นับเป็นการดูซีรีส์ของผู้เขียนที่ต้องบอกว่าไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรเลยสำหรับซีรีส์เรื่อง The Lord of the Rings: The Rings of Power เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ : แหวนแห่งอำนาจ ที่ออกฉายเมื่อปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ากว่าจะได้ดูก็ปากันไปหลายเดือนอยู่ หลังจากที่ดูตัวอย่างและผู้เขียนก็วิเคราะห์อยู่น่าพอสมควร จึงได้รู้ว่าทางค่ายผู้ผลิตไม่ได้ซื้อลิขสิทธิ์ของ อาจารย์ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน และเป็นอะไรที่ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงหนักที่สุดของคำว่าซีรีส์เลยก็ว่าได้ ซีรีส์ซีซันที่หนึ่งนี้มีทั้งหมด 8 Episode และ Episode ละชั่วโมงกว่าๆ นับว่าเป็นซีรีส์ที่ท้าทายมากๆของ Amazon Prime Video ทีมสร้างได้ตัว Patrick McKay / John D. Payne สองมือเขียนบทที่ก็ไม่ได้มีผลงานอะไรโดดเด่นเท่าไหร่ แต่แล้วซีรีส์ก็ได้ผู้กำกับมือดีอย่าง J.A Bayona ที่เคยฝากผลงานมาแล้วอย่างซีรีส์ A Monster Calls และ Jurassic World: Fallen Kingdom ที่ฝากสองตอนแรกสู่สายตาของผู้ชม และซีรีส์ยังได้ตัว Wayne Che Yip ที่เคยฝากผลงานกันมาแล้วเหมือนกันอย่าง Doctor Who และผู้กำกับหญิงมากความสามารถที่กำกับซีรีส์ที่ผู้เขียนชอบมากๆอีกเรื่องคือ The Witcher นั้นก็คือ Charlotte Brandstrom ซีรีส์ในเวอร์ชั่นนี้จะนำพาเราเหล่าคนดูไปสัมผัสเรื่องราวในยุคที่สอง ของดินแดนอย่าง Middle Earth เมื่อซีรีส์ได้ผู้กำกับมากฝีมือมากุมบังเหียนแล้ว ทีมนักแสดงก็ไม่แพ้กัน อย่าง Morfydd Clark รับบทเป็น Galadriel / Ismael Cruz Cordova รับบทเป็น Arondir / Charlie Vickers รับบทเป็น Halbrand / Markella Kavenagh รับบทเป็น Nori Brandyfoot / Megan Richards รับบทเป็น Poppy Proudfellow / Robert Aramayo รับบทเป็น Elrond / Cynthia Addai-Robinson รับบทเป็น Queen Regent Míriel และแค่เห็นทีมนักแสดงในเรื่องก็ทำให้ผู้เขียนตื่นเต้นมากๆเล่าย่อๆเรื่องราวมันเริ่มขึ้นเมื่อจอมมารแห่งความมืดและชั่วร้ายได้ทำลายต้นต้นทวิพฤกษาแห่งวาลินอร์ บัดนั้นทั่วย่อมหญ้าก็ตกอยู่ในความมืด บัดนั้นก็ยังไม่ถึงการสิ้นสุดเมื่อเหล่าเอลฟ์ผู้ไม่เคยรู้จักความตาย ก็เรียกความตายเป็นเมื่อนำตัวเองเข้าสู่สงครามเพื่อขับไล่จอมมารและพลังอันชั่วร้ายในจากไป ณ ดินแดนนี้แต่แล้วความชั่วร้ายกับหนีตายและหลบซ้อนตัวในดินแดนที่สงบสุขอย่าง Middle Earth การเดินทางเพื่อตามล่าของกลุ่มเอลฟ์ที่นำทีมโดย Galadriel ก็ได้เริ่มขึ้นเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร Galadriel จะทำภารกิจของเธอลุล่วงหรือไม่ต้องติดตาม “กล้องพร้อม นักแสดงพร้อม เทปเดิน…ซีน 1 คัท 1 เทค 1…แอ็กชัน” 1 ซีน (Scene) คือ “ฉาก” ว่าด้วยเรื่องของฉาก / ไม่ต้องมีคำบรรยายอะไรที่มันมากมาย สำหรับฉากความยิ่งใหญ่ที่สวยงามของซีรีส์เรื่องนี้ ที่ต้องบอกว่ายิ่งใหญ่สมทุนสร้างที่มีมูลค่ามากถึง 715 ล้านเหรียญ เลยเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่เอามากๆ ตั้งแต่อินโทรเปิดไปจนถึงการรังสรรค์ออกแบบภาพประกอบที่ดูมีความลึกรับในตัวของมันเองอย่างบอกไม่ถูก ว่าด้วยเรื่องอินโทรที่ไม่ธรรมดาเพราะได้ทีมสร้างจากแฟรนไชส์มหากาฬสุดยิ่งใหญ่ทั้ง 6 ภาคของผู้กำกับมากฝีมืออย่าง เซอร์ปีเตอร์ โรเบิร์ต แจ็กสัน (Sir Peter Robert Jackson) หรือที่ใครๆคุ้นหูคุ้นตาอย่าง ปีเตอร์ แจ็กสัน อย่าง ฮาเวิร์ด ชอร์ แต่ผู้เขียนก็มองว่าไม่ได้อลังการงานสร้างเท่าผลงานขึ้นหิ้งทั้ง 6 เรื่อง และได้ แบร์ แมคครีรี่ ที่เคยฝากฝีมือมาแล้วอย่าง GODZILLA King of Monsters มาสานต่อผลงานจนจบภาค ถึงแม้ว่าตัวซีรีส์จะได้ทีมเบื้องหลังที่ฝีมือดีมากๆก็ตามแต่ก็ไม่ได้ทำให้ซีรีส์นี้น่าสนใจ ธีมหลังต้องตอมรับเลยว่าทำออกมาได้ดีคุ้มทุนสร้างงาน CGI สวยงาม Mood and Tone ที่ดูแล้วต้องบอกได้เลยว่าดีงามจนต้องยกนิ้วให้แต่เรื่องที่ผู้เขียน ยอมรับไม่ได้นั้นก็คือธีมหลักที่เดินเรื่องผ่านฉากต่างๆได้ช้ามากๆ ไร้ซึ่งความสนุกและทิ้งช่วงความมันส์ห่างกันจนต้องบอกว่าคนดูไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นไปกับเรื่องราวของซีรีส์ได้เลย พูดง่ายๆคือนั่งดูไปหลับไปตื่นขึ้นมายังไม่งงกับเส้นเรื่อง เพราะฉากต่างๆมันดูยืดและการเล่าเรื่องที่ช้าเน้นบทที่ไม่ค่อยมีความสำคัญ ในหกตอนแรกต้องยอมรับเลยว่าไม่ได้มีความน่าสนใจเอาเสียเลย ไร้ฉากต่อสู้มันส์ๆ หรือแม้แต่ฉากชิงไหวชิงพริบก็ทำออกมาได้ไม่ดีไร้ความตื่นเต้น หรือฉากหลบนี้ของเหล่าเอลฟ์ยิ่งเป็นอะไรที่ต้องบอกเลยว่าอีหยังว่ะนี้กำลังดูซีรีส์เกาหลีอินเดียอยู่หรือเปล่าเพราะตัวละครตีรังกากลางอากาศได้แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนมองว่าดีนั้นก็คือซีรีส์ขยี้ความกลัวแสงของตัวละครออร์คได้อย่างน่าสนใจผ่านฉากหลายๆฉากของเรื่อง แต่พอมาถึงช่วงสองยอนให้หลังซีรีส์เริ่มยกระดับตัวเองก้าวเข้าสู่ความสนุกมากขึ้นเสนอฉากความน่าสิ้นหวัง การชิงไหวชิงพริบเริ่มทำให้เราเหล่าคนดูลุ้นระทึกกับเรื่องราวมากขึ้นผ่านฉากต่างๆเหล่านั้น และยังมีอีกฉากที่ผู้เขียนขนลุกเลยตอนกำลังดูนั้นก็คือตอนที่ตัวละครที่เป็นคนแคระผู้หยิ่งสำลังร้องเพลง ให้ผู้อ่านไปดูเลยว่ามันสวยงามและน่าขนรุกขนาดไหน เพลงและภาพผู้เขียนให้ผ่าน 2 คัท (Cut) คือ “มุม”ว่าด้วยเรื่องของบท / ซีรีส์เลือกที่จะนำเสนอประวัติศาสตร์อาร์ดาในช่วงยุคแรกเป็นบทเปิด ซึ่งหากผู้อ่านเป็นแฟนเดนตายของปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เหมือนกับผู้เขียนบอกได้คำเดียวเลยว่า การเล่าเรื่องราวแต่ละยุคนั้นสำคัญขนาดไหน เรียกชื่อยุคทั้งสามว่า ยุคแห่งชวาลา ยุคแห่งพฤกษา และยุคแห่งตะวัน และยังถูกแบ่งออกเป็นยุคและรอยต่ออีกมากมาย แต่ในซีรีส์เลือกที่จะเล่าเรื่องราวในยุคที่สอง ในสมัยที่เอลฟ์ใช้ชีวิตบนแสงของทวีปแห่งต้นพฤกษา และ มอร์กอธ บาวเกลียร์ ได้เข้าทำลาย ต้นพฤกษาทิ้งก่อนจะหลบหนีเข้ามายัง Middle Earth เมื่อต้นทวิพฤกษาแห่งวาลินอร์ถูกทำลายเหล่าเอลฟ์ก็ต้องเดินทางลงเรื่องข้ามแม่น้ำมายังมิดเดิลเอิร์ธ นี้น่าจะเป็นพล็อตใหญ่ๆของซีรีส์เท่าที่ผู้เขียนจับใจความได้ แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ซีรีส์นี้ไม่ได้ลิขสิทธิ์ของ อาจารย์ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน มาเพราะซีรีส์ถูกสร้างตามภาคผนวก การแต่งเติมเสริมเรื่องราวจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายของทีมสร้างมากๆอยู่แล้ว นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม่เสียงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ของซีรีส์เรื่องนี้มาในเชิงลบมากกว่าเชิงบวก เพราะบทภาพยนตร์ที่ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งบางสิ่งบทบางบทของบางอย่างอาจจะมีเรื่องของค่าลิขสิทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนจับไต๋ได้นั้นก็คือการกล่าวถึงเรื่องราวที่สำคัญอันดับต้นๆของเรื่องนั้นก็คือ ดวงแก้วซิลมาริล เพราะมันก็มีอยู่ในภาคผนวกแต่น่าจะลดความซับซ้อนของบทซีรีส์เลยเลือกที่จะตัดเรื่องนี้ออกไป เมื่อการผ่ายแพ้ของ มอร์กอธ บาวเกลียร์ มาถึงซีรีส์ก็สานต่อบทของ เซารอน ซีรีส์เล่าเรื่องของยุคที่หนึ่งมาถึงตรงนี้และถ้าใครเป็นแฟนเดนตายนี้คือตายตาเหลือก เพราะหลายๆอย่างมันคัดแย้งกับ Lore ในเนื้อเรื่องของนิยายต้นฉบับอย่างมาก เมื่อกลายเป็นซีรีส์ยาวหลายชั่วโมงการอ้างอิงเนื้อเรื่องจากภาคผนวก สิ่งที่มีสร้างต้องทำนั้นก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการแต่งบทขึ้นมาใหม่เกือบทั้งหมด เลยกลายเป็นว่าบทของซีรีส์เรื่องนี้ผู้เขียนไม่อย่างให้นำไปอ้างอิงกับ Lore หลักอยากให้ผู้อ่านคิดว่าเป็นโลกคู่ขนาดของนิยายของอาจารย์ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน และภาพยนตร์ทั้งหกภาคของ ปีเตอร์ แจ็กสัน จะสบายใจกว่า 3 เทค (Take) คือ “จำนวนครั้งที่เล่น”ว่าด้วยเรื่องของตัวละคร / เมื่อผู้อ่าน อ่านมาถึงตรงนี้ผู้เขียนก็อยากจะบอกและย้ำอีกครั้งเลยว่าซีรีส์เรื่องนี้คือโลกคู่ขนาดของ นิยายของอาจารย์ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน และภาพยนตร์ทั้งหกภาคของ ปีเตอร์ แจ็กสัน ผู้เขียนต้องยอมรับเลยว่าตัวละครในเรื่องนี้ก็เป็นเหมือนกับบทของซีรส์เลย เพราะตัวละครหลากหลายมากๆ หลากหลายคนเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ ที่หลากหลายคนก็ให้ความเห็นกันไปต่างๆนาๆ เพราะว่าตัวละครในเรื่องส่วนใหญ่ไม่ตรงกัน Lore หรือนิยายต้นฉบับเอาเสียเลย อันนี้ผู้เขียนเห็นด้วยเพาะว่าการเคารพตัวละครเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะว่าหากบทไม่โดยฉากไม่ดีการเล่าเรื่องที่ช้าแสนช้า ตัวละครน่าจะเชิดหน้าชูตาของซีรีส์ขึ้นมาได้บ้างแต่เรื่องนี้ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะตัวละครขัดแย้งกับความเป็นนิยายต้นฉบับอยู่มากมายหลากตัว เอลฟ์ผิวดำผมสั้นหรือแม้แต่ตัวนักแสดงกับอายุของตัวละครโคตรจะไม่มีอะไรเหมือนนิยายต้นฉบับเลย คนแคระไม่มีหนวด พวกฮาร์ฟุตที่รู้จักการทำนายและหนังสือทั้งที่ตามนิยายต้นฉบับเจ้าพวกนี้ไม่เปิดรับโลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย แต่ตัวละครตัวหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมากที่สุดคงจะเป็นออร์คและวาร์ก ออร์คที่ดูจะใส่ความเป็นออร์คมาเกินเบอร์แบบเกินมากๆ เพราะอาการแพ้แสงที่เมื่อโดนแทบละลาย และวาร์กที่ออกแบบมาได้น่าเกลียดน่ากลัวแบบสุดๆ ใน the lord of the rings ว่าดูน่าเกลียดน่ากลัว ใน the hobbit ที่ออกแบบมาได้น่าเกรงขาม แต่ซีรีส์เรื่องนี้คือวาร์กติดโรคพิษสุนัขบ้าชัดๆ และอีกตัวคือคนแคระบางตัวที่น่าสนใจดูมาความเป็นคนแคระ ส่วนเอลฟ์ไม่ต้องพูดถึงไม่ผ่านผู้เขียนอย่างแรง อาจจะเป็นเพราะว่าซีรีส์อาจจะอย่างนำเสนอความหลากหลายของเล่าตัวละครก็เป็น แต่เมื่อมันขัดกับภาพลักษณ์ที่เราเหล่าคนดูเคยเห็นและเคยอ่านมันเลยกลายเป็นเรื่องที่รับไม่ได้สำหรับคนส่วนใหญ่ที่เป็นแฟนนิยายต้นฉบับอยู่แล้ว ถึงจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหล่าตัวละครในด้านของนักแสดง แต่ผู้เขียนกลับชอบเพราะเหล่าตัวละครต่างๆของซีรีส์เรื่องนี้มีมิติในแบบของตัวมันเอง บางตัวอาจจะไม่ได้เป็นไปตาม Lore ก็ตาม กลายชิงไหวชิงพริบเหมือแม้แต่การแสดงออกทางกิริยาท่าทางชีหน้า ผู้เขียนว่าเหล่านักแสดงมืออาชีพกับแบบสุดๆอีกเรื่องเลยก็ว่าได้ 4 Slate คือ ป้ายที่เขียนบอก ซีน คัท เทคว่าด้วยเรื่องของความหมาย / เราเรียกความตายในหลายๆรูปแบบ เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆกับเหล่าตัวละครที่ไม่แก่ไม่ตายอย่างเอลฟ์ ตามที่ผู้เขียนได้เขียนไว้ด้านบนว่าเอฟ์ได้เข้าร่วมสงครามเลยทำให้เอลฟ์ตายลงไปเป็นจำนวนมาก หากเป็นโลกเราหรือโลกแห่งความเป็นจริงที่ผู้เขียนและผู้อ่านอยู่นั้น ความตายคือเรื่องปกติที่เราเข้าใจและเห็นมันอยู่ในทุกช่วงของการใช้ชีวิต แต่ในโลกปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เอลฟ์คือสิ่งมีชีวิตที่ต้องบอกว่าความตายมาไม่ถึง และเข้าได้รู้จักความตายผ่านการต่อสู้ในสงคราม เอลฟ์ตัวที่ตายน่าจะไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เอลฟ์ที่ยังอยู่นั้นต่างหากที่ดูจะทรมานมากที่สุด เพราะเราจะจำคนที่ตายได้ในทุกก้าวเดินและเติบโต มันจึงเป็นอะไรที่น่าสนใจแบบสุดๆของซีรีส์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าจะมีการเผยออกมาแต่ช่วงสั้นๆและสั้นมากๆกับการเล่าประเด็นนี้แต่ความน่าสนใจมันกลับมีในทุกมุมของเรื่องเลยก็ว่าได้ ที่สื่อให้เห็นถึงเรื่องราวของความตาย และในซีรีส์เสนอได้อย่างตรงไปตรงมาจริงๆ เพราะตัวละครที่มีบทบาทเด่น ๆก็เริ่มล้มหายตายจาก จนทำให้เส้นเรื่องเล่าถึงความตายเป็นเรื่องปกติ และอีกประเด็นที่น่าสนใจนั้นก็คือการกล้าที่จะก้าวเดินออกจากจุดเดิม เราเหล่าคนดูจะเห็นประเด็นตกผลึกนี้จะตัวละครที่ชื่อ Nori Brandyfoot ที่เธอเลือกที่จะช่วยเหลือคนแปลกหน้าและปกป้องเขาเหมือนคนในครอบครับ และสุดท้าย Nori Brandyfoot ก็กล้าที่จะก้าวเดินออกไปผจญภัยเพื่อให้ได้พบกับสิ่งใหม่ๆในมิดเดิลเอิร์ธที่กว้างใหญ่นี้ เป็นประเด็นดีๆอีกประเด็นที่สอนให้เราเหล่าคนดูรู้จักกล้าที่จะช่วยเหลือคนอื่นเมื่อเขาตกทุกข์ได้ยาก และกล้าที่จะออกจาก Comfort Zone ของตัวเองและ Move On เพื่อให้ได้เจอสิ่งใหม่ๆ ผู้เขียนว่าเป็นประเด็นตกผลึกที่ซีรีส์สอดแทรกเข้ามาได้น่าสนใจและอีกมากจริงๆ 5 “คัท !!!!”ถึงแม้ว่าเส้นเรื่องจะไม่ได้อิงตาม Lore และมีการแต่เสริมตัวละครเพิ่มขึ้นมาใหม่มากมายหลายตัว น่าจะเป็นการแต่งเพิ่มเพื่อรองรับเส้นเรื่องที่จะมาในซีซันสองก็เป็นได้ ซีรีส์ที่ไม่ได้เล่าตามนิยายต้นฉบับนี้เองที่มันทำให้ผู้เขียนกังวนมากที่สุดเพราะอย่างที่ได้ดูซีซันแรกที่จบไป มันไม่ได้มีอะไรติดตาตรึงใจเท่าที่ควร และในแง่ของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ผู้เขียนยังแอบกลัวเลยว่า Amazon Prime Video จะไม่อนุมัติให้สร้างภาคต่อ แต่ความยิ่งใหญ่ที่คุ้มทุนสร้างมากที่สุดในเรื่องนี้ ที่หนีไม่พ้นคงจะเป็นเรื่องของ ฉากต่างๆที่ทำออกมาได้สวยงามสมจริงมากๆ คาแรกเตอร์ของตัวละครที่ทำออกมาได้ดีไม่แพ้กันถึงแม้จะขัดกับนิยายต้นฉบับก็ตามที บทที่ต้องบอกว่าไม่ได้น่าสนใจเอาเสียเลย เอามาใช้กับซีรีส์เรื่องนี้ได้สบายๆ ด้วยความที่เป็นบทที่เขียนขึ้นมาใหม่แบบเกือบ 100% ทำให้ประเด็นจริงที่ผู้เขียนรู้และผู้อ่านไม่มากก็น้อยน่าจะรู้มาแล้วบ้าง แต่ซีรีส์กลับทำได้จืดไร้อรรถรสและในแง่ของความหมายก็ด้วยน่าเสียดายที่ประเด็นต่างๆไม่ได้ถูกหยับยกขึ้นมาเล่าแต่เลือกที่จะ หยิบเล็กหยิบน้อยจนจับประเด็นไม่ได้มากเท่าที่ควร เมื่อความงามของซีรีส์เรื่องนี้หายากจึงเกิดเสียงที่เป็นเชิงลบมากจนหนาหู แต่ก็เป็นความโชคดีที่ผู้เขียนตัดสินใจดู เพราะอย่างพิสูจน์ด้วยตาของตัวเอง สรุปงายๆถึงบทแย่ตัวละครไม่สมเหตุสมผลการเล่าฉากที่เนิบช้าคนน่าเบื่อ แต่ความสนุกในฐานะคนดูต้องบอกว่าเริ่มมีขึ้นมาบ้างในช่วงหลังๆ ก่อนจบซีซัน CGI สวยงาม Mood and Tone ที่ดูเข้าท่าเข้าทางแบบสุดๆ จนบางทีผู้เขียนคิดว่าทีมสร้างน่าจะโชว์ตัวนี้แหล่ะเป็นจุดขาย แต่ก็เป็นจุดขายที่ว้าวได้ไม่น่าเพราะมันเห็นมากไปก็เริ่มที่จะไม่อยากเห็น Easter Egg ก็ไม่ค่อยมีมาให้เราเหล่าคนดูหาจุดหน้าตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่ก็ยังอยากจะชวนผู้อ่านดูด้วยตัวเอง และให้ทำเหมือนกับที่ผู้เขียนแนะนำไปตอนต้นว่า ให้คิดว่าเป็นโลกคู่ขนาดของนิยายและภาพยนตร์ทั้งหกภาคของ ปีเตอร์ แจ็กสัน แค่นี้การดูซีรีส์เรื่องนี้น่าจะสนุกมากขึ้นก็เป็นได้ ชอบประโยคนี้ “จงเชื่อจมูกตัวเอง” - คนแปลกหน้าจากฟากฟ้า(สิ่งหนึ่งที่คนดูอย่างผู้เขียนเห็นคือความตั้งใจของทีมผู้กำกับทีมนักแสดง คะแนนเต็มแบบไหนอย่างไรไม่ควรนำมาตัดสิน กับเรื่องของภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม "คะแนนของคุณไม่ใช่คะแนนของใคร ที่สำคัญกำลังใจย่อมดีกว่าการตัดสินด้วยคะแนน" ผู้เขียนจะย้ำอยู่เสมอ สิบปากว่าไม่เท่าตาคุณเห็น ต้องชมเองให้ได้เท่านั้น)#จิปาถะและอรรถรสขอบคุณภาพประกอบจาก The Lord of the Rings on Prime - ปก / 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7 / 8 / 9 / 10 / 11 / 12 / 13 / 14 / 15 / 16ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก End Credits ท้ายเรื่อง และการเป็นแฟนเดนตายผู้กำกับภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม นักเขียนบทภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม นักแสดงทุกท่านทีมสร้างภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกมทุกคนและบริษัทและค่ายผู้ผลิตภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกมและในวันนี้ก่อนจากกันไปบอกเราหน่อยว่าผู้อ่านเป็นแฟน The Lord of the Rings: The Rings of Power เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ : แหวนแห่งอำนาจ เพราะอะไร อย่าลืมกดติดตามเพื่อเป็นกำลังใจ แล้วท่านจะไม่พลาดเหล่าคอนเทนต์ใหม่ๆที่ทาง จิปาถะ และ อรรถรส จัดมาให้แบบ Exclusive เจาะลึกถึงวงการบันเทิงที่มากกว่าใคร หากคุณรักภาพยนตร์ รักซีรีส์ อนิเมะ แอนิเมชัน และเกม ที่เดียวที่ จิปาถะ และ อรรถรส จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !