รีเซต

ปรับชีวิตใหม่! ทูน หิรัญทรัพย์ ตาบอดฝึกอยู่ในโลกมืด ลูกสาวทำให้ชีวิตมีความหวังอยู่ต่อ (มีคลิป)

ปรับชีวิตใหม่! ทูน หิรัญทรัพย์ ตาบอดฝึกอยู่ในโลกมืด ลูกสาวทำให้ชีวิตมีความหวังอยู่ต่อ (มีคลิป)
Entertainment Report_2
11 มกราคม 2564 ( 10:03 )
1K

ข่าวบันเทิงวันนี้

"ทูน หิรัญทรัพย์" นับว่าเป็นอีกหนึ่งพระเอกในตำนานที่ยืนหนึ่งอยู่ในใจของแฟน ๆ ตลอดมา พร้อมกับทุกคนยังคงให้ความสนใจกับเรื่องราวในชีวิต ที่ล่าสุดเจ้าตัวได้พาลูกสาวคนสุดท้อง "น้ำตาล หิรัญทรัพย์" ที่ไม่ค่อยออกสื่อได้มานั่งพูดคุยแบบเปิดอก ในรายการ Club Friday Show ผลิตโดย CHANGE2561 พร้อมกับให้ล้วงลึกทุกเรื่องราวในชีวิตทั้งเหตุผลที่ต้องหย่ากับอดีตภรรยา การใช้ชีวิตที่มืดบอดเพราะสูญเสียการมองเห็น พร้อมทั้งเคลียร์ข่าวเรื่องความเจ้าชู้กับสามสาวคนดังในวงการบันเทิงแบบหมดเปลือก 

 

การเป็นพระเอกของ ทูน หิรัญทรัพย์ อาจจะไม่เหมือนคนอื่นเพราะว่ามาทางสายตลกเป็นพระเอกที่ตลกทะเล้น
ทูน หิรัญทรัพย์ : พระเอกเมื่อก่อนต้องเล่นกล้ามให้มีหน้าอกหน่อย ๆ แต่สำหรับตัวเราต้องขอบคุณพี่แอ๊ด สมบัติ มาก ๆ เพราะพี่แอ๊ด บอกเราว่า บ๊อบ รู้จักคำว่าพระเอกไหมมันเป็น 2 คำนะ คือ พระเป็นคนดีของสังคม เอกหมายถึงว่านำไปทางที่ดีเป็นเรื่องดีทั้งทางเรื่องการพูดจา หรือ เรื่องพฤติกรรม เราก็เลยจะไม่มีข่าวเรื่องดื่มเหล้า ยาเสพติด เที่ยวหรืออะไรพวกนี้เลยเพราะว่ากลัวจะไม่ได้เป็น พระเอก (หัวเราะ) 

ขอบคุณคลิปจากรายการ Club Friday Show

ไม่มีข่าวก็จริงแล้วเราไปทางนั้นไหม
ทูน หิรัญทรัพย์ : เขาจับไม่ได้ (หัวเราะ) อุ๊ย !! ไม่มี ๆ ครับ ไม่มีเพราะการที่เราเติบโตมาในครอบครัวทุกคนในเกียรติซึ่งกันและกัน สามีภรรยาให้เกียรติซึ่งกันและกัน เมื่อตอนที่เกิดปัญหาสื่อสารกันคุยกัน (เราก็อยากเอามาปฏิบัติกับครอบครัวเรา) ซึ่งเราก็ไม่เที่ยวไม่ดื่มเลยตั้งแต่ต้นเลย

ไม่ได้หลงใหลกับชื่อเสียงในความเป็นพระเอก แล้วหลงใหลกับสาว ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาไหม
ทูน หิรัญทรัพย์ : ก็มีคิดบ้าง แต่ว่าในเชิงปฏิบัติแล้วมันไม่น่าได้เพราะตอนนั้นที่เราเริ่มต้นเป็นพระเอกแล้วเราแต่งงานแล้ว พอเข้าวงการได้ 1 ปีเราก็แต่งงานเลย (มีภรรยาแล้วก็มีลูกเลย) ตอนนั้นที่แต่ง 24 ปีแล้วครับ แต่เราก็ไม่ได้ปิดเขานะครับ เพราะเราก็อยากให้เกียรติเขา แต่ผู้สร้างหนังบอกว่าอย่าเลยเพราะว่าเดี๋ยวหนังจะขายไม่ออก (ถามว่าเป็นคนเจ้าชู้ไหม) อยากจะบอกว่าเฟรนด์ลี่ กับ เจ้าชู้ อาจจะแตกต่างกับแบบเส้นบาง ๆ มาก แต่อยากจะบอกว่าเราเป็นคนที่แบบเจอใครก็ทักก็กอดกันเป็นปกติของฝรั่งเราก็เลยรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ

เมื่อก่อนไม่ได้มีโซเชียลขนาดนี้ เมื่อก่อนมีข่าว พี่บ๊อบ บ้างไหม
ทูน หิรัญทรัพย์ :  ไม่ได้มีครับ ข่าวนี้ไม่มีเลยแต่ว่าข่าวไปถึงหูแม่ของลูกเนี่ยมี..ว่ามีอะไรกับพุ่มพวง มีอะไรกับ เนาวรัตน์ มีอะไรกับจารุณี เราก็บอกว่าเอาข่าวพวกนี้มาจากไหนเล่นเรื่องไหนก็มีข่าวมาถึงเขา แต่ไม่มีข่าวลงในสื่อแต่ว่าเขาไปสืบมา เพราะผมก็ถามเขาจริงๆว่าไปเอาข่าวนี้มาจากไหน เขาก็บอกเราว่าพูดกันในที่ร้านทำผม คงเป็นที่ที่ผู้หญิงเยอะ เราก็ไม่ได้แก้ตัวอะไรเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพราะว่าตอนแรกที่เราแต่งงานกันได้พูดคุยกันได้เข้าใจในงานที่เราทำ แต่ตอนหลังเพราะเราทำงานที่ต่างจังหวัดนาน เขาคงได้ข่าวมาแต่ได้มาจากร้านทำผม แต่เพราะข่าวที่ได้มาไม่มีมูล พอไม่มีมูลก็ไม่เป็นข่าวพอไม่เป็นข่าวก็ไม่เป็นความจริง 

ทูน หิรัญทรัพย์ กับลูกสาว

แต่ ณ วันนั้นเพราะข่าวนี้ทำให้ทะเลาะกันไม่เข้าใจกัน
ทูน หิรัญทรัพย์ : ต้องบอกอย่างนี้ครับ เราก็เป็นมนุษย์ธรรมดาแต่ว่าเราทำอะไรเราต้องมีสติ เราได้ร่วมงานกับนางเอกคนไหนก็ตามแล้วเรามีใจให้กันเรา ก็ต้องมีคำว่าเฮ้ย .. ที่บ้านเขาจะเป็นอย่างไร และที่สำคัญที่สุดคนนี้เขาก็เป็นดาราเป็นนักแสดงดัง แล้วถามว่าถ้าเกิดมีข่าวออกไปคนที่เสียหายจะเป็นผู้หญิงแล้ว เราก็มีความรู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับคนที่บ้าน และไม่แฟร์กับนางเอกในวงการเดียวกัน

จากตอนที่มีปัญหาตอนนั้นมันปั่นทอนความรู้สึกดีต่อกันไหมในครอบครัว
ทูน หิรัญทรัพย์ : มีนะครับ แต่เราต้องประคองการสร้างให้ความสัมพันธ์ในครอบครัว ดีให้ได้เราต้องให้เวลากับเขาได้ นั่นอาจจะเป็นข้อผิดพลาดของเราก็ได้เพราะเราไม่ค่อยมีเวลา เพราะใน 1 เดือน เรากลับบ้านแค่ 3-4 วันเท่านั้นเอง บางครั้งมานอนแค่คืนเดียว ก็ไปทำงานต่อไม่เชียงใหม่ ก็กาญจนบุรี ไม่ก็สระบุรี ไปทุกจังหวัดจะบอกว่าชีวิตของนักแสดงไทยผมว่ารันทดนะ อย่างที่เขาบอกว่านอนกลางดินกินกลางทรายใกล้เคียงเลย เพราะนอนในรถอย่างเดียวเลย

 

แล้ววิธีสร้างความไว้วางใจพี่บ๊อบทำอะไรบ้างให้กับภรรยา
ทูน หิรัญทรัพย์ : บางทีก็เวิร์ก บางทีก็ไม่เวิร์ก คือเราเป็นคนที่พูดครั้งเดียวน่าจะเข้าใจพูดหลาย ๆ ครั้งก็จะเป็นเรื่องชินไปแล้ว

ความไม่วางไว้จริง ๆ เกิดจากกระแสข่าวที่ร้านทำผม หรือ เกิดจากตัวของพี่บ๊อบเองไปทำให้เขาเกิดความไม่ไว้ใจเอง
ทูน หิรัญทรัพย์ : ก็มีส่วนเพราะอย่างเราทำงานเสร็จแทนที่จะกลับบ้านแต่เราก็เถลไถลเพราะพี่ ๆ ชวนมาบ้านพี่หน่อยเราก็ไป งานสังคมแล้วตอนนี้ เพราะเมื่อก่อนไม่มี มือถือที่จะโทร.บอกที่บ้านว่าเราจะกลับบ้านช้านะ มันก็ยากในการติดต่อเหมือนกันการสื่อสารก็เลยคลาดเคลื่อนกันไปเราก็บอกเขาว่าเราเป็นคนไม่มีอะไรจงเข้าใจแต่ถ้าไม่เข้าใจเราไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพราะเราเป็นคนที่พูดครั้งเดียวช่วยจำหน่อยเพราะเราเป็นคนที่ปฏิบัติตัวแบบนี้มาตลอดแล้วจนถึงทุกวันนี้ 40 ปีที่อยู่ในวงการก็คิดว่าเราทำดีที่สุดแล้วไม่มีชื่อเสียงที่เสีย
ทูน หิรัญทรัพย์ : พอถึงจุดหนึ่งเราก็ย้อนกลับไปดูว่าทำไมเราต้องทะเลาะกันบ่อย ๆ ทำไมคุณต้องคิดแบบนั้นทำไมมันไม่สมบูรณ์แล้วเราก็คิดว่ามันยากมากที่คนสองคนจะมาอยู่ด้วยกันแล้วมีความรู้สุข 

ตอนที่เรามีปัญหากันเราห่วงลูกไหม พี่บ๊อบมีลูกกี่คน 
ทูน หิรัญทรัพย์ : จริง ๆ แล้วมีลูกทั่วประเทศครับ (หัวเราะ) หมายถึงว่าไปไหนใคร ๆ ก็เรียกว่าพ่อ จริง ๆ มีลูก 3 คน (ตอนที่เริ่มมีปัญหาก็มีลูกสามคนแล้ว) ลูกคนที่สามเขาห่างจากคนกลาง 10 ปี แล้วเขาก็มีประเด็นคำถามว่าทำไม? มีคำถามที่เขายอมรับไม่ได้เราเข้าใจเขานะเพราะเขาเป็นเด็กเขาก็ต้องมีความรู้สึก (เพราะตอนที่เราเด็ก ๆ พ่อแม่เลิกกันก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แล้วเราก็ตั้งใจเรียนหนังสือเพราะหน้าที่ของเราคือเรียนหนังสือ เพราะฉะนั้นตรงนี้ เป็นเรื่องของผู้ใหญ่นะเราก็มีครบทั้งพ่อและแม่เพียงแค่ว่าเราอยู่คนละบ้านกันเท่านั้น) เราก็บอกลูกไปแบบนี้ แล้วเราก็ย้ายไปอยู่ที่สำนักงานของเราเคลียร์ที่นั่นเป็นที่นอน เราก็พิสูจน์ว่าที่เราไปอยู่ที่นั่นไม่มีอะไร ไม่มีใคร มาทุกครั้งบางทีก็มาแบบเซอร์ไพรส์เปิดประตูทำอะไร !! เราก็ประชุมอยู่ เขียนงานอยู่

เมื่อได้ฟังแล้วบางทีจะว่ายากก็ยาก บางคู่จะง่ายก็ง่ายเพราะอยู่ที่การสื่อสาร เพียงแต่ว่าในงานของพี่บ๊อบเองคนที่อยู่ข้างๆต้องเป็นคนที่ใจกว้างพอสมควรเพราะเป็นงานที่ เพราะเป็นงานที่ดึงเวลาของครอบครัวไปเยอะ แล้วเราอยู่กับผู้คนสวย ๆ งาม ๆ แล้วก็ปฏิเสธข่าวสารที่เข้าหูไม่ได้แต่ พี่บ๊อบ ก็พยายามยื้อชีวิตคู่มายาวนานกี่ปีที่ตัดสินใจว่าพอแล้ว 
ทูน หิรัญทรัพย์ : น่าจะเป็น 38-39 ปี คนก็มักจะถามว่าทำไมรอขนาดนี้ เพราะเราอยากให้ลูกโตแล้วรู้เรื่องก่อนเพราะว่าที่เราอยู่ด้วยกันมาเราอยู่กันเพราะว่าลูก

 

ตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะอยู่กันเพื่อลูกแต่ลูก บอกว่าหย่าเถอะ พ่อกับแม่ และลูกสาวคือคนที่พาไปหย่า
ทูน หิรัญทรัพย์ : ใช่ครับ คนที่หนึ่งกับคนที่สองเขาก็เข้าใจเพราะตอนเด็ก ๆ เขาก็จะได้ยินเสียงโบ้งเบ้ง ๆ กันตลอด ในสิ่งแวดล้อมที่มันไม่ดีเขาก็เครียด เขาก็อยากให้อยู่กันได้โดยที่ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน สำหรับเรื่องนี้เราคุยกันในครอบครัวว่าทางออกมันจะเป็นยังไงเพราะว่าลูกๆคนหนึ่งไปเรียนอเมริกา คนหนึ่งเรียนที่ออสเตรเลีย เขาก็เห็นเรื่องการหย่ามาเขาก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ (เพราะในช่วงนั้นเราทะเลาะกันเยอะ) เรื่องทะเลาะมันเกิดขึ้นมาเป็นระยะๆครับ เราก็แค่หาทางทำยังไงให้ลดตรงนี้ลง (ถามว่ายากไหมในการตัดสินใจ) ตอนนั้นทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว เรื่องของบ้าน เรื่องของการดูแลลูกๆให้เรียนจบ แล้วก็ทุกอย่างมันพร้อมหมดแล้วเราก็คิดว่าเราอยากจะทำอะไรเพื่อตัวเองแล้วกับเวลาที่เหลือ มันอาจจะไม่มีโอกาสทำ ก็เลยได้ทำเรื่องของสังคม เยาวชนก็เลยมีความสุขกับตรงนี้ ลูกๆทุกคนก็เห็นด้วยกับตรงนี้ ลูกๆเป็นพยานให้เลยครับ เขายังบอกเราอีกว่า พ่อ .. หยุดเถอะทำไมทำให้คนอื่นเขา ทำไมไม่ทำให้ตัวเองบ้าง หยุดเถอะ หยุดบ้าง เราก็บอกว่าไม่ได้เพราะอีกไม่นานเราก็เข้าเลข 7 แล้วเพราะตอนนี้เราก็ย่างเข้า 66 ปีแล้ว เราก็อยากจะทำอะไรที่มันเป็นประโยชน์ ซึ่งสำหรับอดีตภรรยาของผมาตอนนี้เรายังสามารถติดต่อ พูดคุยกันได้ปกตินะครับ แต่ว่าอาจจะไม่ได้สนิทเท่ากับสมัยก่อนและอาจจะไม่ได้คุยกันบ่อยๆเหมือนเดิม

(เปิดหน้าลูกสาวน้ำตาล) ในส่วนหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต่างมีความเห็นของตัวเองและบ้านนี้คือ ลูกสาวที่บอกกับพ่อแม่ว่าไม่เป็นไรถ้าเดินหน้าในฐานะสามีภรรยาไม่ได้หนูโอเคกับภาวะที่เกิดขึ้นตอนนั้นพี่น้องเราคุยกันยังไงบ้าง
น้ำตาล (ลูกสาว ทูน หิรัญทรัพย์) : คือพี่สองของหนูทั้งสองคนคือเขาคุยกับเรา เราสนิทกันมากใกล้ชิดกันมาเขาทั้งคู่ก็มาอธิบายให้เราฟังว่าเราโอเคไหมที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วนะ แล้วตอนนั้นเราอยู่โรงเรียนประจำเราเลยไม่ได้สัมผัสได้เท่ากับที่พี่ๆเขาสัมผัสกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พอเราได้รับฟังพี่ๆอธิบายเราก็อาจจะมีคำถามว่าทำไม แต่เหมือนว่าพอเราโตแล้วก็รู้ว่าเป็นทางเลือกของเขา แล้วเขามีความสุขมากกว่าในการที่เขาไม่ต้องอยู่ด้วยกันเราก็ไม่ได้ติดอะไรตรงไหน เรื่องการดูแลก็สลับกันไปค่ะ จริง ๆ แล้วประจำจะอยู่กับคุณแม่ แล้วแต่ว่าอาทิตย์ไหนใครสะดวกก็ไปดูแลคุณพ่อค่ะ 

 

ไม่ถามไม่ได้เลยสำหรับปัญหาเรื่องสุขภาพตา ที่ตอนนี้เห็นว่าการมองเห็นสามารถมองเห็นได้เพียงข้างเดียว
ทูน หิรัญทรัพย์ : ตอนนี้ตาข้างขวาคือมองไม่เห็นเลย ส่วนตาข้างซ้ายยังมองเห็นอยู่แต่แค่ 30 เปอร์เซ็นต์ ตอนแรกที่เรารับรู้ว่าจะมองไม่เห็นเหมือนเราไม่รู้อนาคต ไม่รู้อาทิตย์หน้าจะมองไม่เห็นอีกข้างหนึ่งไหมเลยเกิดความเครียดขึ้นมาครับ จนครั้งหนึ่งเราเองคิดว่าจะฆ่าตัวตายแต่ลูกคือคนที่ทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาได้ แล้วหลังจากนั้นเราก็พยายามนะครับฝึกและซ้อมว่าถ้าวันหนึ่งเราเกิดมองไม่เห็นจริง ๆ  เราก็ลองปิดตาดูให้เหมือนเราอยู่ในโลกมืดแล้วใช้วิธีการแบบคลำเอาใช้มือเป็นตาให้เราว่าตรงนี้ ๆ คือสวิตซ์ นะอะไรแบบนี้ครับ

แล้วในวันที่คุณพ่อมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ลูก ๆ ให้กำลังใจคุณพ่อยังไงบ้าง
น้ำตาล : จริง ๆ เวลาคุณพ่อเครียดเขาจะไม่ค่อยแสดงออกให้เราเห็นด้วย ความที่เราเป็นลูกสาวทั้งสามคนก็อาจจะมีเขียนการ์ดให้ ส่งแมสเสจให้ เตือนคุณพ่อกันตลอดว่าอย่าลืมดื่มน้ำเยอะ ๆ อย่าลืมทานยา อย่าลืมหยอดตา เป็นการให้กำลังใจแบบนี้ตลอดให้เขารู้ว่าเราอยู่ข้าง ๆ เขา ตอนนี้หนูก็อายุ 25 ปีแล้วค่ะ 

 

ในความอายุ 25 ปีของ น้ำตาล เรารับรู้ความเป็น ทูน หิรัญทรัพย์ ยังไงบ้าง
น้ำตาล : จริงถ้าเทียบกับพี่ฝนกับพี่หวาน ค่อนข้างลำบากเพราะหนูค่อนข้างที่จะห่างจากพี่สาวคือ 10 ปีกับ 13 ปี เพราะฉะนั้นพี่ ๆ เขาจะมีเพื่อน ๆ ที่ดูละครคุณพ่อ แต่อย่างหนูเพื่อน ๆ ก็จะรับรู้ในฐานะที่ว่าเคยเห็นคุณพ่อเล่นเป็นคุณพ่อนางเอก พระเอกค่ะ ก็ไม่ได้สัมผัสอะไรมากขนาดนั้นแต่ก็จะรับรู้จากคุณพ่อคุณแม่เพื่อนว่าเคยเห็นคุณพ่อเราเล่นเป็นพระเอก 

อะไรคือสิ่งที่ทำให้น้ำตาลภูมิใจในการที่เราได้เป็นลูกสาวของคุณพ่อ ทูน หิรัญทรัพย์ 
น้ำตาล : คุณพ่อไม่ค่อยนึกถึงตัวเองเลย คือก็ทำให้เราเป็นห่วงเขาจะนึกถึงอยากทำงานเพื่อสังคม อยากทำงานเพื่อส่วนรวม อยากให้ทุกคนมีความสุขอยากทำให้ชีวิตเยาวชนดีขึ้นเป็นเรื่องที่เราภาคภูมิใจเพราะเราก็อินเรื่องราวโซเชียลอยู่แล้ว ก็ภูมิใจตรงที่ว่าเขาคิดถึงแต่คนอื่นค่ะ อันนี้เราไม่ได้ negative นะคะ ไม่ได้น้อยใจด้วยตรงนี่ทำให้รู้ว่าเหมือนเราโอเคแล้ว เราได้ไปดูแลคนอื่น ช่วยเหลือคนอื่นก็เป็นสิ่งที่กลับมาทางเราในส่วนหนึ่งด้วยที่เราได้แบ่งปันให้กับคนอื่นค่ะ