ถือเป็นปรากฎการณ์ใหญ่อีกครั้งในประเทศ ที่ได้เห็นผู้คนตีตั๋วเข้าโรงภาพยนตร์กันเต็มทุกที่นั่ง เพื่อรับชมภาพยนตร์ "ร่างทรง" ที่เป็นกระแสแรง อีกทั้งโด่งดังในเกาหลีใต้ และความพิเศษคือในสถานการณ์ที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดอยู่ในขั้นหนัก แต่ผู้คนก็เลือกที่จะเสี่ยงไปรับชมกัน บ่งบอกถึงความนิยมได้เป็นอย่างดีร่างทรง เป็นเรื่องราวของ "ป้านิ่ม" ที่ทำหน้าที่เป็นร่างทรง "ย่าบาหยัน" สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำท้องถิ่นในจังหวัดเลย อันเป็นหน้าที่ที่สืบทอดต่อกันมาในตระกูลผ่านผู้เป็นเพศหญิง จนกระทั่งเกิดเรื่องลึกลับกับคนในครอบครัว และเริ่มบานปลายเป็นเหตุการณ์ที่เหนือธรรมชาติและไม่อาจคาดเดาได้แต่จะเรียกภาพยนตร์ก็อาจจะเรียกได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่นัก เพราะมันถูกดำเนินเรื่องโดยการเล่าแบบ สารคดี แต่เนื้อหาถูกรังสรรค์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งทำให้ผู้ชมจะได้สัมผัสความรู้สึกสมจริงและความระทึกไปแบบเนียน ๆ*** นับตั้งแต่จุดนี้มีการเปิดเผยเนื้อหา ***ดังที่กล่าวไปในหัวเรื่อง ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเอ่ยถึง ร่างทรง คำว่า ผี ก็จะต้องปรากฎขึ้นมาควบคู่ ต่อให้ไม่ศึกษามาก็ต้องคิดเช่นนั้น เพราะเรื่องลี้ลับสิ่งนี้ได้อยู่คู่กับสังคมชนบทไทยมาเนิ่นนาน และบอกเล่าต่อกันผ่านรุ่นสู่รุ่นเนื้อเรื่องถูกปูพื้นโดยการเล่าเส้นทางการเป็นร่างทรงของ ป้านิ่ม ตัวเอกของเรื่อง และทีมผู้เขียนบทก็ถือว่าทำข้อมูลมาดี ที่ได้ศึกษารายละเอียดต่าง ๆ มาอย่างถี่ถ้วน ในเรื่องของธรรมเนียมการเลือกคนมาสืบทอดวิชาเหนือธรรมชาตินี้ การรักษาโรค พิธีกรรมต่าง ๆ และในตัวหนังก็ช่วยนำเสนอไปอีกว่า ร่างทรงไม่ได้เป็นแค่คนที่ใช้ชีวิตอยู่กับเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนกระทั่งผ่านมาสู่ตัวละครอย่าง น้อย พี่สาวของป้านิ่ม ที่มีความต่อต้านในเรื่องของการสืบทอดเช่นนี้ ถึงขั้นที่ตัวเองต้องบอกว่าเปลี่ยนไปนับถือคริสต์ เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ แต่นั่นก็เป็นประเด็นแฝงไว้ในเนื้อเรื่องที่หลายคนอาจจะไม่ทันได้ฉุกคิด นั่นคือตัวป้าน้อยหันไปนับถือคริสต์ เพียงเพราะไม่ต้องการเป็นร่างทรง เป็นเสมือนว่าไม่ได้มีความเชื่ออะไรที่หนักแน่นในทางคริสต์ ถ้าพูดกันในภาษาบ้าน ๆ ก็คือป้าน้อยเป็นคนที่มีความเชื่ออ่อนแอมาก ๆอีกทั้ง มิ้ง ลูกสาวของป้าน้อยก็เป็นคริสตชนที่มีความเชื่ออ่อนแอ ผ่านการนำเสนอในตอนที่สองแม่ลูกอยู่ในโบสถ์ บาทหลวงกำลังเทศน์ แต่มิ้งกลับเล่นโทรศัพท์ หาได้สนใจในคำสอนเหล่านั้นไม่ และในเรื่องของความเชื่อที่อ่อนแอนี่เอง ก็ทำให้นึกถึงไบเบิลใน หนังสือยากอบ ที่ว่ายากอบ 1:14 แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อลวง เมื่อตัณหาของตนเองชักนำให้กระทำผิด แล้วตัวก็กระทำตามยากอบ 1:15 ครั้นตัณหาเกิดขึ้นแล้ว ก็ทำให้เกิดบาป และเมื่อบาปโตเต็มที่แล้ว ก็นำไปสู่ความตายและเนื้อเรื่องก็เริ่มพาไปสู่เรื่องลี้ลับ ที่ตัวมิ้งเริ่มมีอาการแปลก ๆ พฤติกรรมเริ่มเปลี่ยนไป คล้ายเหมือนผีเข้าสิง แต่ขณะเดียวกัน เรื่องราวเบื้องหลังชีวิตของคนในครอบครัวป้านิ่ม ป้าน้อยและลุงมานิต ก็ค่อย ๆ เผยให้เห็นบาปที่พวกเขากระทำลง ซึ่งแต่ละเรื่องก็ล้วนผิดบัญญัติ 10 ประการของศาสนาคริสต์ อาทิ...- ป้านิ่มพบว่า แม็ค หลานชายไม่ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ แต่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายที่ผิดหวัง เพราะหลงรักและได้เสียกับ มิ้ง ที่เป็นพี่น้องกัน ในภาษาทางอีสานจะเรียกว่า ผิดผี ซึ่งนี่ถือเป็นกากระทำที่ผิดบัญญัติในช่วงโมเสส ที่ถือว่าเป็นการกระทำที่ลบหลู่เกียรติของพระเจ้า- ตอนที่ป้าน้อยตัดสินใจยอมทิ้งความเชื่อพระเจ้า ไปขอขมาหน้ารูปปั้นย่าบาหยันเพื่อหาลูกสาวให้เจอ ป้าน้อยได้ทำบัญญัติสิบประการข้อแรกที่ว่า ห้ามมีพระเจ้าอื่นใด แต่ตอนท้ายเรื่อง ป้าน้อยก็เรียกร้องหาพระเจ้าในตอนที่กำลังจะตาย- ลุงมานิตที่หนีลูกเมีย ไปร้องคาราโอเกะกับเหล่าสาว ๆ รุ่นลูก ลุงมานิตได้กระทำผิดบัญญัติสิบประการข้อ 6 ที่ห้ามผิดประเวณี (ซึ่งรวมถึงการสมสู่กันในครอบครัวของแม็คกับมิ้งด้วย)- ตอนที่ป้านิ่มขึ้นเขาเพื่อไปทำพิธี แต่พบว่ารูปปั้นย่าบาหยันถูกตัดคอขาด ป้านิ่มเสียใจแทบเป็นแทบตาย กรณีนี้ถือเป็นการบูชารูปเคารพ ที่ผิดบัญญัติสิบประการข้อ 2 เรื่องการสร้างรูปเคารพบาปต่าง ๆ ที่ได้กระทำ ก็ได้กลายเป็นสิ่งล่อลวงให้ความเชื่อของคนในครอบครัวอ่อนแอลง และถูกชักจูงโดยผี ปีศาจอย่าง่ายดาย โดยเฉพาะตัวมิ้ง ที่ต้นเรื่องจะเห็นได้จากการที่ตัวเธอโดนปีศาจเข้าสิงแล้ว เธอก็ยิ่งทำตัวให้มันแย่ลงไปผ่านการเมาหยำเป แม้กระทั่งตอนที่ถูกไล่ลงจากรถสองแถว มิ้งก็ไม่เลือกที่จะกลับบ้าน แต่เลือกที่จะนั่งกระดกเบียร์ จนแทบจะกลายเป็นลำยองแห่งเมืองเลยโดยการกระทำต่าง ๆ ของตัวละครนั้น ก็เหมือนจะสื่อให้เห็นภาพกว้างของสังคมชนบทไทยที่มันมีความหลากหลายด้านความเชื่อมากมาย ที่อาจจะทำให้หลายคนตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ซึ่งสะท้อนผ่านตัวป้าน้อย ที่มีความเชื่อแบบผิวเผิน ศรัทธาไม่มั่นคง ซึ่งในตัวเรื่องก็แทบจะนับจำนวนฉากได้ที่ป้าน้อยสวดขอพรจากพระเป็นเจ้า แต่เจ้าตัวกลับเลือกที่จะใช้วิธีทางไสยศาสตร์มาแก้ไขแทน เช่น การไปทำพิธีรับขันธ์แบบผิด ๆ เป็นต้นและในท้ายเรื่องที่ทำพิธีขับไล่โดยหมอผีสันติ มีฉากหนึ่งที่เหมือนจิกกัดความเชื่อของคนไทย คือตอนที่ป้านิ่มกับป้าน้อยพามิ้งไปยังสำนัก ก็ได้พบเจอคนทรงจำนวนหนึ่งที่กำลังของขึ้น มีองค์ลงประทับ สั่นกันเป็นเจ้าเข้า และขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวมิ้งที่ถูกผีสิงแล้ว ก็ยิ้มออกมาอย่างเยาะเย้ย คล้ายจะสื่อถึงการกระทำอันไร้สาระของผู้คนในตำหนัก ก่อนที่ตัวเรื่องจะเฉลยไปแบบเนียน ๆ ผ่านประโยคของป้านิ้มที่บอกกับหมอผีสันติว่า “ยังทำพิธีบ้าบอนี้อยู่อีกหรอ?” และคำตอบก็ลงเอยว่าหมอสันติ ก็ต้องทำเพื่อปากท้องผ่านความเชื่ออันผิดเพี้ยนของผู้คนและในตอนท้ายที่เริ่มเฉลยเนื้อเรื่องปมตั้งแต่ตนเรื่องออกมา ถึงความชั่วร้ายในอดีตของตระกูล ที่ถูกคำสาปส่งต่อมาถึงรุ่นลูก และดูจะมีแนวโน้มที่จะจบลงอย่างสวยงาม แต่ในที่สุดก็มีการตบหัวผู้ชมให้รู้สึกหงุดหงิด แฝงความคิดว่า ถ้าเราถูกปีศาจหลอกลวง เราจะยอมเชื่อมันหรือว่าจะยอมอดกลั้นเพื่อเอาชนะความชั่วร้ายให้ได้ฉากความศรัทธาในตอนใกล้จบที่คล้ายจะสื่อว่า กว่าคนเราจะเชื่อมั่นในสิ่งที่ศรัทธา ก็ตอนที่ใกล้ตาย ถือว่าเป็นฉากที่อาจจะทำให้ผู้ชมที่รู้จักก็เข้าใจ หากไม่ก็อาจจะต้องวนอยู่ในเขาวงกตแห่งความงุนงงต่อไปร่างทรง จึงไม่ใช่แค่หนังผีที่นำเสนอแค่ความหลอนระทึกเพื่อให้เกิดความบันเทิง แต่ยังแทรกเรื่องของธรรมเนียม วิถีชีวิต และความเชื่อในศาสนาอื่นแทรกเข้ามาในเรื่องได้อย่างแนบเนียน และเครดิตของผู้กำกับชาวเกาหลีใต้อย่าง นา ฮงจิน จากเรื่อง The Wailing (ฆาตกรรมอำปีศาจ) ที่ได้เข้ามาควบคุมการสร้างเรื่องนี้ และยังได้ใส่เทคนิคการเล่าเรื่องในแบบเฉพาะตัวลงไป ในเรื่องของปริศนาความซับซ้อน ที่ชวนให้ผู้ชมได้ร่วมค้นหาไปด้วย แต่กระนั้น ด้วยการเล่าเรื่องที่เป็นแบบสารคดี อาจจะทำให้ไม่ถูกใจกับบางคน ที่ไม่ชอบการดำเนินเรื่องในลักษณะนี้ แต่อย่างไรแล้ว ร่างทรง ก็ถือเป็นภาพยนตร์ที่ไม่ได้มีแค่ความระทึกชวนหลอน แต่ยังมีเรื่องราวเนื้อที่น่าศึกษาให้ชวนค้นหาและตีความ ผ่านวิถีชีวิตในชนบทไทยข้อมูลเสริมศิลปวัฒนะรรม - “ร่างทรง” คือคนที่มักมีปัญหาชีวิตThe 101 World - ความรู้รอบผัว EP. 6 – ร่างทรงรูปภาพจาก : GDH599