Movie Full ReviewThe Call : สายตรงต่ออดีต (2020)ระทึกแทบลืมหายใจ ซับซ้อนแต่ดูง่าย ด้วยการแสดงชั้นยอดและบทชั้นเยี่ยมไม่สปอยล์เมื่อแรกเริ่มที่หนังเกาหลีมาบุกตลาดบ้านเราผ่านทางค่าย "นนทนันนท์เอนเตอร์เทนเม้นท์" ในตำนาน สิ่งที่ยังมองเห็นในงานจากเกาหลียุคบุกเบิกคือกลิ่นอายของงานทางญี่ปุ่นในเรื่องของพล็อต สไตล์และบท ในขณะเดียวกันก็ยังมีความบันเทิงฉาบฉวยจากทางฮ่องกงที่มีอิทธิพลในตลาดหนังเอเชียอยู่ แต่พอนานเข้าเริ่มเห็นพัฒนาการงานจากเกาหลีที่ไปไกลกว่าทั้งญี่ปุ่นและฮ่องกง ทางญี่ปุ่นนั้นยังไงก็ยังมีความเป็นญี่ปุ่นไม่เสื่อมคลายด้วยเอกลักษณ์ที่มีที่ผ่านมากี่ปีก็ยังคงมีความเยี่ยมในตัวตามแบบฉบับ สำหรับทางฮ่องกงซึ่งปัจจุบันรวมกับจีนเข้าไปด้วยก็เห็นพัฒนาการในทางที่ดีเพราะหนังจากฮ่องกงหรือจีนเริ่มที่จะมีบทภาพยนตร์ที่ดีเป็นตัวนำจึงได้สัมผัสงานที่มีความละมุนลุ่มลึกขึ้น แต่ที่เป็นตลกร้ายคือระยะหลังคืองานจากทางฮ่องกงหรือจีนชักจะมีกลิ่นเกาหลีเข้ามาปน หนำซ้ำบางเรื่องถ้าลองเปลี่ยนเป็นเสียงเกาหลีก็คงเข้าใจผิดกันได้เข้าไปเสียนั่นกลับกันงานจากทางเกาหลีที่เริ่มเป็นอินเตอร์มากขึ้นหลากหลายขึ้นแต่ก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์เรื่องความพลิกผันยากจะคาดเดา จนกระทั่งงานจากเกาหลีได้มีบทบาทในเวทีโลกและพิสูจน์ว่างานด้านบทภาพยนตร์นั้นมีความสำคัญเพียงใด ที่ร่ายยาวมาขนาดดูไปบ่นไปกำลังจะสื่อว่างานหนังสไตล์เกาหลีเริ่มมีความดูง่ายขึ้นผิดจากเมื่อก่อนที่มักจะต้องดูการปูเรื่องที่แน่นแต่นานจนหมดความอดทน แต่หลังๆมาการพัฒนาที่ว่าทำให้หนังเกาหลีบางเรื่องมีความแข็งแรงทางด้านบทแล้วเดินเรื่องตามนั้นอย่างเคร่งครัด ประกอบกับสไตล์และการแสดงที่มาตรฐานสูงจึงได้สัมผัสงานที่ตรึงอารมณ์ได้ตั้งแต่แรกเริ่ม เช่นเดียวกับหนังเรื่องนี้ที่ความจริงพล็อตแบบนี้มีให้เห็นกันบ่อยแต่รายละเอียดข้างในและชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่เรียกว่า "เหนือชั้น" ทำให้หนังเป็นความระทึกแทบทุกนาที The Callเรื่องย่อซอยอน (พัคชินฮเย) ต้องกลับบ้านเพื่อมาดูแลแม่ที่ป่วยแต่บ้านที่เคยอยู่นั้นไม่เหมือนเดิมแล้ว หนังใช้เวลาไม่นานเฉลยว่าซอยอนมีปัญหากับแม่กับความสูญเสียพ่อเมื่อครั้งอดีต ขณะที่ซอยอนกำลังใช้ความคิดเงียบๆอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นและปลายสายก็เหมือนจะโทรมาผิด แต่เสียงโทรศัพท์นั้นก็ดังขึ้นบ่อยครั้งจนกระทั่งซอยอนทราบว่าปลายสายนั้นคือโทรศัพท์เครื่องเดียวกับที่เธอใช้และอยู่บ้านหลังเดียวกันแต่คนละเวลา ปลายสายนั้นเหมือนกับเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังถูกทำร้ายแล้วเมื่อการคุยโทรศัพท์ข้ามเวลาบ่อยครั้งเข้าซอยอนจึงทราบว่าปลายสายนั้นคือโอยองซุก (จอนจองซอ) ที่เหมือนกับต้องทุกข์ทรมานกับการต้องอาศัยอยู่กับแม่เลี้ยง เมื่อยุคที่ซอยอนอยู่คือยุคที่ค้นหาอดีตได้เพียงลัดนิ้วมือยองซุกจึงเสนอตัวไปช่วยชีวิตพ่อของซอยอนและเธอก็เปลี่ยนอดีตได้ในส่วนของซอยอนแต่ในส่วนของยองซุกยังต้องทนทรมานกับการต้องอยู่กับแม่เลี้ยงที่เป็นหมอผีร่างทรง กระทั่งซอยอนพบว่ายองซุกถูกฆ่าโดยแม่เลี้ยงซอยอนจึงสื่อสารให้ยองซุกเอาตัวรอดเพื่อตอบแทนและนั่นคือความผิดพลาดเมื่อยองซุกคือคนจิตไม่ปกติและเรื่องสะพรึงก็ตามมาเมื่อยองซุกกลายมาเป็นฆาตกรต่อเนื่อง แล้วเรื่องของซอยอนและยองซุกก็มาทาบทับกันเมื่อพ่อของซอยอนคือคนที่จะซื้อบ้านหลังที่ยองซุกอยู่ อันตรายจึงค่อยๆคืบคลานหาคนที่ซอยอนรักในอดีตโดยที่เธอไม่สามารถทำอะไรได้เพราะเธออยู่ในปัจจุบันซอยอนจึงทำได้แค่มองดูปัจจุบันที่เธออยู่เปลี่ยนไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้ และเมื่อความตายมันมาประชิดตัวแล้วเธอที่อยู่ในปัจจุบันจะแก้ไขอดีตได้ยังไงพล็อตที่ซ้ำและช้ำแต่ชั้นเชิงที่เหนือทำให้ออกมาล้ำพล็อตการติดต่อกันข้ามเวลาหรืออดีตที่ส่งผลกับปัจจุบันนั้นเป็นพล็อตที่ค่อนข้างช้ำเห็นมานักต่อนักทั้งในงานหนังและซีรีส์ แต่รายละเอียดต่างหากที่จะเป็นตัวตัดสินและสำหรับบทภาพยนตร์ของเรื่องนี้ต้องบอกว่าอีชองฮยอน (ที่รับหน้าที่ทั้งเขียนบทและกำกับ) ทำเรื่องที่น่าจะซับซ้อนในเรื่องของห้วงเวลาให้ออกมาดูง่ายเหมือนขนมฉีกซองกินได้ไม่ต้องคิดตามก็เข้าใจ ที่สำคัญในบทที่ดูธรรมดาทั้งที่ซับซ้อนนั้นมองไม่เห็นความขัดแย้งใดที่จะมาหักล้างความเป็นแฟนตาซีในเรื่องได้แม้ว่าคนดูจะพยายามมองหาก็ตาม ส่วนหนึ่งคงต้องยกย่องการเล่าเรื่องตามเจตนาของบทที่ตั้งไว้อย่างเคร่งครัดจึงทำให้คนดูรู้สึกระทึกและตื่นตัวตั้งแต่ต้นจนจบ กระนั้นบนความดูง่ายก็มีรายละเอียดภายในที่ใส่ความพลิกผันมาหลายครั้งที่มาถูกเวลาและมีผลกับน้ำหนักของเรื่องและแน่นอนว่ากระชากใจคนดูให้อึ้งได้มากน้อยตามแต่ปมด้วยบทที่ง่ายแต่ยังมีความเป็นเกาหลีที่ยังคงชี้นำให้คิดและคาดเดา แต่ไม่ว่ายังไงคนดูก็จะไปสู่จุดที่อับจนหนทางเช่นเดียวกับตัวละครแล้วลงท้ายด้วยการหักมุมแบบที่ไม่มีทางเดาออกเพราะบทแน่นไม่มีริ้วรอยให้จับได้ อีกส่วนของบทที่ทำได้ดีคือพัฒนาการของตัวละครที่แรกเริ่มคนดูจะรู้สึกอีกอย่างก่อนที่จะเจอจุดเปลี่ยนแล้วกลายเป็นรู้สึกอีกอย่างแบบน่าเชื่อถือ ทั้งนี้ถ้าเพราะบทหนังที่มีคือความหนักแน่นชั้นเชิงการเล่าเรื่องก็ช่วยได้มากเพราะเล่นกับอารมณ์อย่างหนักทั้งที่เป็นชั้นเชิงง่ายๆที่ใครๆก็ใช้แบบ Jump Scare ที่ถ้าถูกจังหวะเวลาก็จะได้ผลเสมอ เช่นกับที่เสียงโทรศัพท์ดังทั้งตัวละครและตัวคนดูสะดุ้งไปด้วยกันทุกครั้งและยิ่งหัวใจจะวายเมื่อหนังเล่าไปถึงช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายด้วยความระทึก จึงเป็นความดีความชอบของบทและชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่ทำให้คนดูลุ้นจนเหงื่อไหลอนึ่ง ต้องสารภาพว่าโดยธรรมชาติของผู้เขียนแล้วเมื่อดูก็พยายามจับพิรุธหาที่จับผิดแล้ว แต่ก็ยอมรับว่าหาไม่เจออาจเพราะตัวบทที่แน่นหนาไม่มีหลุดไม่มีทิ้งประเด็นส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งคือหนังจัดการอารมณ์คนดูได้เบ็ดเสร็จคือถูกอารมณ์พาไปยังจุดที่อับจนหนทางแล้วลุ้นไปกับเหตุการณ์ตรงหน้าว่าซอยอนจะหาทางออกยังไง ชั้นเชิงก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญแต่ที่สำคัญไม่แพ้กันคืองานด้านภาพและแสงที่ไม่ค่อยได้เจอแสงสว่างกับบรรยากาศในบ้านที่ดูไม่น่าไว้วางใจและชวนอึดอัด และแม้จะดึงอารมณ์คนดูได้ดีที่สุดหนังยังชี้ให้เห็นถึงที่มาของปีศาจที่เป็นฆาตกรที่เป็นคนเปลี่ยวเหงา การต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับแม่เลี้ยงใจมารที่ปฏิบัติกับลูกเลี้ยงเหมือนไม่ใช่คนซึ่งในชีวิตจริงมันก็มีคนแบบนี้ที่ดีกับคนข้างนอกแต่ร้ายกับคนใกล้ตัว ความทนทุกข์ที่ไม่ต่างจากการถูกขังแล้วเมื่อมีคนมาคุยมาเป็นเพื่อนโดยที่ไม่เห็นหน้ากันก็คือหยดน้ำในทะเลทรายแต่วันหนึ่งเมื่อเพื่อนได้สิ่งที่ต้องการแล้วเปลี่ยนไปไม่เหมือนเก่าสิ่งที่เก็บกดอยู่ข้างในจึงระเบิดไม่ต่างจากการปลุกปีศาจร้าย ก็ใช่ที่การที่เราถูกกระทำเราก็ไม่มีสิทธิ์ไปกระทำกับคนอื่นแต่ในที่นี้ผู้ถูกกระทำคือคนป่วยที่ต้องได้รับการรักษา แต่โชคร้ายที่เธอต้องมาอยู่กับไสยศาสตร์จึงกลายเป็นเรื่องเลวร้ายที่ตามมาอย่างหมดทางเลี่ยง นั่นเป็นเพราะสถาบันครอบครัวที่ต่างกันระหว่างคนสองคนเมื่อคนหนึ่งเห็นว่าว่าอีกคนมีในสิ่งที่ตัวเองไม่มี จนกลายเป็นความริษยาในใจมาประกอบกับความรู้สึกเหมือนถูกทิ้งและไม่ได้รับความสำคัญปีศาจร้ายที่ถูกขังจึงหลุดออกมาและอยู่เหนือการควบคุม สิ่งนั้นคือพัฒนาการด้านบทที่เป็นมิติเชิงลึกในตัวฆาตกรต่อเนื่องเพราะน้อยครั้งที่ตัวละครแนวนี้จะมีมิติได้ขนาดนี้เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการซ่อนตัวฆาตกรแล้วหลอกล่อกับคนดู แต่กับเรื่องนี้คือเปิดหน้าแล้วใส่มิติลงไปแล้วเอาล่อเอาเถิดกับอารมณ์คนดูทำให้ผลที่ออกมา "เยี่ยม"ไม่บ่อยที่จะมีใครขโมยความเด่นและสายตาคนดูไปจาก "พัคชินฮเย" ได้แต่ "จอนจองซอ" ทำได้หนังแนวระทึกขวัญฆาตกรต่อเนื่องโรคจิตขายความระทึกแบบนี้แถมด้วยความพลิกผันขนาดนี้ นอกจากบทที่ต้องเป๊ะทุกกระเบียดแล้วหนังจะไปไม่ถึงจุดสุดยอดได้ถ้านักแสดงไม่สามารถถ่ายทอดบทบาทของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งผู้เขียนก็บ่นมาหลายครั้งแล้วว่าการแสดงของนักแสดงเกาหลีนั้นมีมาตรฐานสูงและมันคือส่วนสนับสนุนความน่าเชื่อถือในด้านตัวละครและยกระดับหนังให้สูงขึ้น เช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่สายตาหลายคนอาจจับจ้องไปที่พัคชินฮเยแต่ผู้เขียนกลับมองว่าจอนจองซอคือผู้เล่นทรงคุณค่า ไม่ใช่ว่าพัคชินฮเยแสดงไม่ได้หรือไม่ดีกลับกันเธอให้การแสดงที่สมบูรณ์แบบแล้วในส่วนของเธอ การแสดงของเธอคือได้ใจคนดูแน่นอนเพราะคนดูพร้อมจะเอาใจช่วยและลุ้นไปกับเธอเจ็บไปกับเธอ การแสดงผ่านสีหน้าแววตาของพัคชินฮเยนั้นสุดจัดแล้วไม่เชื่อลองนึกดูฉากที่นั่งนิ่งๆรอเสียงโทรศัพท์ด้วยสายตาสับสนกระวนกระวายแต่แววตาไร้ซึ่งความหวังในตอนท้ายดูมันสมบูรณ์แบบอย่างที่สุดแล้วสำหรับบทคนที่เป็นเหยื่อซึ่งสำหรับพัคชินฮเยยังคงเปี่ยมไปด้วยพลังดาราและราศีซูเปอร์สตาร์จนล้นเพียงแต่มิติของบทมันมีเพียงเท่านั้น สิ่งที่ผู้เขียนมองว่าจอนจองซอคือส่วนที่ดีที่สุดนั้นเป็นเพราะบทของเธอมีมิติลึกกว่ามีอะไรให้เล่นมากกว่า จากความสงสารของคนดูตอนที่เริ่มรู้จักเธอจนกลายเป็นปีศาจฆาตกรโรคจิตจอนจองซอสามารถเปลี่ยนผ่านอารมณ์อย่างมีพัฒนาการน่าเชื่อถือ การแสดงผ่านสีหน้าแววตาอยู่ในระดับที่ต้องยืนปรบมือคิดง่ายๆแค่สบตากับเธอแล้วรู้สึกเสียวสันหลังสัมผัสพลังอำมหิตได้ นั่นคือสิ่งที่การแสดงของจอนจองซอมอบให้ ถ้านั่นยังไม่พอการปะทะกันในเรื่องระหว่างพัคชินฮเยและจอนจองซอคือการเฉือนกันแบบกินกันไม่ลง ตบท้ายด้วยนักแสดงสมทบในระดับสุดยอดและแสดงได้อย่างถึงฟอร์มทุกคนอย่างโอจองเซหรืออีเอลในบทแม่เลี้ยง หรือกระทั่งพัคโฮชานเรียกได้ว่าแสดงดีแม้กระทั่งต้นไม้ใบหญ้าเพราะฉากและภาพยังมีผลกับอารมณ์และมันให้หนังเรื่องนี้เป็นที่น่าจดจำนี่คือหนังที่เล่นกับอารมณ์คนดูอย่างอยู่หมัด กระทั่งผู้เขียนเองดูแบบพยายามสังเกตหาริ้วรอยในหนังแล้วแต่ก็ยังหาไม่เจอ นั่นอาจเป็นเพราะการถูกหนังดึงอารมณ์ให้มีส่วนร่วมกับชะตากรรมของคนสองคนที่อยู่ในหนัง เพราะไม่ใช่แค่ฝั่งเหยื่อแต่กลับกลายเป็นมีอะไรบางอย่างในฝั่งฆาตกรที่สะกิดในใจลึกๆ นั่นหมายความว่างานด้านบทเล่นกับอารมณ์คนดูแบบเอาล่อเอาเถิดชนิดที่คงเรียกได้ว่าการดูหนังเรื่องนี้ถูกอารมณ์และความรู้สึกพาไปตามที่หนังต้องการแบบนั้น เพราะหนังไม่ได้มีฉากใหญ่ๆอะไรมากมายนักแสดงก็ไม่กี่คน แต่การที่หนังมีบทภาพยนตร์ที่แข็งแรงชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่ดูเหมือนง่ายไม่ซับซ้อนแต่เข้าถึงและได้ผล งานด้านภาพและบรรยากาศที่น่าสะพรึงและการแสดงที่อยู่ในระดับที่สูงทำให้หนังออกมาแกร่งทั่วแผ่นจนระทึกลุ้นแทบทุกนาทีตั้งแต่ต้นกระนั้นหนังยังมีความพลิกผันไปมาเดาทางยากตามสไตล์เกาหลีพร้อมการหลอกล่อที่ถูกจังหวะเวลา ถ้านั่นยังไม่พอครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของหนังคือความระทึกและลุ้นจนแทบลืมหายใจจนกระทั่งเมื่อหนังจบเผลอปาดเหงื่อไปด้วยส่วนบทสรุปสุดท้ายจะเป็นยังไงให้ไปพิสูจน์เอง และนี่คือหนังที่ทรงพลังตั้งแต่ต้นหนังมอบความสนุกและคุ้มค่าตามหน้าที่ที่หนังแนวนี้พึงมี ถ้าจะมีอะไรให้ตินิดหน่อยคงเป็นการที่หนังขมึงตึงและเดินหน้าอย่างเดียวไม่มีผ่อนให้ผู้ชมได้พักถอนหายใจบ้าง แต่นั่นคือเจตนารมณ์ที่หนังตั้งไว้และเมื่อทำได้ถึงขนาดที่คนดูอึดอัดแทบกลั้นหายใจตลอดเวลานั่นคือหนังทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว และคงต้องบอกว่านี่คือหนังที่ดีที่สุดเท่าที่ดูมาสำหรับหนังแนวนี้เรื่องหนึ่งเลยที่ต้องแนะนำว่าต้องดูเท่านั้นเพราะคุ้มค่าทุกนาทีจริงๆ ดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก จาก netflix.comภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที 7 จาก Facebook NEW หมายเหตุ ผู้เขียน "ดูไปบ่นไป" คือบุคคลเดียวกับ Facebook Fanpage ดูไปบ่นไป บทความหนังเกาหลีที่มีเนื้อหาคล้ายกันโดย "ดูไปบ่นไป"ความเห็นหลังชม Recalled : ระลึกหลอน (2021) ลุ้นระทึก พลิกผัน ชวนสงสัย ที่ "ซอเยจี" แบกเรื่องไว้สุดกำลังรีวิวหลังชม The Hypnosis : สั่งจิตสยอง (2021) "หลอน สยอง อึดอัด แต่ชวนติดตาม" ใหม่ทาง TrueID ที่เดียว บทความผลงานใหม่ของ "จอนจองซอ" โดย "ดูไปบ่นไป"ความเห็นหลังชม Money Heist: Korea – Joint Economic Area (2022) มีทุกอย่างที่ซีรีส์โจรกรรมชั้นดีพึงมี ยกเว้นความเป็นเกาหลีคอมมูนิตี้โลกคนรักหนัง ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน