เครดิตภาพ Fast Saga Officialดันอีก ดันอีก ไปให้สุดสำหรับจักรวาลเดอะฟาสต์ หลังจากจบภาค 6 ได้รับการล้างคดีทุกอย่างประวัติขาวสะอาด ก็ไม่ได้แปลว่าจะจบเรื่อง ก็ยังมีเหตุการณ์ใหม่ ๆมาให้แฟน ๆ ได้มันส์กันอีกหลังจากได้รับการล้างคดีแล้ว เหล่าทีมของโดมินิค (Vin Deasel) ก็กลับมาอยู่ สหรัฐอเมริกาในขณะเดียวกัน วายร้ายคนใหม่ เดคคาร์ด ชอว์ (Jason Statham) พี่ชายของโอเว่น ชอว์ วายร้ายจากภาค 6 ที่กลับมาล้างแค้นโดมินิคและพวกพ้อง โดยเริ่มจากการบุกเข้าในฐานบัญชาการของ ฮ็อบ (Dwayne Johnson) และระเบิดที่นั่นจนฮ็อบอาการปางตาย รายต่อมาเดคคาร์ดก็จัดการฮานที่โตเกียว และส่งระเบิดมาถล่มบ้านโดมินิค จากนี้ไปจากผู้ล่าอย่างโดมินิคและทีม จะกลายเป็นถูกล่าแทนจากคน ๆเดียวเครดิตภาพ Fast Saga Officialในงานศพฮาน เดคคาร์ดพยายามล่อให้โดมินิคออกมา และเมื่อทั้งคู่เผชิญหน้ากัน โนบอดี้ (Kurt Russell) ก็เข้ามาขัดขวาง ทำให้ชอว์หนีไปได้ โนบอดี้จึงเจรจากับโดมินิค ว่าจะช่วยจับเดคคาร์ดให้ แต่มีข้อแม้ว่าโดมินิคและทีมจะต้องช่วยตามหา ตาเทพ ซึ่งเป็นโปรแกรมที่นำไว้คนหาทุกสิ่ง ทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้ และสามารถใช้ตามหาชอว์ ที่ทำตัวเป็นเหมือนมนุษย์เงาได้ด้วย แต่จะต้องเริ่มต้นที่ไปช่วยแรมซีย์ (Kurt Russell) โปรแกรมเมอร์สาวสุดเทพ ที่ถูกจับไปโดย จากันดี (Djimon Hounsou) ซึ่งเป็นพันธมิตรกับชอว์ โดยครั้งนี้เลตตี้ผู้ซึ่งยังไม่ได้ความทรงจำคืนมา ก็มาช่วยโดมินิคด้วยเช่นกันสังเกตได้ว่า Fast ทุกภาค หนังจะไม่มีความจำเจครับ ในช่วงแรกก็เป็นหนังแข่งรถธรรมดา พัฒนามาเป็นการขับรถไล่ล่าผู้ร้าย ถัดมาด้วยการโจรกรรม และตอนนี้กำลังจะกลายเป็นการถูกล่าแล้ว แต่สิ่งที่ทุกภาคมีเหมือนกันคือ ฉากแอ็คชั่นแข่งรถ ซึ่งเป็นsignature ของหนังตระกูล Fast และ หนังFast ทุกภาค สังเกตุได้เลยว่าฉากแอ็คชั่นพัฒนาขึ้นทุกภาค โดยไม่อ้างอิงความเป็นไปได้เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์แต่อย่างใด ก็ถ้าเป็นชีวิตจริง คนธรรมดาก็คงเดี้ยง นอนโรงพยาบาลไปเรียบร้อยเครดิตภาพ Fast Saga Officialเอกลักษณ์ของตัวแทนที่ยังคงอยู่ทุกภาค คือหัวใจที่ทำให้คนดูติดตากับตัวละคร มีแฟนคลับประจำไปเลยดีกว่า เพราะการที่คนดูติดตากับตัวละคร ทำให้คนดูต้องการดูภาคต่อไป โดยที่ไม่สนว่าบทหนังจะดีหรือแย่ก็ตาม..ในส่วนของบทภาพยนตร์ค่อนข้างไม่ดีเท่าที่ควร ดูสะเปะสะปะอย่างบอกไม่ถูก ดูไร้เหตุผล แต่สิ่งที่หนังทำได้ดีคือ ฉากAction ที่ร้อยเรียงผสานเรื่องราวและกลบจุดด้อยไปได้ ทำให้หนังออกมาไม่น่าเกลียดนักคะแนนเนื้อเรื่อง 8/10 แม้ว่าบทหนังจะไม่สมเหตุสมผล แต่ฉาก Action และมุกตลก ๆ ก็สามารถหลบจุดด้อยได้เป็นอย่างดี ทำให้คนดูที่ดูเน้นเอามันส์กับการซิ่งรถ ไม่สนใจว่าบทหนังจะเป็นอย่าง แถมสิ่งที่พิเศษที่สุดสำหรับหนังภาคนี้ ก็คือภาคอำลา ไว้อาลัยให้กับ Paul Walker ครับ ซึ่งจะเป็นเครดิตอยู่ท้ายภาค ฉากนี้หลายคนน่าจะมีน้ำตาซึมกันบ้างเครดิตภาพ Fast Saga Officialคะแนนเอฟเฟคต์ 9/10 ฉากที่น่าประทับใจที่สุดก็จะมีอยู่2 - 3 ฉากได้ครับ ฉากแรก ก็จะเป็นฉากที่โดมินิคและทีม เหินรถลงมาจากเครื่องบิน ในชีวิตจริงแล้ว มันจะมีใครกล้าและบ้าระห่ำขนาดนั้นไหมครับ แล้วการ control ให้รถลงในจุดที่ต้องการ มันทำได้จริงหรอ และฉากเหินรถข้ามตึก เรียกได้ว่าถ้าไม่บ้าจริง ๆ ไม่มีใครทำได้เแน่ ๆ เครดิตภาพ Fast Saga Officialข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้1. ความบ้าระห่ำแบบขั้นสุด ใครมันจะกล้าบ้าระห่ำ เอารถลงจากเครื่องบิน ได้ความสูงขนาดนั้นกันบ้าง ความ Over ของหนังเรื่องนี้ มันยิ่งทำให้คนดูแบบผม ยิ่งอินและติดใจกับฉากแอ็คชั่นเข้าไปอีก แถมการแทรกมุกตลกของโรมัน ทำให้ฉากหนังมีอะไรที่มากกว่าความแอ็คชั่นบ้าระห่ำครับ2. อำลาพอล วอล์คเกอร์ ถือว่าเป็นการสูญเสียศิลปินที่มีฝีมือการแสดงที่ครบเครื่องไปหนึ่งคน แถมฉากสุดท้ายคือฉากอำลาที่ทำให้ดราม่าได้เลยครับ การทำฉากอำลาไม่ได้ว่าพอลตายในเรื่องแล้วทุกคนร้องไห้ แต่เป็นการขับรถแยกทางกันระหว่างพอลกับวิน3. การแก้แค้นให้น้องชาย ความรักที่พี่ชายที่ต่อน้องชาย คือเหตุผลเดียวที่ เดคคาร์ด ชอว์ ไล่ล่า ตามฆ่าทีมของโดมินิคขนาดนี้ เพราะเค้าโกรธแค้นมาก ที่น้องชายของเค้าต้องมาโคม่า ใครที่เห็นน้องชายในสภาพแบบนั้น ก็คงทนไม่ได้กันละเนอะ แต่ก็คงลืมคิดไปว่าน้องชายตัวเองก็ไปทำเค้าก่อนถึงแม้ว่าบทหนังจะไม่ได้ดูโดดเด่นอะไร แต่ถ้าใครที่ดูเอามันส์ หนังถือว่าทำออกมาได้ดีไม่มีข้อกังขาครับ แต่หนังก็คือหนัง ดูสนุก เพลิน ๆ อย่าไปคิดอะไรมากดีกว่าครับเครดิตภาพปก Fast Saga Official