รีเซต

เจมส์ คาเมรอน บอกว่าบทหนัง "Avatar 4" (น่าจะ)ดีจนสตูดิโอฟีดแบกกลับมาว่า 'แม่-เอ๊ย!'

เจมส์ คาเมรอน บอกว่าบทหนัง "Avatar 4" (น่าจะ)ดีจนสตูดิโอฟีดแบกกลับมาว่า 'แม่-เอ๊ย!'
แบไต๋
12 ธันวาคม 2565 ( 15:00 )
140

ในบรรดาผู้กำกับภาพยนตร์ของฮอลลีวูด เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) เป็นผู้กำกับคนหนึ่งที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้กำกับที่เข้าใจและเหมือนจะมีสูตรในการสร้างหนังภาคต่อ เพราะที่ผ่านมา คาเมรอนถือเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่สามารถทำให้หนังภาคต่อ กลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จได้อย่างงดงาม

ยกตัวอย่างเช่น ‘Aliens’ (1986) หนังภาคต่อจาก ‎’Alien’ (1979) ของผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott) ที่ได้รับคำชมล้นหลาม และ ‘Terminator 2: Judgment Day’ (1991) ภาคต่อ ‘The Terminator’ (1984) ที่ทำรายได้มากที่สุดในทุกภาคและได้รับคำชมว่าเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์หนังคนเหล็กที่ดีที่สุดภาคหนึ่ง

31 ปีต่อมา คาเมรอนกำลังจะสร้างหนังภาคต่อเป็นครั้งที่ 3 ใน ‘Avatar: The Way Of Water’ ภาคต่อที่ห่างจาก ‘Avatar’ (2009) ภาคแรกนานถึง 13 ปี แต่หนังเรื่องนี้ก็มีความแตกต่างตรงที่ว่า หนัง ‘Avatar’ นั้นไม่ได้จบแค่ภาค 2 เท่านั้น แต่จะมีมากถึง 5 ภาค ความคาดหนังอย่างสูงต่อภาค ‘The Way Of Water’ นี้จึงยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของมหากาพย์ที่ในขณะนี้กำลังเดินหน้าถ่ายทำ และจ่อคิวฉายในอีกทุก ๆ 2 ปีหลังจากนี้

ล่าสุด คาเมรอนได้พูดคุยเล่าเรื่องเกร็ดเบื้องหลังของหนังภาค ‘The Way Of Water’ ที่กำลังจะฉายนี้เพิ่มเติมกับเว็บไซต์ Collider ซึ่งเขาได้เปิดเผยทั้งเรื่องของการถ่ายทำและการเขียนบท ซึ่งแนวทางของคาเมรอนในการกำกับ ‘Avatar’ ทั้งในภาค 2 นี้ รวมทั้ง ‘Avatar 3’ (2024), ‘Avatar 4’ (2026) และ ‘Avatar 5’

โดยเฉพาะเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ภาคแรกกับภาค 2 นั้นมีระยะห่างถึง 13 ปี ก็เป็นเพราะการเขียนบท ที่คาเมรอนและทีมเขียนบททั้ง 5 คนต้องพัฒนาให้เสร็จทั้งหมด และจะเริ่มถ่ายทำแบบรวดเดียวจบทุกภาค หรือที่เรียกว่า ‘Back-to-back Filming’ ก่อนจะทยอยฉาย ซึ่งเขาได้แรงบันดาลใจจากวิธีการถ่ายทำหนังไตรภาค ‘The Lord of the Rings’ ของผู้กำกับ ปีเตอร์ แจ็กสัน (Peter Jackson) ที่ใช้เทคนิคการถ่ายทำแบบ Back-to-back Filming ด้วยเช่นกัน :-

“แบบอย่างของผมคือสิงที่ ปีเตอร์ แจ็กสัน ทำกับ ‘The Lord of the Rings’ ซึ่งมันเป็นการเดิมพันที่บ้ามาก การที่พวกเขาใช้โอกาสนั้นในการปล่อยหนังทั้งสามเรื่องเป็นอะไรที่ผมยกนิ้วให้เลย แต่ด้วยความที่มันมีหนังสือออกมาอยู่แล้ว พวกเขาก็เลยสามารถให้นักแสดงเข้าใจในสิ่งที่เขาจำเป็นต้องรู้เกี่ยกับคาแรกเตอร์ได้ตลอด ก็เลยทำให้ผมรู้สึกว่า ผมจำเป็นต้องทำแบบนั้น (กับ ‘Avatar’) ด้วยเหมือนกัน”

“ผมต้องแสร้งทำว่า (‘Avatar’) มันมีหนังสืออยู่แล้ว ฉะนั้น วิธีการเดียวที่จะเล่าเรื่องได้ก็คือการเขียนบททั้งหมดขึ้นมา และให้นักแสดงอ่านบททั้งหมด และดูว่าพวกเขามีความสำคัญอย่างไร และจะเดินไปในทิศทางไหน ไม่ใช่เพื่อว่าจะให้แสดงในตอนนี้ แต่ผมคิดว่า นี่จะเป็นสิ่งที่นักแสดงจะสามารถเตรียมตัวสำหรับตัวละครของพวกเขาได้”

นอกจากนี้ เขาเองยังเผยด้วยว่า ตอนที่เขาส่งบทภาพยนตร์ไปให้กับผู้บริหารของ ทเวนตี เซนจูรี สตูดิโอ (20th Century Studios) ซึ่งโดยปกติ เมื่อผู้บริหารอ่านบทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มักจะมีโน้ตที่ระบุคอมเมนต์ต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวบททั้งข้อชมและข้อติ รวมทั้งข้อเสนอแนะเกี่ยวกับบทร่างนั้น ๆ ด้วย โดยเฉพาะในบทภาค 4 ที่คาเมรอนเล่าว่าบทมันน่าจะดีมาก ๆ ซะจนสตูดิโอไม่รู้จะคอมเมนต์ยังไง :-

“ผมเล่ารายละเอียดได้ไม่หมดนะ แต่สิ่งที่ผมเล่าได้ก็คือ ตอนที่ผมส่งบทภาค 2 ไปให้ ทางสตูดิโอส่งโน้ตกลับมาให้ผม 3 หน้า แล้วพอผมส่งบทภาค 3 ไปให้ พวกเขาก็ส่งโน้ตกลับมาให้ผม 1 หน้า ผมเลยคิดว่า เออ บทน่าจะดีขึ้นแล้วมั้งนะ

“จนเมื่อผมส่งบทภาค 4 ไปให้ ผู้บริหารสตูดิโอ กับผู้บริหารฝ่ายสร้างสรรค์ของหนังเขียนอีเมลมาถึงผมว่า ‘แม่-เอ๊ย’ (‘Holy f**k.’) ผมก็เลยถามว่า ‘อืม…ไหนวะโน้ต’ เธอก็เลยบอกว่า ‘ไอ้นั่นแหละโน้ต’ ซึ่งอันนี้มันแปลว่าดีแล้วใช่มั้ยวะ… “

แน่นอนว่าตอนนี้เรายังไม่ทราบว่าเรื่องราวของ ‘Avatar 4’ ได้ จนกว่าจะถึงกำหนดฉายในปี 2026 ถ้าไม่มีเหตุต้องเลื่อนวันฉายไปเสียก่อน แต่คาเมรอนก็ขอแอบแง้มไว้นิด ๆ ให้สงสัยกันเล่น ๆ ซึ่งคาเมรอนและทีมงานคงต้องภาวนาว่า วันที่ 16 ธันวาคม ตามตารางฉายในสหรัฐอเมริกา จะต้องประสบความสำเร็จให้อย่างน้อยก็ต้องใกล้เคียงกับภาคแรก จึงจะทำให้มีโอกาสในการสร้างภาค 4 มากขึ้น แต่ถ้าไม่ ประสบความสำเร็จจริง ๆ เขาก็เตรียมที่จะปิดจบที่ ‘Avatar 3’ ซึ่งเขาได้ออกแบบเนื้อเรื่องให้สามารถเป็นกึ่ง ๆ บทสรุปของแฟรนไชส์ไว้ในตัว และถ่ายทำเกือบเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“ผมคิดว่าคุณจะคิดว่าตัวเองรู้ว่า (ภาค 4) มันเกี่ยวกับอะไร แต่จริง ๆ แล้วไม่ คุณไม่รู้หรอก ซึ่งผมคิดว่าผมน่าจะยังคงได้สร้างหนังเรื่องนั้นต่อนะ”


ที่มา: Colider, Variety