Movie Full ReviewBe With You : ปาฏิหาริย์ สัญญารัก ฤดูฝน (2018)งานรีเมคที่มีดีในตัว คงความรู้สึกของเดิม เพิ่มเติมความรู้สึกใหม่ ทำให้กลายเป็นงานชั้นดีที่ต่างไป และไปถึงหิ้งแห่งความตราตรึงNETFLIX ในโลกภาพยนตร์ มีหนังอยู่ประเภทหนึ่งที่มักจะถูกจับจ้องหรือกระทั่งจับผิด อันนำมาซึ่งความท้าทายนั่นคืองานรีเมค เนื่องเพราะการที่จะมีใครเอาหนังเก่าสักเรื่องมาสร้างใหม่ ของเก่านั้นต้องไม่ใช่แค่ระดับคำว่าหนังดี หากแต่งานเก่านั้นต้องเป็นงานชั้นเลิศ เป็นงานระดับคลาสสิคที่เข้าไปนั่งอยู่ในใจผู้ชมมาแล้วมากมาย เป็นงานที่ผู้ชมที่ได้ชมยกเอาไว้เป็นของสูงที่ถูกจัดวางไว้บนหิ้งแห่งความทรงจำ และยากที่จะลบเลือนไปจากใจกระนั้นเมื่อของที่อยู่บนหิ้งคือของที่ดี สวยงาม และได้ใจผู้ชม จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่งที่จะลองของเพื่อเอามาถ่ายทอดใหม่ในมุมมองที่ต่างไป ตีความใหม่หรือกระทั่งยกเอามาทั้งกระบิ และอย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่าหนังเก่าที่เอามาสร้างใหม่นอกจากความท้าทายแล้ว สิ่งที่ต้องเจอก็คือความคาดหวังไปจนถึงความกดดัน เพราะสำหรับผู้ชมที่รักในงานต้นฉบับมักจะมีสายตาที่จับจ้องมาเป็นพิเศษในงานใหม่ และบ่อยครั้งที่กลายเป็นหายนะแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไปเมื่อยังมีบ้างบางครั้งที่การเอาของเก่ามาเล่าใหม่ก็จัดเป็นงานชั้นดีได้ แต่สิ่งที่จะต้องเจาะทะลุไปให้ได้คือกำแพงที่แข็งและหนาของหัวใจผู้ชม ผู้ชมที่รักในของเก่าจนมีสายตาที่ผิดปกติมองเข้ามาในงานใหม่ แล้วทำให้สมองไปสั่งหัวใจให้แง้มเพียงน้อยนิดที่จะรับเอาแง่มุมที่สื่อออกมา ดังเช่นผู้เขียนเองเมื่อครั้งที่ได้ดูหนังเกาหลีที่รีเมคจากหนังญี่ปุ่นในดวงใจเรื่องนี้ ที่ในคราแรกถูกอะไรบางอย่างที่ว่าบดบังทัศนคติทำให้มองไม่ชัด และไม่ได้ประทับใจอะไรมากมาย จวบจนวันนี้ที่ได้ลองดูแบบต่อเนื่องกันมุมมองที่มีต่อหนังเวอร์ชั่นใหม่เรื่องนี้ก็เปลี่ยนไป Be With Youเรื่องย่ออูจิน (โซจีซบ)พ่อหม้ายผู้สูญเสียซูอา (ซนเยจิน)ภรรยาอันเป็นที่รักไป เขาอยู่กันเพียงลำพังสองคนกับจีโฮ (คิมจีฮวาน)ลูกชาย สิ่งเดียวที่ปลอบประโลมเด็กน้อยจีโฮคือนิทานแม่เพนกวินที่จากไปและมองลงมาจากเมืองเมฆ แล้วกลับมาเมื่อย่างเข้าฤดูฝน และมาใช้ชีวิตอยู่กับลูกเพนกวินตลอดช่วงฤดูฝนด้วยความสุข ก่อนที่จะจากไปเมื่อฝนหยาดสุดท้ายแห่งวสันตฤดูสิ้นสุด แต่เมื่อวันจากลาของแม่เพนกวินมาถึง กลับมิได้มีน้ำตาเมื่อต้องจากกัน หากแต่มีความเข้าใจและยิ้มรับการจากไปด้วยความอิ่มเอมซึ่งเด็กน้อยจีโฮอยู่กับนิทานนั้นคลายดั่งคำสัญญาของแม่ผู้จากไปอยู่บนเมืองเมฆ และเชื่อว่าแม่มองลงมาดูตัวเด็กน้อยเองเสมอมา โดยยึดมั่นกับคำสัญญาที่แม่จะกลับมาเมื่อย่างเข้าฤดูฝน เด็กน้อยจึงเฝ้ารอการมาของฤดูฝนที่ใครหลายคนอาจไม่ชอบ จวบจนฝนแรกมาถึงเด็กน้อยจึงรีบไปที่สถานีรถไฟร้าง โดยมีอูจินผู้พ่อตามไปเพื่อที่จะอธิบายให้ยอมรับได้ว่าไม่มีทางที่แม่จะกลับมา ทว่า ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นเมื่อหญิงสาวในอุโมงค์รถไฟนั้นคือซูอามารดาและภรรยาผู้จากไป เพียงแต่เธอได้สูญสิ้นความทรงจำเกี่ยวกับตัวเองและครอบครัวไปแล้วหากแต่แม้สูญเสียความทรงจำแต่หัวใจกลับสัมผัสอะไรบางอย่าง ซูอาจึงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับอูจินและจีโฮในฐานะภรรยาและแม่เรื่อยมา และได้ย้อนกลับไปรำลึกถึงอดีตที่ซูอาและอูจินเริ่มได้รู้จักและพัฒนามาเป็นความรัก จนกระทั่งยอมทิ้งทุกอย่างมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แล้วก็มีจีโฮเป็นพยานรักจนสร้างครอบครัวเล็กๆที่อบอุ่นมีความสุขบนความเรียบง่าย กระทั่งภาพอดีตที่ถูกถ่ายทอดจากปากคำของคนที่รักเธอหมดหัวใจ ก็ได้สร้างความรักครั้งใหม่ในร่างกายเดิมอีกครั้ง กับโอกาสที่สองที่จะได้อยู่เพื่อรักแต่ความสุขที่ไม่คาดคิดมักจะมีเวลาอันจำกัดเสมอ เมื่อซูอารู้ตัวว่าเธอจะต้องจากไปอีกครั้งสิ่งที่ต้องทำคือการทิ้งอะไรบางอย่างไว้ให้กับจีโฮและอูจิน ในขณะเดียวกันก็ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าที่สุดกับเวลาที่เหลืออยู่ จวบจนวันสุดท้ายของวสันต์เธอก็ต้องจากไป หากแต่ในวันนี้พันธนาการในใจหนูน้อยจีโฮได้ถูกปลดเปลื้องลงพร้อมคำอธิบายจากแม่ อูจินก็ยิ้มรับการจากลาและพร้อมปล่อยมือจากซูอาที่คิดคำนึงหามาตลอด เพื่อมีชีวิตที่สดใสต่อไปใช้ชีวิตให้ดีทั้งสองคนพ่อลูกบทที่งดงามพอที่จะไม่ทำร้ายของเก่าแต่เพิ่มมุมมองใหม่ให้ออกมามีตัวตนของตนเองอย่างยอดเยี่ยมเนื่องเพราะนี่คือการหยิบเอาของเก่าที่คำว่าเยี่ยมยังด้อยค่าของงานญี่ปุ่นปี 2004 มาเล่าใหม่ ซึ่งจุดร่วมและจุดต่างของทั้งสองฉบับนั้นผู้เขียนจะเขียนอีกครั้งหลังจากนี้ ดังนั้นจึงว่ากันที่ฉบับนี้ก่อนที่เชื่อว่า คนที่เคยดูฉบับของญี่ปุ่นของยูโกะ ทาเคอุจิผู้ล่วงลับก็จะสัมผัสได้ถึงความต่าง เพราะนี่คืองานที่มาทีหลังการเล่าเรื่องผ่านบทภาพยนตร์จึงเหมือนเติมบางอย่างลงไป ให้มีความรู้สึกทางอารมณ์มากกว่าตามแบบฉบับของเกาหลี หรือเรียกเป็นภาษาวัยรุ่นว่าขยี้ แต่ทว่าการใส่อะไรเข้ามาเพื่อเร้านั้นไม่ได้ทำร้ายความดีงามของเค้าโครงและสารที่จะสื่อ กลับกันมันเหมือนกับมีตัวตนใหม่ที่สวยงามในแบบของตนเองซึ่งสิ่งเหล่านั้นที่ยังคงไว้แน่นก็คือความสุขที่เรียบง่าย ความรักที่งดงามจริงแท้ โอกาสที่สอง และการปล่อยวาง เมื่อบทหนังเริ่มต้นเล่าจากความสูญเสียในระดับที่ยากจะยอมรับ และพันธนาการให้เด็กน้อยคนหนึ่งต้องแบกรับ ได้สร้างรอยแผลและขื่อคาที่หนักอึ้งในใจของชายที่บกพร่องทางกายภาพ และได้รับความรักที่งดงามมาเติมเต็ม ความรักที่มีจุดเริ่มและบทสรุปที่เจ็บปวดเมื่อความสุขนั้นสั้นนัก และการจมอยู่กับพันธนาการแห่งรักคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะหัวใจไม่อาจปล่อยวางจากความรักของคนรักที่จากไป ทำให้โลกของคนที่ยังอยู่ถูกจำกัดอยู่แค่บ้านหลังเล็กๆแห่งนั้น และมันคือสารเดิมที่ยังไม่บกพร่องส่วนสิ่งใหม่ที่ใส่เข้ามาคือเรื่องของอารมณ์ ที่ไม่ต้องซึมซับมากมายก็สัมผัสได้เพราะถูกสื่อสารให้เห็นภาพที่ชัดกว่าและเร้ากว่า ด้วยการใส่อารมณ์ขันให้เห็นรอยยิ้มในมุมน่ารักของชีวิตที่เรียบง่ายนี้ หรือจะเป็นตั้งแต่ต้นที่ความรักไปฝังเมล็ดพันธุ์ลงในหัวใจ และเริ่มเติบโตเรื่อยมาพร้อมกับตัวละครที่ทั้งน่ารักและน่าขัน แต่สัมผัสได้ด้วยตาทำให้หัวใจรู้สึกว่าเชื่อได้ มันคือความรักที่ค่อยๆเติบโตและเบ่งบาน รวมไปถึงความชัดเจนในเรื่องของโอกาสที่สองที่จะดูแลคนที่รักด้วยการทิ้งมรดกทางความคิด ผ่านคำสัญญาว่าจะดูแลกันและกันระหว่างพ่อกับลูก ซึ่งมันอาจดูเหมือนขยี้แต่ไม่ถึงกับเร่งรัดหรือบีบจนดูจงใจจวบจนสุดท้ายเมื่อถึงวันจากลาที่ครานี้คือตลอดกาล ความสุขจากโอกาสที่สองยังคงแต้มแต่งหัวใจผู้ชมได้ด้วยรอยยิ้มที่อยู่หลังม่านน้ำตา เพราะมันคือการยอมปล่อยมือจากคนที่รักอย่างเต็มใจ และได้รับรู้ว่าที่ผ่านมาการได้อยู่กับคนที่รักมันคือความสุขที่เพียงพอแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้เป็นความยิ่งใหญ่หรือรักที่ยิ่งใหญ่ใดที่มอบให้ แต่บางทีความรักก็เป็นเช่นนี้ที่ไม่ต้องยากแต่ตรงไปตารงมา จนสุดท้ายเรื่องที่ถูกเฉลยอาจไม่รู้สึกเหนือคาดเพราะได้รู้มาแล้ว แต่ก็ยังสะกดผู้ชมได้ด้วยงานด้านบทที่ยังซื่อตรงกับสารที่จะสื่อ และเติมความงดงามในมุมของความสุขผ่านความรักที่เรียบง่ายของคนสองคน ที่งดงามไปอีกแบบการใช้นักแสดงที่ศีลเสมอกันบารมีพอกันทำให้งานออกมามีพลังแห่งความรักที่โรแมนติกผู้เขียนไม่ได้หมายความว่ายูโกะ ทาเคอุจิกับชิโด นากามูระจะบารมีไม่ถึง การแสดงของคู่นั้นถูกเล่าในอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งค่อยมาว่ากันทีหลัง แต่กับฉบับเกาหลีที่อาจเรียกได้ว่าขับเน้นความเป็นโรแมนติกดราม่ามากกว่านั้น การวางตัวโซจีซบกับซนเยจินถือว่าเป็นการคัดเลือกนักแสดงในระดับที่ลงตัว เป็นคู่ในจินตนาการ เพราะไม่ใช่ใครก็ทำได้ในบทชายผู้เจ็บป่วย และเชื่อว่าตนเองไม่เคยมอบความสุขหรือรักที่ยิ่งใหญ่ให้กับหญิงอันเป็นที่รัก และถึงที่สุดก็จ่อมจมกับความสูญเสียที่ยากจะยอมรับได้กับอีกหนึ่งคือบทหญิงสาวที่รู้ขีดจำกัดของตนเองว่าชีวิตจะมีความสุขได้ถึงนาทีไหน และความสุขนั้นกำลังจะผ่านไปจึงต้องเก็บเกี่ยวทุกนาทีไว้ด้วยความหม่นโศก ผ่านฉากหน้าที่มีรอยยิ้ม แค่มิติเบื้องหน้าเท่านี้ดวงตาของคนทั้งคู่ก็จัดการได้โดยที่ยังไม่ต้องแสดงอารมณ์ด้วยซ้ำ เพราะดวงตาของโซจีซบและซนเยจินมีแววความโศกอยู่ข้างในแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะแสดงออกมาให้เห็นความเศร้า ความกังวล และความเจ็บปวด เมื่อถึงเวลาที่ต้องปล่อยมันออกมาส่วนที่เรียกว่าศีลเสมอกันนั่นคือเคมีที่ลงตัวที่สุด ซึ่งอาจต้องเริ่มตั้งแต่ตอนเป็นเด็กมัธยมปลายที่นักแสดงรุ่นเล็กถ่ายทอดได้ ทำให้รุ่นใหญ่ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่สายตาเศร้าโศกซึ้งกับสิ่งที่เข้ามาก็ได้ใจแล้ว หรือใครจะลืมโมเม้นต์ต่างๆตอนออกเดตกันได้ลง ซึ่งก็รวมถึงมือที่ล้วงกระเป๋าเสื้อที่คงความคลาสสิคนั้นไว้ และเครดิตส่วนหนึ่งต้องยกให้คิมฮยุนซูและอียูจินในบทซูอาและอูจินในวัยมัธยมปลาย ที่การเปลี่ยนผ่านของสองรุ่นดูเรียบเนียน ผ่านการแสดงที่เชื่อได้ จึงเป็นมิติเชิงลึกที่ทำให้คู่รุ่นใหญ่ได้ใจผู้ชมปานนั้นส่วนที่ต้องไม่ลืมคือตัวละครรอบข้างที่ใส่มาเพื่อให้มีสีสัน เพราะการเล่าเรื่องให้ออกมาเป็นความต่างบนความเหมือนโดยเติมมิติบางอย่างเข้าไป ทำให้นักแสดงสมทบยังเป็นส่วนเสริมที่ทรงคุณค่า หรือกระทั่งนักแสดงรับเชิญอย่างกงฮโยจินที่ตอนดูรอบแรกผู้เขียนยังไม่ได้ดู When The Camellia Blooms เลยไม่รู้สึกอะไร แต่การดูรอบนี้เห็นเลยว่าแม้กระทั่งบทรับเชิญฉากเดียวยังเป็นที่น่าจดจำ ประกอบกับงานด้านภาพที่ดูละมุน เพลงประกอบออกมาในโทนโรแมนติกกว่า แล้วเรื่องก็เล่าเน้นมาทางนี้มากกว่า นักแสดงก็ให้การแสดงที่เชื่อได้ในความรักไม่ต่างกัน จึงทำให้บนความเหมือนมีความต่าง แต่เป็นความต่างที่งดงามและตรึงใจในแบบของตัวเอง ในบางครั้ง การดูหนังสักเรื่องอาจจะต้องให้หัวใจนำทาง เช่นผู้เขียนเองที่เคยดูต้นฉบับของญี่ปุ่นมาก่อน และดูได้บ่อยเก็บสะสมแผ่นหนังไว้ ส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจดูเพราะยูโกะ ทาเคอุจิที่ผู้เขียนชมชอบเป็นพิเศษ และตัวหนังฉบับนั้นก็มีความพิเศษ เป็นการเล่าเรื่องในแบบญี่ปุ่นที่เรียบเรื่อยแต่ซึมลึกเก็บเกี่ยวความรู้สึก จนเมื่อการได้ดูฉบับเกาหลีฉบับนี้เป็นครั้งแรก สารภาพว่าผู้เขียนมีใจที่เปิดให้เพียงไม่ถึงครึ่ง เพราะนี่คือการเอาของที่ทรงค่าในหัวใจผู้เขียนมาเล่าใหม่ถ้านั่นยังไม่พอ สัมผัสแรกที่ได้ชมคือการเล่าเรื่องในความต่าง มีการใส่เรื่องราวที่เห็นดราม่าชัดเจนด้วยตากว่า ณ ตอนนั้นจึงมองว่าเป็นการตีความใหม่ให้หนังออกมาโทนโรแมนติกมากกว่าอบอุ่นในมุมครอบครัวและความรัก ทำให้การดูครั้งนั้นไม่ได้เข้าไปนั่งในใจผู้เขียน แม้ว่าหลายเสียงที่แว่วเข้าหูมาจะบอกว่านี่คืองานระดับยอดเยี่ยม และเป็นงานขึ้นหิ้ง แต่เมื่อหัวใจมันไม่เปิดเลยไม่ได้สนทนาต่อ จนกระทั่งเลือนหายไปจากความทรงจำจวบจนการมาสตรีมอีกครั้งทาง NETFLIX แรกเลยผู้เขียนตั้งใจจะดูอีกสักครั้งอยู่แล้ว แต่มีข้อแม้คือต้องไปค้นแผ่นฉบับเก่าในตู้มาเปิดดูในคอมก่อน แล้วถึงจะลองเปิดหัวใจดูฉบับเกาหลีอีกครา และจากการดูต่อเนื่องกันในวันเดียวก็พบว่า บางครั้งเราต้องใช้หัวใจดูอย่างที่บอก เพราะหนังมีความเยี่ยมอยู่ในตัว การเอาของเก่ามาเล่าในมุมมองใหม่ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย เพราะทุกอย่างที่พึงมีในสิ่งที่ของเก่าต้องการบอกผู้ชมก็อยู่ครบ แล้วยังใส่ความเป็นเกาหลีลงไปทำให้หนังดูมีสัมผัสทางอารมณ์ได้มากกว่าซึ่งก็หมายความว่า การเอามาสร้างใหม่ไม่ใช่การตีความใหม่ ความหมายทุกอย่างยังคงเดิมแต่เสริมแง่มุมชีวิต แง่มุมความรัก และแง่มุมทางสังคมผ่านตัวละครที่เพิ่มเข้ามา ทำให้หนังมีความลงตัวละมุนในทางที่ต่างไป ในความโรแมนติกที่จัดกว่าไม่ได้หวานจนเลี่ยนหากแต่เพิ่มอารมณ์ขัน เพิ่มมิติที่ซับซ้อนทางหัวใจในเรื่องของการกลับมาตกหลุมรักอีกครั้งให้ผู้ชมโดยไม่ต้องตีความ ผ่านการแสดงที่ได้ใจของนักแสดงในดวงใจอย่างซนเยจิน เลยทำให้หนังมีความงดงามในตัวเอง เป็นหนึ่งในงานรีเมคที่ยอดเยี่ยมตลอดกาล เพราะในความเป็นตัวเองของฉบับใหม่ ไม่ได้ทำลายความหมายที่สวยงามของฉบับเก่าดูไปบ่นไปNETFLIXขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 จาก Facebook MONGKOL MAJORภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 จาก Facebook Son Ye Jin 손예진ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Facebook So Ji Sub - 소지섭ภาพที่ 9 / ภาพที่ 10 จาก Facebook Netflixเกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ ๆ ได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !