Short CommentThe Witch: Part 2. The Other One แม่มดมือสังหาร (2022)ดุเดือดกระแทกใจเล่นใหญ่ขึ้นแต่บางอย่างหายไปทำให้ยังไม่เท่าเดิมแต่ดีไปอีกทางในความทรงจำของดูไปบ่นไปจำได้อย่างแม่นยำว่าสาเหตุที่หาดูหนังภาคแรกของเรื่องนี้เพราะตามดูงานแสดงที่ว่ากันว่าเป็นงานแจ้งเกิดของคิมดามีที่ขโมยหัวใจคนดูจากละครที่ดูแล้วติดกันทั้งบ้านอย่าง Itaewon Class (2020) และการดูหนังภาคแรกเมื่อสองปีผ่านมาก็พบว่าหนังไม่ใช่ไอเดียที่ใหม่หรือแหวกแต่เป็นการเอาอะไรประดามีที่เคยเห็นมาใส่ชั้นเชิงแบบเกาหลีที่ซ่อนมีซ้อนมีหักมุมพลิกผัน ทั้งยังมาแบบเลือดท่วมจอตามความถนัดและเมื่อถึงเวลาแอ็กชั่นก็จัดว่ามันส์เอาคนดูอยู่แต่กว่าจะมาถึงตอนนั้นคนดูถูกบีบคั้นอารมณ์เต็มที่แล้วมาระเบิดไปพร้อมๆกับตัวละครคูจายูนของคิมดามี ทำให้ได้ความสะใจมีความลุ้นระทึกปนหลอนที่มาพร้อมการแสดงที่เฉียบขาดของคิมดามีและชเวอูชิก กระนั้นหนังจบลงพร้อมเปิดทางไปต่อเพราะชื่อหนังก็บอกแล้วว่า Part 1 ทำให้ต้องรอว่าจะมาเมื่อไหร่จนกระทั่งหนังภาคสองได้เข้าฉายแล้วก็ไม่ได้ไปดูเช่นเคยเลยต้องมารอดูจากสตรีมมิ่ง สุดท้ายเมื่อได้ดูสมใจก็พบว่าเป็นงานที่ดูสนุกได้โดยที่มีเงาของเก่าครอบคลุมไว้แน่นหนาแต่ก็ว่าไม่ได้เพราะนี่คือ Part 2เริ่มที่จุดเริ่มต้นของเรื่องราวเมื่อหญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์อ่อนๆถูกลักพาตัวไปและได้สติในห้องทดลอง หลังจากนั้นก็คือปัจจุบันที่ห้องทดลองถูกจู่โจมโดยกลุ่มติดอาวุธเพื่อล้างบางเด็กทดลองให้สิ้นแต่มีหนึ่งคนที่รอดมาได้ (ชินชีอา) และเด็กหญิงคนนั้นก็พาร่างกายที่ใส่เสื่อผ้าเต็มไปด้วยคราบเลือดเดินไปตามถนนแล้วความบังเอิญได้ขึ้นรถไปกับพวกอันธพาลที่กำลังจะจัดการคยองฮี (พัคอึนบิน) แต่พวกอันธพาลก็ไม่รู้ว่าความซวยกำลังจะมาเยือนเมื่อเด็กหญิงคนนั้นคือเด็กทดลองต้นแบบที่มีพลังพิเศษไม่ต่างจากคูจายูนเมื่อภาคที่แล้ว แล้วหลังจากนั้นเด็กหญิงก็เหมือนได้พบกับครอบครัวเมื่อคยองฮีพาเธอไปรักษาแผลและพามาพักพิงอยู่บ้าน แต่คงไม่ง่ายเมื่ออีกหนึ่งด็อกเตอร์แบค (โจมินซู) ได้สั่งให้ตามล่าเด็กหญิงคนนั้นแล้วทุกปัญหาก็ระดมเข้าหาบ้านของคยองฮีเมื่อมีทั้งแก๊งอันธพาลและทีมตามล่าตัวเด็กหญิงคนนั้นมุ่งหน้าไปหา ทั้งทีมของโจฮยุน (ซออึนซู) ทีมของผู้พันจาง (อีจงซอก) และทีมนักล่าจากจีน แล้วเมื่อทุกอย่างบีบคั้นเด็กหญิงจะช่วยเหลือคยองฮียังไงเมื่อเด็กทดลองอย่างเธอก็เหมือนไม่มีหัวใจ เดินตามรอยเท้าภาคแรกอย่างเคร่งครัดทำให้ยังคงมีเงาเจ้าในใจอ้ายกลายเป็นดีได้ไม่เท่าเดิม ด้วยชื่อเรื่องว่า The Other One หรือแปลตรงตัวว่าอีกหนึ่งคนก็เป็นไปได้ที่จะเล่าเรื่องของอีกหนึ่งคนเป็นเอกเทศโดยอ้างอิงตัวละครและเหตุการณ์จากภาคที่แล้ว กระนั้นทุกอย่างยังคงเป็นเค้าโครงเดิมเมื่อเด็กทดลองไร้เดียงสาได้มาเจอกับคนดีแล้วเหมือนได้มีที่พักพิง แล้วคนดีคนนั้นก็พยายามปกป้องเธอเท่าที่จะทำได้ในขณะที่เธอกำลังจะเปลี่ยนไปก็มีเรื่องร้ายเข้ามาจนในที่สุดก็ต้องระเบิดพลังด้วยความโกรธเพื่อจัดการกับพวกที่ทำร้ายคนดีที่รักเธอ ดังนั้นจึงยังเป็นเรื่องเดิมเปลี่ยนแค่ตัวละครแต่ที่ยังดีได้ไม่เท่าเก่าแม้ว่าจะเล่าได้ดีคือยังมีเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องเล่าอยู่ประปราย ทำให้ในบางช่วงเหมือนมีความเนือยอยู่บ้างจนเรื่องไม่กระชับจนเป็นส่วนเกินถ้าจะเอาให้ละเอียดก็ร่วมยี่สิบนาทีที่ไม่จำเป็น กระนั้นถ้าว่ากันที่โดยรวมแม้จะมีส่วนเกินแต่ส่วนที่ต้องมีก็ไม่ขาดทำให้อารมณ์คนดูยังไปถึงจุดที่ต้องการเพราะเรื่องแบบนี้ต้องผลักอารมณ์คนดูไปยืนปากเหวแล้วถีบลงไปทำให้โกรธและอึดอัดจนลุ้นว่าเมื่อไหร่คนพวกนี้จะโดนดีซะบ้างยังคงพยายามมีหัวใจแต่เลือกไม่พลิกผันทำให้บางอย่างขาดหายไป เมื่อไม่ฉีกออกจากเส้นทางเดิมแต่เปลี่ยนตัวละครสิ่งที่ยังต้องมีคือการพยายามมีหัวใจแต่น่าเสียดายที่ภาคนี้เดินเป็นเส้นตรงไม่มีความพลิกผันอาจเพราะตัวละครเพิ่งหลุดออกมาจากห้องทดลองไม่ได้ใช้ชีวิตเยี่ยงคนปกติอันนี้เข้าใจได้ แต่การพยายามใส่หัวใจกลับเล่ามากเกินไปจนไม่เหลือเวลาไปใส่อย่างอื่นต่างจากภาคที่แล้วที่ดูลงตัวกว่าชัดเจนในการเล่าเรื่องของหัวใจของเด็กทดลองอันนำมาซึ่งความพลิกผันทั้งที่เวลาน้อยกว่า แต่ภาคนี้เล่าไปตรงๆจนเสียเวลาทำให้สิ่งที่หายไปเลยคือความหลอนในแววตาที่ยังสะกดคนดูไม่ได้ต่างจากตัวละครคูจายูนในภาคแรก และการที่ใช้เวลาเล่าเรื่องเพื่อให้คนดูเห็นความเปลี่ยนแปลงข้างในมากไปก็ทำให้ตัวละครที่เปิดตัวมาอย่างน่าสนใจและมีพลังคือผู้พันจางของอีจงซอก เหมือนเป็นส่วนเกินแต่ถ้าจะว่ากันที่บทสรุปของเรื่องนี้ที่น่าจะถูกวางไว้เป็นไตรภาคก็พอรับได้ เพราะน่าจะไปว่ากันต่อที่ภาคสามเมื่อเด็กทดลองสองคนได้มาเจอกันแล้วร่วมมือกันที่ทำให้ช่วงท้ายๆกลายเป็นฉากที่มีพลังจนขนลุกเห็นชัดว่าเล่นใหญ่ขึ้นทำให้ดุเดือดกระแทกใจได้ความสะใจแต่น่าเสียดายที่งานด้านเทคนิคไม่เนียนตา สิ่งที่ต่างไปจากภาคแรกที่ชัดเจนคือภาคนี้เล่นใหญ่ขึ้นอลังการขึ้นแต่เมื่อเป็นหนังไซไฟพลังเหนือมนุษย์แล้วเล่นใหญ่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะไปเหมือนหนังซุปเปอร์ฮีโร่ แต่ถ้าว่ากันที่ฉากที่ต้องการขายความมันส์ในฉากแอ็กชั่นที่ดุเดือดเลือดสาดที่เมื่อมาพร้อมซาวด์เอ๊ฟเฟกต์ที่ตูมตามจังหวะพอเหมาะกับความวูบวาบของฉากแอ็กชั่นจึงเหมือนกับมีลมมากระแทกใบหน้าหรืออาจเรียกว่างานด้านภาพและเสียงมันส์กระแทกใจ ซึ่งสิ่งที่ทำให้ได้ผลกระแทกใจประมาณนี้เพราะอารมณ์ได้แล้วและจังหวะในการปล่อยของออกมาอย่างใช่ แต่น่าเสียดายที่งานด้านเทคนิคยังไม่พัฒนาจากภาคแรกเท่าไหร่ที่ควรเนียนก็ยังไม่ถึงระดับที่น่าพอใจ เท่ากับว่าความดุเดือดระทึกเร้าใจที่ได้มามาจากการที่หนังเล่าเรื่องได้ดีพอตัวแล้วพาอารมณ์คนดูไปถึงที่ต้องการได้ ซึ่งก็คือเมื่อบีบอารมณ์คนดูจนเข้าที่ก็ปล่อยความมันส์เข้ามาเพราะถึงเวลาของมันแล้วด้วยความที่คนดูรู้สึกคับแค้นจนแทบทนไม่ได้จนอาจมีบ้างที่คิดว่ามาช้าไปและที่เจอยังน้อยไปเลือกใช้นักแสดงหน้าใหม่ทำให้กลายเป็นมิติตัวละครแต่มีบางคนออกมาไม่กี่นาทีแต่ขโมยเรื่องไปได้ เช่นเดียวกับที่คิมดามีเป็นในภาคแรกคือการรับบทนำเป็นเรื่องแรกของนักแสดงหน้าใหม่ชินชีอา ซึ่งเมื่อเริ่มต้นสังเกตได้ว่านี่คือการคัดตัวนักแสดงที่มีความคล้ายในบางมุมและบุคลิกใกล้เคียงกับคิมดามีทีแรกคิดว่าเพราะคิมดามีคือคนเริ่มต้นเรื่องนี้แต่เมื่อถึงเวลาก็ถึงบางอ้อว่าเพราะอย่างนี้นี่เอง กระนั้นถ้าว่ากันที่เจตนาจะให้เห็นความว่างเปล่าและคล้ายกับคิมดามีความที่ประสบการณ์น้อยของชินชีอากลับกลายเป็นจุดเด่นเพราะเป็นได้อย่างที่บทต้องการ เหนือสิ่งอื่นใดเธอไม่โดนรุ่นพี่อย่างพัคอึนบินข่มทั้งที่พัคอึนบินก็แสดงได้ดีอย่างน่าพอใจแล้วก็คือเรื่องที่น่าทึ่งพอประมาณ แต่ที่ออกมาเพียงน้อยนิดน่าจะประมาณสิบนาทีแต่กลับกลายเป็นขโมยเรื่องไปไว้ในมือก็ไม่ใช่ใครคือคิมดามีที่ออกมาพร้อมกับอาการขนลุกของคนดูที่คิดไม่ถึงและเหมือนเดินผ่านมาเข้าฉากแบบเนียนๆ แล้วเมื่อสองคนเผชิญหน้ากันคือเมื่อคิมดามีเผชิญหน้ากับชินชีอาทุกอย่างก็คือคำอธิบายที่ผ่านมาทั้งเรื่องได้หมดจดส่วนอีจองซอกนั้นอาจต้องรอภาคสาม แม้จะมีช่วงเนือยให้เห็นแต่ที่เป็นก็ยังเป็นหนังที่ดูเอามันส์ได้ในคุณภาพโอเคที่น่าจะมีภาคสามตามมา แม้ว่าภาคนี้จะเป็นการย้อนสู่จุดเริ่มต้นและมีบทสรุปที่ลงตัวแต่ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าดู ซึ่งถ้าว่ากันที่ภาคแรกก็เป็นแบบนี้คือมีบทสรุปที่ดีและสามารถออกมาได้สองทางคือจะลงเอยไปเลยก็ได้แต่เมื่อมีต่อก็ต้องตามดูอีกแล้ว ส่วนท่านใดที่สงสัยว่าถ้าไม่ดูภาคแรกแล้วจะดูรู้เรื่องหรือไม่ก็ต้องบอกว่าดูรู้เรื่องเพียงแต่มิติตัวละครเชิงลึกที่จะอธิบายบางเรื่องจะไม่จับใจ ทำให้เมื่อถึงเวลาที่หนังต้องการอะไรจากคนดูคนที่ไม่ได้ดูภาคแรกจะไปไม่ถึงซึ่งถ้าให้ดีก็ควรดูภาคแรกก่อนแล้วดูต่อเนื่องกันจะได้อรรถรสเต็มกำลัง เพราะตั้งแต่ภาคแรกมาถึงตอนจบของภาคนี้ถ้าว่ากันที่คุณภาพภาคแรกดูดีกว่าแต่ถ้าดูต่อกันก็อาจเห็นว่าเป็นภาคสองที่น่าพอใจที่เป็นเอกเทศแต่ก็ผูกสัมพันธ์กันได้ดี แล้วหนังยังมีความสนุกความดุเดือดตื่นเต้นเร้าใจกดอารมณ์ได้ก็คือไม่เสียดายเวลาแน่นอนและที่น่าสนใจคือเมื่อภาคแรกเป็นเรื่องของเด็กทดลองหนึ่งคนภาคสองเป็นเรื่องของอีกหนึ่งคนแล้วถ้ามีภาคสามต่อมาเมื่อสองคนที่พลังเหนือระดับไปด้วยกันความมันส์อาจจะคูณสองก็เป็นได้ดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3 / ภาพที่ 4,5,6,7,8 จาก Instagram itsnew_movieคอมมูนิตี้ “โลกคนรักหนัง” ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน