[รีวิวซีรีส์] "Berlin" ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีคุก สนุกแบบรวดเดียวจบ
เรื่องย่อ: เรื่องราวก่อนหน้าเหตุการณ์ในซีรีส์ ‘Money Heist’ ในช่วงที่เบอร์ลินยังคงไม่ทราบเรื่องสุขภาพของตนเอง และยังคงจับทีมปล้นกับสมาชิกหน้าใหม่เพื่อขโมยอัญมณีล้ำค่าของราชวงศ์ทั่วยุโรปที่ถูกนำมารวมกันครั้งแรกในปารีส
หลังจากการสิ้นสุดลงของซีรีส์ ‘Money Heist’ ในซีซันที่ 5 โดยบอกลาตัวละครระดับตำนานไปพร้อมกัน แฟนของซีรีส์ปล้นอัจฉริยะก็คงแอบหวังให้เรื่องราวมันยังดำเนินต่อไป แม้จะมีเวอร์ชันรีเมกของเกาหลีมาลองให้ได้กลิ่นกิมจิแซม แต่สำหรับคอซีรีส์พันธุ์แท้คงเห็นตรงกันว่ายังสู้รสชาติดั้งเดิมที่แม้จะติดเลี่ยนดราม่าไปสักหน่อยไม่ได้แม้แต่น้อยก็ตาม
และทีมสร้างของเน็ตฟลิกซ์และผู้ให้กำเนิดซีรีส์อย่าง อเล็กซ์ ปีนา (Álex Pina) ก็ไม่ปล่อยให้ผิดหวัง เขาดึงมือเขียนบทคู่บุญอย่าง เอสเธอร์ มาร์ติเนส โลบาโต (Esther Martínez Lobato) ยกระดับมาเป็นผู้อำนวยการสร้างร่วม และเฟ้นเอาส่วนที่แฟน ๆ คงอยากเห็นมากที่สุดส่วนหนึ่งมาขยายความต่อ โดยใช้ตัวละครที่ทรงอิทธิพลที่สุดของซีรีส์อย่าง เบอร์ลิน ที่แสดงโดย เปโดร อลองโซ (Pedro Alonso) ที่ขนาดว่าหมดบทบาทจริงไปตั้งแต่ซีซัน 2 แต่ก็ยังมาปรากฏตัวสร้างแรงกระเพิ่มได้ตลอดในทุกซีซันหลัง เรียกได้ว่าถ้าต้องสร้างภาคแยกของใครสักคนมันก็ต้องเป็นเบอร์ลินนี่ล่ะที่จะสมน้ำสมเนื้อที่สุดแล้ว
ซีรีส์เล่าเรื่องราวก่อนหน้าที่จะเกิดขึ้นในเหตุการณ์ของ ‘Money Heist’ อย่างที่เบอร์ลินได้บรรยายในตอนต้นซีรีส์ ราวกับวิญญาณที่ได้มองย้อนเหตุการณ์ในอดีต โดยพูดกับคนดูว่าทั้งหมดคือช่วงเวลาก่อนหน้าที่เขาจะรู้เรื่องโรคร้ายของตนเอง เป็นช่วงที่เขาเชื่อว่าฝีมือตนเองขึ้นพีกที่สุด แม้เพิ่งแตกสลายจากการหย่าร้างครั้งที่ 3
เบอร์ลินรวมทีมกับสมาชิกหนุ่มสาวที่ยังขาดประสบการณ์แต่มีความกล้า ไล่เรียงไปตั้งแต่ รอย (รับบทโดย จูลิโอ เปนา – Julio Peña) ลูกไล่ที่ตามเชื่อฟังเบอร์ลินอย่างสุนัขที่ซื่อสัตย์ เคย์ลา (รับบทโดย มิเชล เจนเนอร์ – Michelle Jenner) แฮกเกอร์สาวสุดเนิร์ดที่ยังไม่เคยมีความรัก บรูซ (รับบทโดย โจเอล ซานเชส – Joel Sánchez) โจรหัวไม้ที่ทรงเสน่ห์ และแม้เบอร์ลินจะเป็นหัวหน้าทีมที่เล่ห์แพรวพราว เขาก็ยังต้องการ ดาเมียน (รับบทโดย ทริสทาน อุลญอ – Tristán Ulloa) รุ่นใหญ่ที่เป็นมันสมองและความสุขุมของทีม
แม้ว่าจะเป็นทีมที่ดูสมดุล แต่ซีรีส์ก็พาตัวละครใหม่อย่าง คาเมรอน (รับบทโดย แบโกเนีย วาร์กัส – Begoña Vargas) โดยเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์แต่ถูกใบ้ว่ามีอดีตที่เคยเข้าโรงพยาบาลจิตเวชมาแล้ว มีความคล้ายที่ทางของโตเกียวในซีรีส์หลัก ทว่าถูกแนะนำจากเบรอ์ลินในเชิงบุคคลที่มาเป็นเด็กฝึกงานและห้ามแตะต้อง ซึ่งแม้ซีรีส์จะไม่ได้พูดเฉลยออกมาแต่ใครที่คุ้นเคยกับท่าทีของเบอร์ลินในซีรีส์หลักซีซัน 5 ที่มีการย้อนอดีตของเบอร์ลินช่วงหนึ่ง ก็น่าจะพอเดาได้ว่าคาเมรอนนั้นมีความสัมพันธ์ใดกับเบอร์ลินแน่
ซึ่งก็เท่ากับว่าที่จริงแล้วซีรีส์ ‘Berlin’ นั้นก็เป็นการต่อยอดในสิ่งที่ทีมงานเคยลองทำในซีรีส์ ‘Money Heist’ มาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ความเป็นผู้ปกครองของเบอร์ลิน และความรักที่ไม่ลงล็อกแต่ก็ยับยั้งใจไม่ได้ของสมาชิกในทีม
และความรักนั้นแทบจะเป็นธีมหลักของซีรีส์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ถ้าจะพูดให้ตรงคือ ‘Berlin’ เป็นซีรีส์วิพากษ์มุมมองความรักที่แตกต่างทั้งวัย ประสบการณ์ บริบทที่ประจวบเหมาะในแง่เวลาสถานที่ และอุปสรรคต้องห้ามที่ทดสอบจิตใจของคนว่าจะจัดการความรักนั้นอย่างไร โดยเหล่าบริบทปัจจัยที่ว่านั้นก็คือการปล้นครั้งประวัติศาสตร์นั่นเอง และทุกตัวละครในทีมปล้นก็ถูกทดสอบทั้งหมดไม่มียกเว้น
ตั้งแต่เบอร์ลินที่เป็นผู้ใหญ่หัวใจวัยรุ่นที่ยังคงความว้าวุ่นงี่เง่ายอมแลกกับความสำเร็จตรงหน้าจนคนอื่นปวดกบาลเพราะเขาดันตกหลุมรักหญิงสาวที่ไม่ควรยุ่งที่สุดอย่างภรรยาของเป้าหมายที่ชื่อ คามิลลา (รับบทโดย ซาแมนธา ซีควิรอส – Samantha Siqueiros), ความรักต้องห้ามของสุนัขที่ซื่อสัตย์อย่างรอยกับหญิงสาวปริศนาที่ห้ามแตะต้องอย่างคาเมรอน, การแอบรักเพื่อนของสาวเนิร์ดจอมจิ้นกับเด็กแสบหลังห้องที่ไม่น่าจะมีอะไรเข้ากัน
และที่ส่วนตัวชอบมากที่สุดคือ ความรักของชายวัยกลางคนอย่างดาเมียนที่ครองรักยาวนานกว่า 20 ปี แต่ต้องมาพบกับจุดวัดใจในความสัมพันธ์ ที่ขอยกให้ฉากเคลียร์ใจในห้องน้ำของตอนที่ 6 เป็นฉากที่น่าจดจำมากที่สุดหนึ่งของซีรีส์นี้ไปเลย ทั้งการแสดงสุดยอดของอุลญอและบทสนทนาตอบโต้ที่แสนคมคายจนขนลุก กับมุมมองความรักที่แสนจะโรแมนติกแต่ก็มีวุฒิภาวะอย่างสูง
เมื่อได้มองว่ามันคือซีรีส์รักผจญทุกข์เราจะมอง ‘Berlin’ อย่างถูกตามเนื้อแท้และทำให้ฉากดราม่าที่เอื่อยเหนื่อยหลายครั้ง ยิ่งบางช่วงการสนทนาที่น่าเบื่อและไม่คืบหน้าเรื่องเท่าไหร่ ซึ่งก็เป็นของย่อยยากตั้งแต่ซีรีส์หลักอย่าง ‘Money Heist’ แล้วนั้น กลับมีพัฒนาการการเล่าเรื่องที่ดูลงตัวมากขึ้นทีเดียว
ในขณะที่คอหนังปล้น ก็ต้องยอมรับว่าทีมสร้างยังเก่งในการสร้างเรื่องราวการปล้นที่มีขั้นตอนแสนตื่นเต้น แม้มุกที่ใช้ในเรื่องจะเป็นอะไรที่เก่าไม่ได้ล้ำว้าวอย่างใน ‘Money Heist’ เพราะเป็นเรื่องในอดีตที่เกิดก่อนหลายปี มุกจึงเชยกว่าทั้งการแฮกกล้องวงจรปิด การปลอมตัว แอบติดตั้งกล้องไมก์ดักฟัง หรือการขุดเจาะ แต่มันก็ดูสมเหตุสมผลและมีข้อดีหลายอย่าง
ประการแรกคือการปล้นมันเข้าใจง่ายมากจนเราสามารถทุ่มสมาธิในการติดตามอารมณ์ความคิดตัวละครที่วุ่นวายพันตูได้สบาย และยังดูมีช่องโหว่ในการปล้นให้สะดุดความคิดได้น้อยกว่าใน ‘Money Heist’ แต่ก็ต้องยอมรับซีรีส์เองก็มีใช้แล้วทิ้งไม่เก็บอยู่เหมือนกัน อย่างเรื่องราวของบาทหลวงกับลูกน้องสุดโหดที่อยู่ดี ๆ ก็หายไปทั้งที่เวลาในเรื่องก็ยืดยาวผิดแผนไปกว่าที่ได้ให้เหตุผลการหายไปของตัวละครนี้ เป็นต้น
เมื่อพิจารณามวลรวมแล้วคงต้องยอมรับว่า ‘Berlin’ คือดราม่าซิตคอมที่มีวาระลุ้นระทึกชวนติดตามอย่างยอดเยี่ยม การตัดต่อ การเล่าเรื่อง พัฒนาการตัวละคร และสถานการณ์ที่จับวางมาได้อย่างสนุก ยิ่งถ้าเป็นแฟนซีรีส์ ‘Money Heist’ ก็จะยิ่งได้กำไรเพราะนอกจากได้รู้เรื่องของเบอร์ลินมากขึ้น เรายังได้เจอตัวละครเซอร์ไพรส์จากซีรีส์หลักอีกหลายตัวในช่วงที่พวกเขาอยู่ในอีกบริบทหนึ่งด้วย เรียกว่าถ้าลองชมแล้วก็น่าจะติดหนึบดูจบรวดเดียวแน่นอน ไม่มีอะไรให้ติงเลยถ้าคุณรัก ‘Money Heist’ เป็นทุนเดิม แต่ถ้าคุณเพิ่งมาดูซีรีส์นี้เป็นเรื่องแรกเลยไม่เคยดู ‘Money Heist’ ก็ขอให้มีน้ำอดน้ำทนกับความว้าวุ่นของตัวละครที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างเบอร์ลินเสียหน่อยล่ะนะ เพราะหลายทีมันชวนอยากปารีโมทใส่หน้าจริง ๆ