Series ReviewIC 814: The Kandahar Hijack IC 814: จี้เที่ยวบินกันดาฮาร์ (2024)เข้มข้นขึงขังตามแบบของการเอาเรื่องจริงมาเล่าให้เป็นความบันเทิงที่ทำได้ถึงใจแม้ว่าถ้ากดดันได้มากกว่านี้อาจจะเยี่ยมไปเลยถ้าถามว่าผู้เขียนดูหนังอินเดียมานานแค่ไหนคงต้องบอกว่านานมากตั้งแต่เด็กๆยุคโทรทัศน์ขาวดำที่ต้องไปนั่งดูที่บ้านของคนรวยในหมู่บ้านเป็นหมู่คณะ ที่จำได้ลางๆคือส่วนใหญ่จะเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่สถานีโทรทัศน์ที่สมัยนั้นยังมีเวลาปิดเปิดสถานีจะมีรายการพิเศษให้ดูทั้งวัน ทำให้ชาวบ้านไกลปืนเที่ยงอย่างครอบครัวผู้เขียนได้มีโอกาสนั่งดูโทรทัศน์กันทั้งวันรวมถึงคนอื่นๆที่ยังไม่มีปัญญาหาซื้อโทรทัศน์ที่เวลานั้นเป็นของที่ไกลเกินเอื้อม และรายการขวัญใจชาวบ้านก็เป็นหนังอินเดียนี่เลยประมาณร้องเพลงจีบกันโกรธกันงอนกันข้ามภูเขาเป็นลูกๆโชว์การเต้นพุงกระเพื่อมแต่มันมีเสน่ห์ จนปัจจุบันหนังอินเดียพัฒนามาไกลจากจุดนั้นมากที่ผู้เขียนยังดูอยู่เรื่อยๆถ้ามีงานที่น่าสนใจเพราะปัจจุบันค่อนข้างหาดูง่ายจากระบบสตรีมมิ่ง แล้วเหมือนเป็นความบังเอิญที่ช่วงนี้กระแสหนังอินเดียในบ้านเรากำลังมาแรงแล้วคอนเทนต์ที่น่าสนใจก็มามาก เช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่มาเป็นซีรีส์ที่ความยาวพอสมควรแต่น่าสนใจเพราะนี่คือการสร้างจากเหตุการณ์จริงเดือนธันวาคมปี 1999 เครื่องบินสายการบินอินเดียแอร์ไลน์เที่ยวบิน IC 814 กำลังต้อนรับผู้โดยสารจากกรุงกาฐมาณฑุประเทศเนปาลเพื่อบินสู่กรุงเดลีประเทศอินเดีย แต่ขณะนั้นสายลับจากสถานทูตอินเดียในกาฐมาณฑุรู้ระแคะระคายบางอย่างว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลขึ้นไปบนเครื่องบินเที่ยวบินนี้เขาจึงแจ้งทางสายการบินและต้นสังกัด ทว่ากลับไม่มีใครสนใจจนเครื่องเหินฟ้าแล้วปรากฎว่ามีผู้ก่อการร้ายจำนวนหนึ่งที่ซุกซ่อนอาวุธไว้ตามที่สายลับรู้มาจริงๆได้จี้เครื่องบินพร้อมผู้โดยสารไว้กลางเวหา แต่พวกผู้ก่อการร้ายก็ไม่ได้ยื่นข้อเสนอใดๆเพียงแค่มีจุดหมายที่ต้องไปแต่น้ำมันที่เติมไว้ไม่พอจึงต้องเปลี่ยนที่หมายไปเรื่อยๆโดยที่ทางภาคพื้นฝ่ายเจ้าหน้าที่อินเดียก็พยายามสืบหาแรงจูงใจและแก้สถานการณ์แต่ก็ล่าช้า จนกระทั่งเครื่องบินเที่ยวบินนี้ต้องลงจอดที่กันดาฮาร์ประเทศอัฟกานิสถานที่มั่นของตาลีบัน การเจรจาจึงต้องเกิดขึ้นที่นี่ดินแดนที่อินเดียไม่เคยยอมรับรัฐบาลตาลีบันแต่ต้องจำยอมเพราะมีชีวิตของประชาชนแขวนอยู่เล่าเรื่องด้วยรายละเอียดที่ค่อนข้างเยอะมากคนมากฝ่ายทำให้กระจัดกระจายหลอมรวมกันไม่ได้แต่มีทิศทางไปที่แข็งแรง นี่คือซีรีส์จำนวนหกตอนที่เต็มไปด้วยรายละเอียดปลีกย่อยชนิดที่มองข้ามไม่ได้แม้แต่ตัวอักษรเดียวมิฉะนั้นตามไม่ทันแน่นอน ด้วยความที่มีเรื่องให้เล่าเยอะเพราะออกตัวมาเลยว่าสร้างจากเหตุการณ์จริงแม้จะอ้างอิงจากหนังสือ Flight Into Fear โดย Devi Sharan และ Srinjoy Chowdhury ก็ตาม ซึ่งด้วยความที่เหตุการณ์ที่เล่าเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติที่มีผู้ที่เกี่ยวข้องมากมายทั้งฝ่ายการเมืองฝ่ายประชนชนผู้โดยสารบนเครื่องรวมถึงพวกผู้ก่อการร้ายและสื่อมวลชน ทำให้มีอะไรให้เล่ามากมายเหลือเกินที่เหมือนเสียดายตัดอันไหนทิ้งก็ไม่ได้จำเป็นต้องใส่มาอย่างละนิดละหน่อยทำให้เหมือนเล่านู่นนิดนี่หน่อยจนกระจัดกระจายหลอมรวมกันไม่ได้ ง่ายๆคือเรื่องที่เล่าเหมือนไม่มี Impact ต่อเรื่องราวอย่างเป็นรูปธรรมเช่นกรณีของข่าวจนกลายเป็นว่าบางเรื่องไม่เล่าก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรหรือเหมือนกับไม่เน้นไปทางไหนสักทางไปเลย แต่อย่างน้อยเรื่องยังมีที่จะไปชัดเจนและมีเป้าประสงค์ชัดเจนว่าจะมาเล่นกับอารมณ์คนดูแบบไหนในการช่วยเหลือตัวประกันเอาเรื่องจริงมาเล่าได้บันเทิงแม้ว่าความกระจัดกระจายทำให้ขาดความกดดันแต่ก็ใส่ความระทึกถึงใจมาได้เรื่อยๆ แต่เพราะนี่คือการเอาเรื่องจริงมาเล่าให้บันเทิงจึงต้องสร้างอารมณ์ร่วมให้ได้ที่น่าเสียดายที่ความเสียดายทำให้การเล่าเรื่องกระจัดกระจายทำให้เหมือนไม่โฟกัสไปทางใดทางหนึ่ง ซึ่งถ้าว่ากันที่ความบันเทิงเรื่องนี้ยังทำได้ถึงใจเพราะมีความลุ้นระทึกเข้ามาเรื่อยๆและความสงสัยว่าเรื่องจะไปสิ้นสุดลงตรงไหนอันนี้ว่ากันที่ผู้เขียนไม่ได้ศึกษาข้อมูลเหตุการณ์มาก่อน นั่นคือต่อให้เป็นเรื่องจริงที่รู้ว่าเรื่องไม่น่าจะบานปลายไปไกลจนเป็นโศกนาฏกรรมเพราะไม่งั้นคงดังกระฉ่อนจนคนรู้กันทั้งโลกแน่นอนแต่แรงดึงดูดยังมากพอ แค่ว่าถ้าใส่ความกดดันมาได้มากกว่านี้หรือโฟกัสไปเลยที่ทางใดทางหนึ่งชัดๆเช่นจะว่ากันที่ความเข้มข้นในการคลี่คลายสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนทางการเมืองหรือการเจรจาต่อรองที่ทุกวาจาคือความสุ่มเลี่ยง หรือจะไปทางความกดดันในส่วนของสภาพของผู้โดยสารที่ต้องอยู่ในภาวะนั้นเป็นสัปดาห์ก็น่าจะสร้างความอึดอัดได้แล้วความระทึกเร้าใจอาจเพิ่มขึ้นอีกโข แต่ก็เอาเถอะเท่านี้ก็นับว่ามีความสนุกพอตัวแม้ว่าถ้าได้อย่างที่ควรได้อาจกลายเป็นความยอดเยี่ยมมากคนมากความเยอะด้วยตัวละครทำให้ไม่มีใครเด่นเกินหน้าใครไม่ต่างจากการแสดงในงานสารคดี ด้วยความที่เรื่องนี้มีตัวละครที่มีตัวตนจริงจึงมีการใส่วีดีโอฟุตเทจเหตุการณ์จริงเข้ามาทำให้ในบางจังหวะเวลาอารมณ์ก็คล้ายดูงานสารคดี แล้วด้วยความที่เล่าหลายเรื่องหลายทางมากคนก็มากความแล้วมาคนละนิดละหน่อยความโดดเด่นในการแสดงจึงไม่มา ซึ่งเอาจริงคือดูจบไปหกตอนยังจำตัวละครไม่หมดด้วยซ้ำเพราะการเล่าเรื่องที่ปลีกย่อยเกินไปทำให้โฟกัสมันไม่ได้การแสดงจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าจดจำของเหล่านักแสดงที่คงไม่สาธยายว่าใครบ้างเพราะเยอะมาก นั่นหมายความว่าบทพยายามให้ความสำคัญกับผู้คนมากมายซึ่งก็ไม่ผิดอะไรเพราะเหตุการณ์ที่เกิดมันเป็นเรื่องใหญ่แล้วยังไม่พยายามเชิดชูใครเป็นฮีโร่ด้วยซ้ำ ทำให้ต่อให้มีนักแสดงมากหน้ามีเวลาขึ้นจอก็เหมือนเป็นคนจริงๆที่มาในสารคดีมากกว่าเพราะจับต้องเชิงอารมณ์ไม่ได้เลย สุดท้ายกลายเป็นว่าเอาใครมาเล่นก็อาจได้ผลไม่ต่างกันแม้จะมีนักแสดงคุ้นหน้ามากมายไปก็เท่านั้นยังคงสนุกมีความลุ้นระทึกเร้าใจมาได้เรื่อยๆแม้จะเหมือนเรียบเรื่อยไปบ้างแต่ก็ต้องเข้าใจว่านี่คือเรื่องจริงที่ถูกดัดแปลงมา แต่ถ้ามองกันที่ภาพรวมนี่ก็ยังเป็นความบันเทิงชั้นดีที่ยังมีความสนุกได้ลุ้นได้ระทึกในทุกตอนและมีความน่าติดตามไปจนสุดทาง ซึ่งก็น่าแปลกที่ปกติแล้วซีรีส์บางเรื่องจะเล่าอะไรที่ไม่ควรเล่าเพื่อลากยาวเวลาฉายหรือจำนวนตอนแต่เรื่องนี้เรื่องที่หยิบมาเล่ากลับเป็นเรื่องที่คนดูต้องรู้ แล้วด้วยความที่ต้องเข้าใจว่านี่คือการสร้างมาจากเหตุการณ์จริงที่เหตุการณ์บางอย่างก็มีผลกระทบมี Impact ต่อเหตุการณ์แต่กลับเล่าไม่ได้ ซ้ำร้ายบางเรื่องยังเล่ามาแล้วหายบางเรื่องก็เหมือนโกงๆเอาอย่างนักข่าวในตอนท้ายทำให้ในความบันเทิงยังมีรอยแผล แต่ด้วยความที่งานยังออกมาสนุจนสามารถดูได้จนจบแม้ว่าบางช่วงจะดูเหมือนเรียบเรื่อยเพราะความที่นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงก็ตาม จนอดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าเล่าอย่างละเอียดกว่านี้เรื่องจะมี Impact มากกว่านี้หรือจะเรียบเรื่อยไม่มีอะไรให้เล่าจนไม่เหลือแรงดึงดูดกันนะ สุดท้ายแม้จะยังไปไม่ถึงจุดสุดยอดแต่ก็เป็นงานที่ดูสนุกดูเพลินได้ในจำนวนตอนที่ฉายเพียงหกตอนด้วยคุณภาพการสร้างที่ถึงฟอร์มดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4,5,6,7 จาก Instagram netflix_in ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องนี้ https://entertainment.trueid.net/detail/Xp0D5Ayqwkzp จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !