Short CommentBLACK CRAB (2022)ไม่น่าเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าถึงตอนนี้ผู้เขียนกลายเป็นแฟนหนังของนักแสดงหญิงจากสวีเดน Noomi Rapace ไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อถึงตอนที่ดูหนังเรื่องนี้จบผู้เขียนมาลองนับได้ว่าดูหนังของเธอไปแล้วเป็นสิบเรื่องนับตั้งแต่ไตรภาค The Girl With The Dragon Tattoo ที่เป็นหนังสร้างชื่อให้กับเธอในฝั่งฮอลลีวู้ด เช่นเดียวกันกับนักแสดงทางฝั่งยุโรปที่การันตีฝีมือด้านการแสดงได้เลยเพราะถ้าไม่แน่จริงคงไม่สามารถข้ามน้ำข้ามทะเลมามีชื่อเสียงทางฮอลลีวู้ดแน่นอน ซึ่ง Noomi Rapace เองนับเป็นหนึ่งในนักแสดงสายขายฝีมือที่สามารถเล่นบทไหนก็ได้ จะเป็นคนดีคนร้ายแม่เล่นหมดและเป็นธรรมดาของของนักแสดงที่เล่นได้หลากหลายที่ต้องมีบ้างที่มีงานที่น่าจดจำและก็มีบ้างที่เป็นงานธรรมดา แต่กระนั้นพลังดาราและมาตรฐานการแสดงก็ยังสามารถทำให้เป็นที่จดจำแม้จะสวนทางกับคุณภาพหรือความสนุกของตัวหนัง ไม่เชื่อลองนึกดูหนังอย่าง Bright (2017)และกับหนังใหม่ของเธอเรื่องนี้ที่ไม่ต้องพูดเยอะเพราะตั้งใจมาขายชื่อ Noomi Rapace เต็มที่ ด้วยการเล่าเรื่องจากจุดเริ่มต้นของสองแม่ลูกที่นั่งรถไปไหนสักที่ แต่แล้วก็ถูกจู่โจมโดยทหารไม่ทราบฝ่ายและลงเอยด้วยลูกสาวถูกพรากไป ตัดกลับมาที่ Caroline Edh (Noomi Rapace) ที่ตอนนี้กลายเป็นนักรบเจนสงคราม เธอถูกเรียกตัวมาทำภารกิจที่สำคัญด้วยการเสก็ตไปบนพื้นน้ำแข็งไปยังหลังแนวรบข้าศึก เพื่อส่งมองวัตถุปริศนาพร้อมกับทหารที่เสก็ตเป็นอีกจำนวนหนึ่งในชื่อปฏิบัติการ Black Crab แต่แรงบันดาลใจของ Edh (อ่านว่า เอียร์ด) แรงกว่าคนอื่นเพราะที่นั่นมี Vanja (Stella Marcimain Klintberg) ลูกสาวของเธอลี้ภัยอยู่ ทำให้แม้จะเป็นภารกิจที่ยากและเสี่ยงชีวิตแต่ Edh ก็ต้องทำให้ได้เพื่อไปพบกับลูกสาวที่ปลายทาง แต่เมื่อนี่คือสนามรบฝ่ายตรงข้ามก็ต้องป้องกันไม่ให้ภารกิจครั้งนี้ลุล่วง ทีมของ Edh จึงทยอยพลีชีพไปทีละคน แต่ Edh ก็ยังต้องปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงเพื่อจะไปพบความจริงที่จะวัดใจเธอหนังสัญชาติสวีเดนเรื่องนี้ก็ยังเป็นเหมือนหนังยุโรปทั่วไปที่จะไม่โฉ่งฉ่างแต่เล่นกับอารมณ์คนดู และเรื่องนี้เล่นกับความไม่รู้เป็นเหตุให้คนดูสงสัยแล้วทำให้เกิดความอยากรู้และติดตาม ด้วยการไม่เปิดเผยสาเหตุของสงครามไม่ระบุว่าฝ่ายไหนประเทศใดเป็นฝ่ายร้ายหรือฝ่ายดีแม้กระทั่งฝ่ายของตัวเอกที่ถูกโจมตีก็ยังบอกไม่ได้ ทำให้ผู้ชมที่คุ้นชินกับการเล่าเรื่องแบบครบประโยคอาจรู้สึกว่ามันคืออะไรหรือทำไม่ไปตลอดทาง แต่ถ้ามองว่านี่คือการหยิบเอาปฏิบัติการหนึ่งในช่วงสงครามมาเล่า เรื่องนี้ก็คือเล่าได้และจัดการอารมณ์ผู้ชมอยู่ เพราะเรื่องเดินหน้าไปสลับกับการไขปริศนาที่แม้จะไม่กระจ่างแต่ก็เห็นแรงจูงใจ และด้วยการเล่าเรื่องที่เดินไปข้างหน้าแบบใช้บรรยากาศที่หนาวเหน็บกับความมืดหม่นจึงก่อความไม่น่าไว้ใจและรู้สึกว่าไม่รู้จะถูกโจมตีตอนไหน ผสมกับอารมณ์แบบสูตรหนังสยองขวัญที่ลุ้นว่านอกจากตัวของ Edh แล้วใครจะพลีชีพไปก่อนและต่อไปจะถึงคิวใครอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรื่องออกมาเร้าใจและดูสนุกได้ คือการสามารถทำให้คนดูรู้สึกว่าอันตรายไปพร้อมกับตัวละคร แม้จะเป็นชั้นเชิงเดิมๆเช่นเรื่องของแผ่นน้ำแข็งและน้ำหนัก การต้องเอาตัวให้รอดจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตร หรือกระทั่งศัตรูที่ไม่เห็นว่าใครเป็นใครการไม่ไส้ใจกันเอง และทำให้เรื่องที่เล่าไปมีแอ็คชั่นมันส์ๆมาสลับกับการลุ้นผ่านบรรยากาศที่ดูอึดอัด ซึ่งอาจไม่ตูมตามโครมครามแต่ก็สนุกเพราะสเกลของเรื่องพอดีตัว แต่กระนั้นก็ยังคงเห็นความไม่สมเหตุสมผลประปรายเช่นกันแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาอะไรเมื่ออารมณ์คนดูเขม็งเพ่งไปกับภารกิจของทีมและอยากรู้ว่านี่คือสงครามของใคร และภารกิจจะลุล่วงได้ยังไงและกับการวางอารมณ์อึดอัดไว้แล้วใส่แอ็คชั่นมาในเวลาที่พอดีก็ทำให้เมื่อจะมองเห็นอะไรก็ตื่นเต้นไปแทนและมันเป็นเช่นนี้ไปจนสุดท้าย เพียงแต่ถ้าจะเอาความกระจ่างทั้งหมดหนังจะไม่มีให้และทิ้งไว้ให้สงสัยตั้งแต่ต้นจนนาทีสุดท้ายว่า นี่คือสงครามของใครและเมื่อถึงเวลาที่ภารกิจลุล่วง ซึ่งมันก็ต้องเป็นไปตามนั้นคนดูก็จะรู้สึกว่าทุกสงครามไม่ใช่สมรภูมิของคนอย่าง Edh และเพื่อนร่วมทีม เพราะถึงที่สุดทุกคนก็เป็นได้แค่เบี้ยในสงครามของผู้อยู่ข้างบนที่จะทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะ และทำให้การเสียสละเสี่ยงหรือการพลีชีวิตของทหารกลายเป็นแค่สิ่งที่สนองตัณหาของผู้ทำสงคราม และช่างบังเอิญเหลือเกินที่หนังมาเข้าฉายตอนที่โลกแห่งความจริงกำลังมีสงคราม ที่ภาพที่ได้เห็นในหนังดูคล้ายกับภาพที่ได้เห็นในโลกจริงผ่านภาพข่าว มันยิ่งตอกย้ำคามเจ็บปวดของตัวละครที่การทำตามหน้าที่คือการสังหารคนที่ไม่รู้จักแต่ถ้าไม่ฆ่าก็ถูกฆ่า แถมด้วยความฉ้อฉลในความคิดร้ายจากสายบังคับบัญชาที่ไม่สนความรู้สึกของผู้ใต้บังคับบัญชาและหลอกใช้กันอย่างหน้าด้านๆ ยิ่งทำให้คนดูรู้สึกว่ามันไม่ใช่ และเมื่อถึงบทสรุปที่แก่นของภารกิจถูกเปิดเผยหนัง ก็ดูเหมือนจะมีบทสรุปที่หลุดไปเล็กน้อยเมื่อกลายเป็นหนังวีรีสตรีกู้โลกเอาดื้อๆและหนังเรื่องนี้ก็คือหนังที่ตั้งใจมาเล่นกับอารมณ์คนดู และก็ทำได้ผ่านการพาหนังไปของ Noomi Rapace คนเดียว เพราะนี่คือคนที่แรงจูงใจสูงที่สุดและเธอเองก็ให้การแสดงที่คุมอารมณ์คนดูอยู่ด้วยการเป็นศูนย์กลางของเรื่องอย่างเต็มที่ ก็ใช่ที่นักแสดงรายล้อมจะทำได้ดีตามมาตรฐานนักแสดงทางฝั่งยุโรปที่มัยจะเล่นกันได้พอดีๆ แต่ด้วยพลังดาราและบทที่ว่ากันที่จุดมุ่งหมายของภารกิจทำให้มิติความมุ่งมันในภารกิจไปอยู่ที่ Noomi Rapace จนทำให้คนดูเอาใจช่วยเธอ แต่แม้หนังจะดูสนุกและบีบอารมณ์อย่างที่ต้องการหนังก็ยังเป็นหนังที่มาตามสูตรเกินไป คือการเป็นแอ็คชั่นทริลเลอร์ที่มีอารมณ์แบบหนังสยองขวัญแบบนี้ มันมีจุดเริ่มต้น เรื่องราวระหว่างทาง และบทสรุปที่ไม่มีทางหลุดไปจากที่คนดูคิด และทำให้หนังมีความสนุกที่ตรงเกินไปไม่มีอะไรพลิกผันแม้แต่สิ่งที่ตั้งใจพลิกก็คิดได้แล้วว่าต้องเป็นอะไรสักอย่าง เพียงแค่รายละเอียดระหว่างทางมันสนุกก็เลยไม่เสียหายอะไรอาจไม่ใช่หนังฟอร์มยักษ์ที่ต้องตื่นเต้นตูมตาม ไม่ใช่หนังขายความชาตินิยมแบบที่ฮอลลีวูดมักเป็น กระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นใครเพราะอะไรต้องมารบกัน แถมบทสรุปก็ยังไม่ได้สมใจคนดูนักแต่นี่ก็คือหนังที่เลือกเล่นกับอารมณ์นำหน้าความตื่นเต้น เน้นความระทึกมากกว่าระเบิดลูกโต และเป็นหนังที่ดูสนุกโดยที่ต้องเข้าใจว่านี่คือหนังสัญชาติสวีเดน เป็นหนังยุโรปที่การเล่าเรื่องต่างจากหนังฮอลลีวูดที่คุ้นเคย แต่ด้วยพลังดาราและจัวหวะเวลาในการปล่อยของรวมถึงการกำหนดอารมณ์คนดูให้สงสัย ก็ทำให้หนังกลายเป็นความบันเทิงที่เป็นความต่าง และสารภาพตรงนี้ว่าผู้เขียนก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับหน้าหนังที่มองเห็น เพราะนี่คือหนังที่มาขาย Noomi Rapace และผู้เขียนก็ดูเพราะเหตุผลนี้จึงดูสนุก การที่หนังออกฉายช่วงนี้ทำให้มองเห็นว่าสงครามไม่ได้มีอะไรดี เพราะถึงที่สุดทุกคนก็กลายเป็นเหยื่อของสงคราม แม้กระทั่งความฝันเล็กๆที่จะดูฮ็อกกี้นัดชิงชนะเลิศยังถูกสงครามที่ใครก็ไม่ทราบเป็นคนก่อพรากไป เป็นหนังที่ดูสนุกและมาถูกจังหวะเวลาดูสนุกพร้อมมองเห็นความหดหู่ โดยดูไปบ่นไปNETFLIXขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 จาก Instagram Netflix Filmsจะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !