TrueID | Frozen 2 – เสียงเรียกแห่งการเติบโต (ที่ไม่เปลี่ยนแปลงเท่าไหร่) by Kanin The Movie
Kanin The Movie
ต้องยอมรับว่า Frozen (2013) คือหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของแอนิเมชั่นยุคนี้ เพราะไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ เอนจอยกับมันหรือเปล่า เรื่องราวการผจญภัยของ เอลซ่า, อันนา, คริสตอฟฟ์, โอลาฟ และสเฟน ได้กลายเป็นที่จดจำของใครหลายคนไปเป็นที่เรียบร้อย ไม่ว่าจะเพราะการออกแบบตัวละคร การนำเสนอเรื่องราวเจ้าหญิงดิสนีย์โฉมใหม่ และที่สำคัญบทเพลง “Let It Go” ที่ยังคงโด่งดังเป็นที่นิยมมาจนถึงตอนนี้ โลกภายหลังการปรากฏตัวของ Frozen ทำให้เราได้เห็นทุกสรรพสิ่งมี เอลซ่า และ อันนา อยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย เครื่องเขียน ของประดับตกแต่ง และอีกสารพัด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใจนักที่ดิสนีย์จะสานต่อการผจญภัยนี้ให้มีชีวิตอีกใน “Frozen 2” ครั้ง (หลังจากที่ปล่อยออกมาเป็นหนังสั้น Side Story ใน Frozen Fever และ Olaf's Frozen Adventure ไปตามลำดับ) คลิกชมหนัง Frozen 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ ได้แล้ววันนี้ที่ TrueID
Disney’s Frozen 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ | (Official ซับไทย)
Frozen 2 ดำเนินเรื่องราวต่อจากภาคแรกตามที่เราเข้าใจ เอลซ่า กลับมาเป็นราชินีแห่งเอเรนเดลล์ภายหลังการผจญภัยเพื่อเรียนรู้ที่จะเอาชนะพลังของตัวเอง เธออยู่กับ อันนา, คริสตอฟฟ์, โอลาฟ และสเฟน อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกอย่างราวกับเป็นตอนจบที่สมบูรณ์จนกระทั่งการมาถึงของ “เสียงปริศนา” ที่เรียกให้ เอลซ่า เดินทางไปสู่ดินแดนลึกลับที่ไม่มีใครรู้จัก ด้วยความสั่นคลองของบ้านเมืองที่ถูกธรรมชาติเล่นงาน บวกกับความอึดอัดใจที่เธอยังคงนึกสงสัยเสมอว่า “พลัง” ของตนมีขึ้นได้อย่างไร เอลซ่า จึงตัดสินใจออกผจญภัยอีกครั้งเพื่อกอบกู้ความสงบสุขบ้านเมืองไปพร้อมๆกับการเติมเต็มอดีตและจุดเริ่มต้นของตัวเองให้ครบถ้วนเสียที
Frozen 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ
หาก Frozen แรกว่าด้วยการเผชิญหน้าและยอมรับตัวตนอันแตกต่างของตัวเอง Frozen 2 ก็ว่าด้วยเรื่องที่ไม่ต่างกันนัก หากแต่สิ่งที่ เอลซ่า และ อันนา ต้องเผชิญในครั้งนี้ไกลกว่าการเป็น “เรื่องส่วนตัว” อยู่มากพอสมควรเมื่อหนังหยิบเอาทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ในอดีตของเอเรนเดลล์ เอาเบื้องหลังความจริงของพ่อแม่ทั้งสองที่ยังไม่ถูกเปิดเผย มาขยับขยายเรื่องราวการผจญภัยให้ยิ่งใหญ่ขึ้น ตั้งแต่การเปิดพื้นที่ใหม่ๆให้กับเรื่องราว (ดินแดนปริศนาในเรื่องกลายเป็นสีสันสำคัญเลยก็ว่าได้) ไปจนถึงการพาผู้ชมค้นหาคำตอบของสิ่งที่ค้างคาให้กระจ่าง การเล่าเรื่องเช่นนี้ทำให้เราเห็นว่าชีวิต เอลซ่า และ อันนา ไม่ได้ยืนอยู่บนตัวเองเพียงอย่างเดียว หากแต่เธอยังมีประวัติศาสตร์จากอดีตของครอบครัวที่ต้องแบกรับ เรื่องราวจากรุ่นสู่รุ่นที่ส่งต่อกันมาเพื่อพิสูจน์ตัวตนของทั้งสอง สิ่งสำคัญของภาคนี้จึงเป็นการต่อสู้กับอดีต ตั้งคำถามกับความถูกต้อง และตัดสินใจด้วยหัวใจที่แท้จริงของตัวเอง หัวใจที่อยู่เหนือประวัติศาสตร์และความเป็นมาแต่ก่อน
Frozen 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ
เราจึงเห็นได้ว่า Frozen ทั้งสองภาคต่างมีเรื่องให้ต่อสู้ไม่ต่างกันนัก นอกเหนือจากโครงสร้างในภาคแรกที่พยายามล้อกับขนบธรรมเนียมความเป็นหนัง “เจ้าหญิงดิสนีย์” อย่างสนุกแล้ว หนังยังพูดถึงความพยายามที่จะต่อสู้กับความเชื่อและวิธีคิดเดิมๆที่เกิดขึ้นและเป็นตามกันมาอย่างน่าสนใจ การปลดปล่อยพลังตามหัวใจในเพลง “Let It Go” สู่การผจญภัยในดินแดนที่ไม่มีใครรู้อย่าง “Into the Unknown” เป็นการกระทำที่อยู่บนความแตกต่าง คัดง้างต่อสิ่งที่เคยเป็นมา (จากคำสอนของครอบครัว หรือกระทั่งประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่ง) ดังนั้น Frozen 2 ยังคงเป็นหนังที่ตอกย้ำในจุดประสงค์การนำเสนอเนื้อหาเช่นเดิม ทั้งการพูดถึงความหลากหลายในสายตาที่เป็นมิตร และบอกกับผู้ชมว่าบางทีสิ่งต่างๆที่เคยเป็นมา เมื่อถึงวันหนึ่งก็จำเป็นต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง (หนังอธิบายเรื่องนี้ผ่านมุมมองของความไร้เดียงสาได้น่ารักแบบแสบดีๆ การมองว่าทุกสิ่งดูโอเคไม่เป็นอะไรทั้งๆที่ความจริงมันตรงกันข้าม)
Frozen 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ
แม้ว่าความตั้งใจในการนำเสนอเรื่องของประวัติศาสตร์จะน่าสนใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่า Frozen 2 นั้นมีปัญหาหลายๆส่วนอย่างเห็นได้ชัด ภาพรวมของหนังทำให้เรารู้สึกว่ามันคือภาคต่อที่ไม่ได้จำเป็นนัก มันมีฟังก์ชั่นที่ไม่ได้มากไปกว่าการทำให้หายคิดถึงหรือมอบบทเพลงใหม่ๆเสียเท่าไหร่ ซึ่งมาจากหลายๆปัจจัย อาทิ พัฒนาการของตัวละครที่แทบไม่ขยับเขยื้อน การใช้เรื่องราวในภาคแรกมาใช้ประโยชน์จนเกินพอดี รวมไปถึงความไม่พอดีของการนำเสนอที่เหมือนรู้ว่าผู้ชมชอบอะไรบ้างจาก Frozen แรกแต่กลับเอามาใช้เยอะไปจนเสียสมดุลไปพอสมควร โดยเฉพาะฉากมิวสิคัล แม้จะอัดแน่นไปด้วยเพลงอันหลากหลายมากมาย แต่กลับไม่มีโมเมนต์ไหนที่พิเศษได้ในแบบที่ Let It Go เคยทำไว้ มันกลายเป็นเรื่องราวที่บทภาพยนตร์พยายามจะหาพื้นที่ให้เกิดการร้องเพลงอยู่ตลอด การร้องเพลงในหนังจึงไม่ได้ทำงานในการฐานะการปลดเปลื้องความรู้สึกนัก หากแต่เป็นเหมือนการแสดงโชว์ขนาดย่อมที่ทุกคนแข่งกันโดดเด่นน่าสนใจตลอดเวลา
Frozen 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ
สิ่งที่ทำให้การผจญภัยครั้งนี้ยังพอไปต่อได้เรื่อยๆอยู่บ้างคือเคมีของตัวละครที่ยังคงโดดเด่นเป็นสีสันเช่นเคย พวกเขามีพื้นที่ในการปล่อยมุก แย่งซีน ประชันความโดดเด่นกันมากขึ้น ถี่ขึ้น อย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะ โอลาฟ ที่แม้ภาคนี้จะมีความเยอะมากๆแต่ก็ต้องยอมในความน่ารักของมันจริงๆ เช่นเดียวกับตัวละครอื่นที่ผู้สร้างพยายามหาเหลี่ยมมาเล่นมาขยี้ให้เกิดมิติใหม่ๆ (ซึ่งไม่ได้สำคัญอะไรนัก แต่อย่างน้อยเพลง Lost in the Woods ของ คริสตอฟฟ์ ก็โดนใจเรามากๆจนกลับบ้านมานั่งเปิดฟังรัวๆ อยากให้มันเป็นแบบนี้ทั้งเรื่อง 555)
Frozen 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ
Frozen 2 ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นภาคเสริมจากภาคแรกเสียมากกว่า การสานต่อเรื่องราว เอลซ่า อันนา และคนอื่นๆไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสำคัญอะไรมากไปกว่าการเพิ่มเติมส่วนที่ขาดหายเล็กน้อย แน่นอนว่าภาพยนตร์ยังคงอุดมไปด้วยความน่ารักและเคมีที่สนุกของเหล่าตัวละครที่คุ้นเคย พร้อมกับบทเพลงที่ยังคงเป็นจุดเด่น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมี “แค่นี้” ของมันเพียงพอต่อการเป็นภาคต่อหรือไม่เมื่อยิ่งดูก็ยิ่งพบว่าหลายๆสิ่งที่ถูก(พยายาม)ทำให้มีเรื่องมีราวมันก็ไม่ค่อยเวิร์คนักเมื่อสุดท้ายปลายทางของทั้งหมดมันไม่ได้มอบความรู้สึกเปลี่ยนแปลงดั่งที่หนังตั้งใจเท่าไหร่
Frozen 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ
เสียงเรียกร้องที่เชื้อเชิญให้ เอลซ่า กลับไปอาจจะไม่ต่างจากความพยายามของหนังที่ต้องการดึงผู้ชมเดินทางไปสู่พื้นที่ที่ไม่มีใครรู้ แรกเริ่มมันเต็มไปด้วยปริศนาและความลึกลับน่าสนใจแต่ผลลัพธ์กลับทำได้เพียงเติมเต็มความคิดถึงเดิมที่มีอยู่แล้วให้เต็มอิ่มขึ้นก็เท่านั้น มันคือเรื่องราวการเติบโตที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่ภาคแรกเคยทำไว้ได้สำเร็จมากพอสมควรจนรู้สึกเสียดาย
Frozen 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ
Frozen 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ
Frozen 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ เข้าฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :
TrueID | 8 หนังฟีลกู๊ดเติมพลังชีวิตรับวันหยุดยาว
รีวิว Doctor Sleep เมื่ออดีตคุกคามให้เราต้องก้าวข้ามไป by Kanin the movie
----------------------------------------------------