที่พัวพันไปตั้งแต่พวกยิปซีเร่ร่อนจนไปถึงบรรดาขุนนางตระกูลชั้นสูงของอังกฤษที่ต่างถูกหยิบมาเล่ามาล้ออย่างไม่เกรงใจ รวมถึงการคิดบทสนทนาที่เปี่ยมไปด้วยลีลาทำให้แต่ละฉากมีอะไรตลอด ซึ่งก็คงเป็นสไตล์ของริตชี่ที่ทำให้เขามีแฟนเฝ้ารอดูผลงานจำนวนมาก
แต่ตัวซีรีส์ก็กำกับโดยริตชีเพียง 2 ตอนแรกที่ยังรู้สึกถึงความมีสไตล์เปี่ยมล้นทั้งมุมกล้อง การตัดต่อ การใช้กราฟิก แต่พอหลังจากนั้นเมื่อเปลี่ยนผู้กำกับไปอีก 3 คน แม้บทเรื่องราวจะยังเป็นงานริตชี แต่ซีรีส์ก็ดูเน้นไปที่การเล่าเรื่องแบบตามขนบมากขึ้นในแง่โปรดักชันทั้งมุมกล้อง การตัดต่อ แถมหลายทียังดูพยายามบางอย่างที่ไม่ค่อยกลืนไปกับตอนก่อนหน้า ทว่าภาพรวมคนดูก็น่าจะจดจ่อไปกับเรื่องราวและชะตากรรมของตัวละครมากกว่าจะได้สังเกตว่าคุณภาพของงานพร่องลง ซึ่งถ้ามองเชิงนี้ก็ถือว่าการเล่าเรื่องของซีรีส์ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมแล้ว และแน่นอนเราวาดหวังอย่างมากที่จะได้ดูซีซันต่อไปของเรื่องนี้ เพราะเห็นโมเมนต์ดี ๆ ระหว่างพระนางที่ทั้งรักทั้งไม่ไว้กันจนอยากจะเชียร์จะจิ้นต่อมากทีเดียว