เรื่องและภาพหน้าปกโดยผู้เขียน ความตกตะลึงท่ามกลางหยดน้ำตาที่เอ่อไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว คืออากัปกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อได้ดูจนถึงฉากสุดท้ายของหนังเรื่อง "Into The Wild" มันเป็นหนังที่มีงดงามมากเรื่องหนึ่งในแง่ของวิธีการคิด และการใช้ชีวิตท่ามกลางโลกแห่งทุนนิยมใบนี้ นอกจากองค์ประกอบภาพ แสง และเงาที่สวยงามชวนให้รื่นรมย์กับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่แล้ว แก่นแท้ของหนังเรื่องนี้ คือการเป็นหนังฝรั่งที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหัวใจของการมีชีวิตที่ช่างประพิศประพายและสอดคล้องกับหลักการทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือหลัก "ทางสายกลาง" หนังเรื่องนี้สร้างขึ้นจากชีวิตจริงของ คริสโตเฟอร์ แม็คแคนเดลเลส (Christopher McCandless) เด็กหนุ่มที่มาจากครอบครัวฐานะดี การศึกษาดี แฟนดี และกำลังมีอนาคตที่สดใส แต่ด้วยความคิดความเชื่อบางอย่างเกี่ยวกับการใช้ชีวิต โดยเขาเชื่อว่า ชีวิตคนเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินทองหรือสิ่งของนอกกายใด กอปรกับความที่เขาเริ่มเบื่อหน่ายกับผู้คนและสังคมโลก ทำให้เขาติดสินใจอยากลองละทิ้งทุกอย่าง แล้วเริ่มต้นเดินทางตามหาความฝัน ด้วยการเดินเท้าเข้าป่าอลาสก้า ! พร้อมเงินติดตัวจำนวน 0 บาท !ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ตลอดทั้งเรื่องหนังได้สำแดงให้เห็นถึงความบ้าดีเดือดของเขา ตลอดจนการถ่ายทอดให้เห็นถึงการพานพบเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้พบเจอระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็น การที่เขาได้รับการช่วยเหลือจากผู้คนในระหว่างการเดินทาง การเผชิญปัญหาทั้งจากสภาพอากาศ และปัญหาในระหว่างการเดินทางกว่าจะถึงที่หมายคือใจกลางป่าอลาสก้า ทว่าความน่าสนใจในหนังนอกจากการพบเผชิญกับปัญหาและการตัดสินใจของเขาแล้ว คือบทสนทนาระหว่างเขากับผู้คนที่พบเจอระหว่างทาง มีการซ่อนแฝงหลักปรัชญาแห่งการมีชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ ที่มาของภาพ https://www.tobis.de/film/into-the-wild/ “I read somewhere... how important it is in life not necessarily to be strong... but to feel strong.” คืออีกประโยคสำคัญที่หนังพยายามสื่อสารให้คนดูว่า สิ่งสำคัญในการมีชีวิต ไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งที่อยู่ภายนอก แต่คือความรู้สึกที่อยู่ภายใน เขาพยามที่จะปลดโซ่ตรวนแห่งพันธนาการที่อยู่ภายใน การออกเดินทางเพื่อหลีกพ้นสิ่งที่คุ้นชินจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวที่ทำให้เขาได้ค้นพบทางแห่งความสงบภายในที่ยั่งยืนเมื่อหนังเริ่มดำเนินมาถึงตอนท้าย ความหม่นเทาเริ่มคลืบคลานเข้ามาเป็นระยะ เขาเริ่มพบว่าบางทีสิ่งที่เขาคิดเพียรพยายามมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มต้นการออกเดินทาง อาจไม่ถูกต้องเสียทีเดียว บางครั้งความสุดโต่ง หรือสิ่งใดที่ค่อนขอดไปในทางที่หนักเกินไป หรือเบาเกินไป อาจไม่ใช่ทางไปสู่สิ่งที่เขาต้องการค้นพบ ที่มาของภาพ https://www.tobis.de/film/into-the-wild/ ในฉากสุดท้ายของหนังเรื่องนี้ ผมน้ำตาไหลเมื่อต้องพบเพียงความว่างเปล่า ชีวิตของเราคืออะไร เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้เพียงลำพังบนโลกป่วย ๆ ใบนี้ได้จริงเหรอ คำถามนั้นดังก้องในหัวจนถึงทุกวันนี้ แต่ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้อย่างถนัดใจ การที่เขาตัดสินใจทิ้งทุกอย่างเพื่อออกเดินทาง สำหรับใครหลายคน อาจคิดว่าเป็นความคิดบ้า ๆ เป็นพวกขวางโลก เป็นพวกมีปัญหา เข้าสังคมไม่ได้ ฯลฯ แต่กระนั้น ความแตกต่างระหว่างเขาผู้ที่ตัดสินใจเดินเข้าป่า กับคนส่วนใหญ่ที่ไปประเมินตัวเขาด้วยความตื่นเขิน คือ "จิตวิญญาณของการมีชีวิต" ซึ่งเราต่างล้วนมีนิยามความหมาย ตลอดจนการเสาะแสวงหาที่แตกต่างกันไป แต่ทว่าเขาได้ค้นพบมันแล้ว