เปลี่ยนบรรยากาศกันบ้างนะคะ หลังจากวิจารณ์อะไรเครียด ๆ ไปแล้ว ลองมาดูฝั่งแอนิเมชั่นบ้าง ค่าย Disney - Pixar เป็นค่ายโปรดของแอดเลยค่ะ นอกจากหนังของเค้าจะสีสันสวยงาม การออกแบบดีเลิศแล้ว ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ พล็อต และสิ่งที่ผกก.ฝากไว้ในหนังสั้นค่ะ Pixar เป็นค่ายที่มีแนวคิดว่า ความแตกต่างหลากหลายคือความสวยงาม ดังนั้น เราจะได้เห็นพล็อตหนังต่าง ๆ ที่ได้รับแรงบัดาลใจมาจากวัฒนธรรม ประเพณี ทั่วทุกมุมโลก แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่แอดเลือกหยิบมาเล่า เพราะมีพล็อตที่น่าสนใจ ยังไงลองไปอ่านกันเลยนะคะBao (เปา)กำกับโดย : Domee Shi (โดมี่ ฉี - ผกก.หญิงคนแรกของ Pixar)ฉายปะหน้าหนังยาว : The Incredibles 2เรื่องนี้เต็มไปด้วยความน่ารักน่าหยิกและอบอวลด้วยกลิ่นอาหารแสนน่ากิน "เปา" กล่าวถึงครอบครัวชาวจีนในแคนาดาที่ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่ และลูกชายเพียงคนเดียว (ที่โตเป็นหนุ่มและกำลังจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก) คุณแม่เผชิญสภาวะ Empty Nest หรือสภาวะตรอมใจเมื่อลูกแยกบ้าน แต่แล้ววันนึง ซาลาเปาที่เธอทำเป็นอาหารเช้าเกิดมีชีวิตขึ้นมาพร้อมเรื่องวุ่นๆมากมาย เป็นภาพสะท้อนที่เกิดขึ้นกับครอบครัวชาวเอเชียซึ่งพ่อแม่ชาวเอเชียมักทั้งหวงทั้งห่วงลูกจนมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออพยพไปอยู่ในโลกใหม่ คือโลกตะวันตก นอกจากจะต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมใหม่ๆแล้ว ในขณะเดียวกันยังมีความต้องการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมเอาไว้ด้วย เช่น การอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ การแต่งสะใภ้เข้าบ้าน (และควรมีเชื้อสายเดียวกัน) การแสดงความรักผ่านการกระทำมากกว่าคำพูด แต่เมื่อลูกชายแสนน่ารักเติบโตมาเป็น CBC อีโก้จัด (CBC-Canadian-Born Chinese : ชาวแคนาดาเชื้อสายจีน) ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง คุณแม่หัวโบราณ ผู้ทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ลูกจากไป กับ ลูกชายหัวสมัยใหม่ผู้กำลังคิดจะแยกบ้านไปอยู่กับแฟนสาวผมทอง แม้หนังจะดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็วและมีปมปัญหา แต่บทสรุปก็น่ารักและซึ้งกินใจ สไตล์ PIXAR ที่ทุกคนต้องอมยิ้มค่ะLou (ลู)กำกับโดย : เดฟ มัลลินส์ (Dave Mullins)ฉายปะหน้าหนังยาว : Cars 3Lou เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในลานสนามเด็กเล่นของโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ในกล่อง Lost and Found (สิ่งของที่สูญหายหรือหาเจ้าของไม่พบจะถูกนำมาไว้ในกล่องนี้) มีเจ้าตัวประหลาด Lou อาศัยอยู่ Lou คือผู้ที่คอยรวบรวมสิ่งของต่าง ๆ ที่เด็ก ๆ นำมาเล่นและหลงลืมเอาไว้มาเก็บไว้ในกล่องในเวลาช่วงที่เด็ก ๆ เข้าห้องเรียนหมดแล้ว (ซึ่ง Lou ก็ประกอบร่างขึ้นมาจากสิ่งของต่าง ๆ ในกล่องนั่นแหละ และคำว่า Lou มาจากการนำตัวอักษร L ของคำว่า Lost กับตัวอักษร o และ u ของคำว่า Found มาประกอบกัน) วันหนึ่ง Lou พบเห็นเด็กชายคนหนึ่ง นามว่า J.J. (เจเจ) เที่ยวไล่แกล้งเพื่อน ๆ และยึดของเล่นของคนอื่นมาเก็บไว้กับตัวเอง ทำให้ Lou ต้องต่อสู้กับ J.J. เพื่อแย่งชิงของต่าง ๆ กลับคืนมาเรื่องนี้สอดแทรกปมปัญหาที่มักเกิดขึ้นในโรงเรียน คือเรื่องการรังแก (Bullying) กัน แต่หนังกลับพุ่งเป้าไปที่เด็กผู้รังแกคนอื่น (The Bully) เพราะลึก ๆ ในใจแล้ว เด็กที่รังแกคนอื่นอาจเคยเป็นผู้ถูกกระทำมาก่อนและต้องการความรักอย่างมาก อย่างเช่น J.J. ซึ่งเขาเคยถูกรุ่นพี่รังแกและแย่งของเล่นสุดโปรดไป ทำให้เขาเกิดปมในใจว่า ต้องรังแกคนอื่นเพื่อที่จะได้ซึ่งสิ่งที่เขาต้องการ แต่เมื่อเขายิ่งทำเช่นนั้น ยิ่งทำให้ทุกคนรังเกียจและกีดกันเขา และส่งผลให้เกิดปัญหาเรื้อรังต่อไป Lou นำเสนอการมองปัญหาเรื่องการรังแกกันในแง่มุมใหม่ ทั้งผู้ปกครองและคุณครูล้วนต้องทำความเข้าใจเด็กทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ เพราะเด็กทุกคนล้วนต้องการการดูแลเอาใจใส่ด้วยกันทั้งสิ้น และเมื่อได้รับความรักความเข้าใจอย่างเต็มที่ เด็กทุกคนก็จะแสดงศักยภาพของตนเองออกมาอย่างถูกวิธีอีกทั้งยังเป็นประโยชน์กับตัวเองและผู้อื่นด้วยInner Workings (อินเนอร์ เวิร์คกิ้ง)กำกับโดย : ลีโอ มัทสึดะ (Leo Matsuda)ฉายปะหน้าหนังยาว : Moanaหมายเหตุ : เรื่องนี้เป็นของค่ายดิสนีย์Inner Workings เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับระบบภายในร่างกายของกระทาชายนายหนึ่ง นามว่า Paul (พอล) เขาอาศัยอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียและทำงานในบริษัท Boring, Boring and Glum (ชื่อบริษัทขยี้ได้อีก แปลว่า บริษัทน่าเบื่อ น่าเบื่อ และหม่นหมอง) ทุกเช้าสมองจะทำหน้าที่สั่งการให้ระบบทุกอย่างในร่างกายทำงานอย่างเป๊ะ ๆ เพื่อให้ทันเวลาไปทำงาน แต่หนึ่งในระบบร่างกาย ก็มีหัวใจดวงน้อย ๆ ที่มักไม่ทำตามคำสั่งสมองอยู่เสมอ ทำให้เกิดเรื่องราวสนุกสนานมากมายตามมา เมื่อสมองกับหัวใจไม่ไปด้วยกันเรื่องราวข้างต้นอาจตรงกับชีวิตใครหลาย ๆ คน (รวมถึงแอดมินด้วย ฮา) ที่วันหนึ่งเรามีชีวิตนั่งติดอยู่กับเก้าอี้ วัน ๆ แทบไม่ได้ลุกไปไหน ทุ่มเทชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าให้กับงานประจำซ้ำ ๆ เดิม ๆ แต่เราอาจหลงลืมไปว่า ชีวิตนี้มีอะไรให้เราทำมากมายนัก Inner Workings จึงอยากให้คุณรู้จัก Work Life Balance ซึ่งคือการรักษาสมดุลของชีวิต ถ้าวันไหนเหนื่อยล้า จงเดินเข้าป่า เอ๊ย เดินไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่โต๊ะทำ ออกไปสัมผัสโลกกว้าง ผู้คน ให้ชีวิตได้มีสีสัน พบเจออะไรใหม่ ๆ เมื่อพักผ่อนเพียงพอแล้ว ค่อยกลับมาเผชิญการทำงานอีกครั้ง แต่แน่นอน มันจะไม่เหมือนเดิมหรอก เพราะคุณได้ปล่อยให้หัวใจเป็นอิสระบ้างแล้วPiper (ไพเพอร์)กำกับโดย : อลัน บาริลลาโร (Alan Barillaro)ฉายปะหน้าหนังยาว : Finding DoryPiper เป็นเรื่องราวของนกอีก๋อยน้อยตัวหนึ่งซึ่งเพิ่งฟักออกจากไข่ได้ไม่นาน วันหนึ่งแม่ของมันก็เรียกให้ออกไปหากินบริเวณชายหาดด้วย แต่ด้วยความที่ยังเด็ก ขี้กลัวและขี้เกียจ เจ้านกอีก๋อยน้อยก็เอาแต่ซุกอยู่ในพงหญ้าและเรียกร้องให้แม่เอาอาหารมาป้อนที่รัง แต่ไม่ได้ผล ด้วยเหตุนี้เจ้านกน้อยเลยจำต้องก้าวขาออกมาเผชิญโลก พร้อมด้วยกำลังใจจากแม่ และเพื่อนตัวเล็กจิ๋วอย่างปูเสฉวนPiper ซ่อนแง่คิดเกี่ยวกับ "ความรักสบาย" ของเด็กยุคใหม่ ซึ่งมักเป็นลูกคนเดียวและถูกพ่อแม่ตามใจจนเสียคน ไม่ยอมทำอะไรด้วยตัวเอง และทำให้ส่งผลเสียตามมาในอนาคต เราทุกคนล้วนมี "Comfort Zone" หรือ "จุดที่สบายตัว" ที่เราเคยชิน จนรู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องทำอะไรมากมายให้เหนื่อย แต่เอาเข้าจริงแล้ว กลับเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะทำให้เราขาดการพัฒนาตัวเอง กลายเป็นคนติดที่ เฉื่อยชา และหมดไฟไปในที่สุด การเดินออกมาจาก "Comfort Zone" นั้น แม้มันจะทำให้เราเสี่ยงที่จะเจอปัญหามากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องได้กลับมาแน่นอนเลยก็คือ "ประสบการณ์ใหม่และทักษะในการใช้ชีวิต" ซึ่งเราต่างคนต่างได้รับมาไม่เหมือนกัน มันจึงกลายเป็นสิ่งล้ำค่าชนิดที่หาอะไรมาเปรียบไม่ได้เลยSanjay's Super Team (ซันเจย์ซุปเปอร์ทีม)กำกับโดย : ซันเจย์ พาเทล (Sanjay Patel)ฉายปะหน้าหนังยาว : The Good DinosaurSanjay's Super Team เป็นเรื่องราวของ "ซันเจย์" เด็กชายชาวอินเดีย ผู้อาศัยอยู่กับพ่อของเขา เมื่อถึงเวลา Sanjay จะรีบบึ่งมานั่งหน้าจอทีวีเพื่อรอชมการ์ตูนเรื่องโปรดของเขา ชื่อเรื่อง ซุปเปอร์ทีม (Super Team) ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่พ่อของเขาจะเข้ามานั่งสวดมนต์ภาวนาที่หน้าศาลฮินดูเล็ก ๆ ในบ้าน เสียงสวดภาวนาที่น่าเบื่อของพ่อทำให้ Sanjay รำคาญและเพิ่มเสียงทีวีจนสุด พ่อของเขาจึงยึดรีโมต ปิดทีวี และทำโทษเขาด้วยการเรียกมานั่งสวดมนต์ด้วยกัน ในระหว่างที่นั่งสวดมนต์อย่างไม่เต็มใจนั่นเอง Sanjay นั่งฝันกลางวันถึงการผจญภัยของตัวเขาเองกับเทพเจ้าฮินดูผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม (พระนารายณ์ เจ้าแม่ทุรคา และ หนุมาน) โดยทั้งหมดต้องช่วยกันต้องปราบพญามารที่ผุดขึ้นมาจากตะเกียงที่ดับแสงลงหนังสั้นเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงของผู้กำกับ Sanjay กับพ่อของเขา ในตอนที่เขายังเป็นเด็ก สะท้อนความขัดแย้งกันของสองวัฒนธรรม (ตะวันตก-ตะวันออก) และระหว่างคนสองวัย (วัยเด็ก-วัยผู้ใหญ่) เด็กเอเชียในยุคปัจจุบันนั้นได้รับอิทธิพลของสื่อตะวันตกมากมาย จนในบางครั้ง พวกเขาก็หลงลืมวัฒนธรรม ประเพณี ซึ่งเป็นรากเหง้าของตัวเขา อีกทั้งความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวซึ่งมีอันต้องขัดแย้งอยู่เสมอ ๆ นอกจากนี้ ยังแอบกระซิบบอกผู้ใหญ่ว่า เด็ก ๆ อยู่ในวัยที่กำลังมีจินตนาการโลดแล่น อาจทำให้ไม่ได้ดั่งใจอยู่บ้าง แต่หากเราลองมองให้ลึกลงไป ทั้งสองโลกสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ หากต่างฝ่ายเปิดใจยอมรับมุมมองของกันและกันFeast (ฟีสท์)กำกับโดย : แพทริค ออสบอร์น (Patrick Osborne)ฉายปะหน้าหนังยาว : Big Hero 6หมายเหตุ : เรื่องนี้เป็นของค่ายดิสนีย์Feast กล่าวถึงชีวิตของลูกหมาข้างถนน Winston (วินสตัน) พันธุ์ บอสตัน เทอร์เรีย (Boston Terrier) ที่ถูกหนุ่มโสดร่างใหญ่ใจดีนาม James (เจมส์) เก็บมาเลี้ยง และคงจะรักเหมือนลูกทีเดียว เพราะไม่เพียงแต่อาหารหมาเท่านั้น James ยังป้อนอาหารคน เช่น พิซซ่า ขนมขบเคี้ยว เฟรนช์ฟราย หรืออาหารขยะต่าง ๆ ให้กับ Winston เสมอ จนวินสตันเสียหมา อยากกินแต่อาหารมัน ๆ เลี่ยน ๆ แต่เมื่อ James ได้พบกับ Kirby (เคอร์บี้) สาวเสริฟ์สายชีวจิต จุดเปลี่ยนในชีวิตของวินสตันก็มาถึงอย่างไม่เคยนึกฝันมาก่อนFeast ปลุกกระแสรักสุขภาพให้กับบรรดาผู้ชมได้ตระหนักถึงพฤติกรรมการกินของตนเอง ซึ่งนอกจากจะส่งผลเสียต่อตัวเองแล้ว ยังส่งต่อไปยังบรรดาหมา ๆ อีกด้วย เรื่องนี้ส่งสารมาเตือนสำหรับใคร ๆ ที่เลี้ยงบรรดาน้องหมาสี่ขาแสนรักด้วยอาหารคน ทำเช่นนั้นเป็นการฆ่าหมาทางอ้อม เรียกได้ว่า ตายผ่อนส่งที่เดียว เพราะอาหารคนมีไขมันสูงสูงเกินปริมาณที่หมาต้องการ หนำซ้ำยังก่อให้เกิดโรคเรื้อรังตามมาอีกด้วย งานนี้ ถ้ารักกันจริง อย่างทิ้งของเหลือให้หมาเลยนะคะLava (ลาวา) 2014กำกับโดย : เจมส์ ฟอร์ด เมอร์ฟี่ (James Ford Murphy)ฉายปะหน้าหนังยาว : Inside OutLava คือหนังรักโรแมนติคขนาดสั้นที่แตกต่างจากหนังสั้นเรื่องอื่น ๆ ของ Pixar คือ มีเพลงประกอบตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง บรรยายถึง Uku (อูคู) ภูเขาไฟหนุ่มผู้ยืนโดดเดี่ยวเดียวดายในท้องเลมานานนับหลายร้อยหลายพันปี สัตว์ต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวเขาต่างมีคู่คลอเคลียกันหมดแล้ว เขาจึงเฝ้าคร่ำครวญหาใครสักคน แต่เขากลับไม่เคยรู้เลยว่า ภายใต้ทะเลเบื้องล่างนั้น Lele (เลเล่) ภูเขาไฟสาวอีกลูกได้ตกหลุมรักเสียงเพลงที่เขาร้อง และรอวันที่เธอจะปะทุ เพื่อขึ้นมาเคียงคู่กันเรื่องนี้สอดแทรกความโรแมนติคฉบับเบาสบายสมอง ว่าด้วยหนุ่มสาวในยุคปัจจุบัน ที่มักพร่ำเพ้อหาใครสักคนที่อยู่แสนไกลหรือคนที่ไม่เคยมองกลับมา โดยที่ไม่เคยเหลียวมองคนข้าง ๆ ที่อาจจะแอบรักพวกเขาอยู่เงียบ ๆ ก็เป็นได้ เหมือนที่ใครบางคนเคยกล่าวไว้ว่า ความรัก ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้า เพราะเมื่อถึงเวลา ก็จะมาเองThe Blue Umbrella (เดอะ บลู อัมเบรลล่า) 2013กำกับโดย : ซัคคา อันเซลด์ (Saschka Unseld)ฉายปะหน้าหนังยาว : Monsters UniversityThe Umbrella เป็นเรื่องราวกล่าวถึงนายร่มน้ำเงินที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยสายฝนท่ามกลางเมืองใหญ่ มีผู้คนนับร้อยพัน เดินเบียดเสียดกันโดยมีร่มสีทึมทึบอื่นเต็มไปหมด แต่แล้วเขาก็ไปสะดุดตากับนางสาวร่มแดงแสนน่ารัก ที่ได้มายืนหยุดอยู่ข้าง ๆ เขา แต่แล้วเมื่อสัญญาณคนเดินกระพริบขึ้น นายร่มน้ำเงินจะทำอย่างไร เพื่อไม่ให้รักแรกพบของเขาจากไปนายร่มน้ำเงินกับนางสาวร่มแดง เป็นตัวแทนของเราทุกคน ที่ต่างออกตามหาคู่รักของตน ซึ่งอาจจะบังเอิญเจอในช่วงเวลาแสนสั้น แล้วโชคชะตาก็อาจพาเขาหรือเธอจากไปอีก ดังนั้น การพบรักแท้ จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เราต่างต้องพบเจอกับอุปสรรค การพลัดพราก ความเจ็บปวด กว่าจะได้มาเจอคนที่เราเฝ้ารอLa Luna (ลา ลูน่า) 2011กำกับโดย : เอนริโก้ คาซาโรซ่า (Enrico Casarosa)ฉายปะหน้าหนังยาว : BraveLa Luna เป็นภาษาอิตาเลี่ยน แปลว่า ดวงจันทร์ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ งดงามเหนือจินตนาการ เมื่อคนสามรุ่น คุณปู่ พ่อ และเด็กชาย Bambino (แบมบิโน่) ช่วยกันล่องเรือไปยังดวงจันทร์เพื่อทำการปัดกวาดดาวที่ตกลงมาบนนั้นให้เป็นระเบียบเรียบร้อย โดยนี่เป็นครั้งแรกที่ Bambino จะได้ขึ้นไปช่วยคุณปู่และพ่อของเขาทำงานนี้ ทั้งคุณปู่และพ่อต่างแย่งกันสอนวิธีที่ตัวเองถนัดให้กับ Bambino และทำให้เขาหนักใจไม่น้อยเพราะทั้งสองวิธีล้วนไม่ใช่วิธีที่เขาถนัดเลย สุดท้าย เหมือนสวรรค์จะเห็นใจและส่งดาวดวงหนึ่งลงมาเพื่อให้เขาได้พิสูจน์ตัวเองต่อสายตาคุณปู่และพ่อว่า เขาสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวของเขาเองช่องว่างระหว่างวัยและความมั่นอกมั่นใจในความความคิดของตัวเองที่มากเกินไปนั้น ล้วนทำให้เกิดปัญหา ผู้ใหญ่ส่วนมากคิดว่าตัวเองถูกเสมอ และไม่ฟังความคิดเห็นของเด็ก ซ้ำยังยืนกรานให้เด็กต้องทำตามวิธีของตัวเองเท่านั้น มันเป็นการปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของเด็กไปโดยไม่รู้ตัว ส่วนเด็กรุ่นใหม่ก็ใจร้อน อีโก้จัด ดูถูกว่า วิธีของผู้ใหญ่นั้นล้าสมัยแต่ไม่เคยมีอะไรที่ดีเลว 100% ทั้งสองฝ่ายควรให้โอกาสกันและกันในการแสดงจุดยืนของตัวเอง ผู้ใหญ่ไม่ควรปิดกั้นวิธีใหม่ ๆ ของเด็ก ซึ่งอาจจะขัดใจบ้าง แต่มันอาจจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมก็ได้ ส่วนเด็กก็ไม่ควรปฏิเสธสิ่งที่ผู้ใหญ่บอกสอน ควรเลือกนำมาปรับใช้และค้นหาตัวตนบนเส้นทางของเราเองPartly Cloudy (พาร์ทลี่ คลาวดี้) 2009กำกับโดย : ปีเตอร์ ซอห์น (Peter Sohn)ฉายปะหน้าหนังยาว : UpPartly Cloudy กล่าวถึงตำนานการสร้างเด็กทารกและลูกสัตว์ต่าง ๆโดยก้อนเมฆนักประดิษฐ์ ซึ่งเมฆแต่ละก่อนจะมีแมสเซนเจอร์นกกระสาคู่ใจ คอยคาบห่อผ้าไปส่งพ่อแม่ของสิ่งมีชีวิตน้อย ๆ ทั้งหลาย ในบรรดาเมฆนักประดิษฐ์ มีเมฆฝนก้อนหนึ่งชื่อ Gus (กัส) ที่เจ้าอารมณ์ นอยด์ง่าย แถมขี้น้อยใจสุด ๆ เขามักจะสร้างสรรค์ลูกสัตว์แปลก ๆ และมีอันตรายขึ้นมาเสมอ เช่น ลูกจระเข้ เม่นน้อย ฉลามเบบี๋ ฯลฯ แล้วความซวยก็ตกอยู่ที่เจ้า Peck (เพ็ค) นกกระสาคู่ใจ ซึ่งต้องเจ็บตัวเพราะลูกสัตว์ร้ายเดียงสาที่ Gus สร้างขึ้นเสมอ ในที่สุด เจ้า Peck ทนไม่ไหวจึงทำสิ่งที่ไม่คาดคิด นั่นก็คือ...ไปขอหมวกและชุดเกราะป้องกันจากเมฆก้อนอื่นมาความเต็มใจGus และ Peck คือตัวแทนของเพื่อนคู่หู เพื่อนแท้ หรือคู่แท้ที่ไม่เคยทิ้งกัน เพื่อนแท้จะรักเราและรับเราได้เสมอ ไม่ว่าเรานั้นเป็นอย่างไร เขาก็ยังคงจะคบกับเราและยืนยันให้เราเป้็นตัวของตัวเอง โดยไม่คาดหวังให้เราต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อเป็นคนอื่น เขาพร้อมที่จะหาหนทางเพื่อให้ได้อยู่กับเราต่อไปแหล่งที่มาของภาพ:https://www.pixar.com/short-films-1https://www.blogto.com/film/2019/02/bao-animated-short-film-wins-oscar/https://www.youtube.com/watch?v=dnF4jO8MH3U