Short CommentMom, Don't Do That! แม่จ๋า อย่าทำแบบนั้น! (2022)ฉูดฉาดจัดจ้านเหลือร้ายฝังความคมคายไว้หลังความฮาโบ๊ะบ๊ะได้เนียนๆกับเรื่องง่ายๆที่ไม่เคยง่ายในชีวิตธรรมดาที่ไม่เคยธรรมดาสำหรับที่มาของบทความของซีรีส์เรื่องนี้ที่เพิ่งมาเขียนเอาตอนนี้ทั้งที่ดูมาตั้งแต่ปีที่แล้วนั่นเพราะลืมสนิทเลยว่าจะเขียนถึงเพราะถ้าว่ากันที่เนื้อหานี่ก็คือซีรีส์น้ำดี แต่อาการลืมนั้นไม่ต้องไปหาเหตุผลอะไรมากเพราะมันคงไม่สามารถอธิบายเป็นถ้อยคำได้ว่าทำไมถึงลืม เอาเป็นว่าผู้เขียนมานึกว่าได้เขียนถึงเรื่องนี้ลงเพจดูไปบ่นไปไปแล้วหรือไม่แต่กลายเป็นว่าไม่ได้เขียนความเห็นหลังชมหรือรีวิวจัดเต็มทางช่องทางใดเลยช่างน่าเขกกะโหลกตัวเองยิ่งนัก จนเมื่อผู้เขียนได้ดูซีรีส์ไต้หวันเรื่องล่าสุดคือ At the Moment ณ ขณะนี้ (2023) ที่มีนักแสดงนำของเรื่องนี้ร่วมแสดงคืออสิสซา เจี่ยจิ้งเหวิน เมื่อนั้นผู้เขียนจึงนึกขึ้นได้แต่แล้วการดูผ่านมาเป็นปีมันก็ไม่สามารถร้อยเรียงถ้อยคำมาเป็นบทความได้เช่นกัน ผู้เขียนจึงต้องย้อนกลับไปดูซ้ำกับเรื่องนี้ที่จรรยาบรรณส่วนตัวของผู้เขียนคือเรื่องไหนที่จะเขียนถึงเรื่องนั้นต้องผ่านตาไม่มีคำว่านั่งเทียนเขียนแล้วถ้าเคยดูมาแล้วแต่จำรายละเอียดไม่ได้ก็จะทำแบบนี้คือกลับไปดูซ้ำ จึงเป็นที่มาของบทความนี้ที่ผ่านอุปสรรคมากมายจนกว่าจะออกมาจากสมองของผู้เขียนได้เพราะลืมจริงๆเฉินหรูหรง (เจี่ยจิ้งเหวิน) คือครูสอนภาษาจีนและนักเขียนนิยายที่ชีวิตน่าจะดูดีถ้าไม่ใช่ว่าจนป่านนี้ที่อายุสี่สิบเธอยังไม่ได้แต่งงานเห็นคานอยู่รำไร เฉินหรูหรงอยู่บ้านกับแม่คือหวังเหม่ยเหม่ย (บิลลี่ หวัง) ที่พยายามอย่างยิ่งที่จะหาคู่ให้กับลูกสาวคนโต ใช่แล้วเฉินหรูหรงยังมีน้องสาวอีกหนึ่งคนที่ออกไปอยู่ข้างนอกคือเฉินรู่หมิน (อลิซ เคอ) ที่แม้จะอยู่กับแฟนแต่ก็เจอผู้ชายห่วยแตกเลยต้องหอบหิ้วกันร้องเพลงพี่เสกซมซานกลับมาอยู่บ้านกับแม่และพี่ กระนั้นที่บ้านนี้มีเพียงผู้หญิงเพราะพ่อและสามีของบ้านเสียชีวิตไปนานห้าปีแล้วทำให้พี่เหม่ยหม่ยของเราเปลี่ยวเหงาจับใจเริ่มที่จะหาแฟนเพื่อคบหาดูใจอีกครั้งท่ามกลางเสียงทัดทานของเฉินหรูหรงแต่เฉินรู่หมินไม่ว่าอะไรเพราะมีผู้ชายเกาะเป็นปลิงอยู่หนึ่งคน ดังนั้นการเดิมพันด้วยศักดิ์ศรีจึงเกิดขึ้นระหว่างแม่กับลูกว่าใครจะหาแฟนได้ก่อนกันแต่ฝ่ายแม่ดันไปเจอกับผู้ชายที่ไม่พร้อมจะมีความสัมพันธ์เพราะลูก ในขณะเดียวกันฝ่ายลูกคือเฉินหรูหรงเหมือนจะได้เปรียบเมื่อเธอได้มาเจอกับรุ่นพี่ที่ดูแล้วมีใจให้คือหลิวเซียงหยู (อู๋คังเหริน) แล้วสงครามคราวนี้จะจบลงยังไงกันนะเดินหน้าด้วยความฮาโบ๊ะบ๊ะห้าบาทสิบบาทเก็บเรียบที่แม้จะไปทางเบาแต่ก็ยังเล่าเรื่องพื้นฐานของชีวิต ความจริงถ้ามองภาพรวมคือตอนต้นกับตอนปลายคล้ายกับไม่ใช่เรื่องเดียวกันนั่นคืออารมณ์เปลี่ยนจากตอนต้นเหมือนจะตั้งใจมาตลกเต็มที่แล้วตอนท้ายกลายมาเป็นดราม่าครอบครัว นั่นคือจุดเริ่มต้นมาจากความฉูดฉาดแสบคันเมื่อการปะทะกันระหว่างแม่หม้ายวัยอาม่าที่เปลี่ยวอุรากับลูกสาววัยใกล้ทึนทึก โดยมีตัวกลางคือลูกสาวหรือน้องสาวอีกคนที่จัดการชีวิตและความรักไม่ได้มาเป็นตัวกลางและเปรียบเทียบช่วงแรกจึงจัดหนักด้วยความฮาโบ๊ะบ๊ะสาดมุกกันเปรอะเปื้อนไปหมดห้าบาทสิบาทเก็บเรียบ กระนั้นก็เล่าบนพื้นฐานของชีวิตจริงเหมือนกับครอบครัวคนจีนสักครอบครัวที่ไม่มีหัวหน้าครอบครัวเป็นหลักข้างบ้านที่มักจะล้งเล้งแบบนี้ให้เห็นประจำ นั่นคือเล่าสภาพชีวิตจริงผ่านความฮาที่เหมือนคนจริงไปเรื่อยๆโดยที่ค่อยๆลดอาการโบ๊ะบ๊ะลงเพื่อพัฒนาไปสู่ความจริงจังทีละน้อยโดยที่ไม่ทิ้งโทนเบา และเพราะเล่าเรื่องพื้นฐานของชีวิตจึงไม่รู้สึกว่าเรื่องถูกปรับเปลี่ยนแต่มันกลายเป็นการค่อยๆเรียนรู้ชีวิตไปอย่างเนียนๆแม้ฉากหน้าเหมือนมาเอาฮาแต่เบื้องหลังยังฝังดราม่าที่เป็นเรื่องชีวิตธรรมดาที่ไม่เคยธรรมดาตามแบบไต้หวันสไตล์ เพราะงานไต้หวันมักจะเป็นแบบนี้คือการเล่าเรื่องที่เป็นมนุษย์ต่อให้เป็นแฟนตาซีหรือตลกขบขันก็จะเล่าเรื่องพื้นฐานเรื่องชีวิตธรรมดาได้อย่างธรรมดาและมันเป็นสไตล์ อย่างเรื่องนี้ความจริงคือเรื่องของมนุษย์ปุถุชนที่เหมือนจะธรรมดาแต่ไม่เคยธรรมดาเมื่อบางอย่างขาดหายไปในชีวิตนั่นคือการจากไปของความรักทั้งในความเป็นสามีและพ่อ แต่แล้วการจัดการชีวิตที่มีช่องวางต่างกันทำให้ความธรรมดาที่วันหนึ่งจะต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเพราะหลุมชีวิตที่ไม่ว่าใครก็ต้องเจอกลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดา เพราะชีวิตไม่ปกติการยอมรับสิ่งที่มาทดแทนก็คือเรื่องไม่ปกติการดำเนินชีวิตง่ายๆจึงไม่เคยง่าย นั่นหมายความว่าต่อให้เรื่องนี้ถูกนำหน้ามาโดยความตลกโปกฮาขำกันฟันปลอมกระจายแต่สุดท้ายก็คือเนื้อหาเป็นดราม่าที่เล่าได้อย่างสวยงาม และยังเล่าด้วยความเป็นปัจเจกเป็นมนุษย์ที่สุดเหมือนที่เคยเห็นจากงานไต้หวันเสมอมาและเมื่อถูกห่อหุ้มด้วยความฮาทำให้กลายเป็นความยอดเยี่ยมไปโดยปริยายเรื่องง่ายๆที่ไม่เคยง่ายกับความคมคายที่เป็นความหมายของการใช้ชีวิตปกติ ถ้าจะให้เปรียบความธรรมดาหรือความง่ายที่ไม่ง่ายของเรื่องนี้คือเวลาที่มีคนมาถามตอนเที่ยงหรือมื้อเย็นว่ากินอะไรดีแล้วคำตอบคืออะไรก็ได้ เพราะคำว่าอะไรก็ได้คือการไม่คิดถึงคนฟังว่าไอ้ที่ว่าอะไรก็ได้มันคืออะไรคือโยนให้คนอื่นตัดสินใจในสิ่งที่เราตัดสินใจไม่ได้ เช่นกันกับแง่มุมชีวิตที่แหลมคมในเรื่องนี้ที่อาจเหมือนความรั่วความฮาก๋ากันของอาม่าผู้เปลี่ยวเหงาและท้าทายด้วยการโหยหาความรัก ซึ่งมันดันไปสะท้อนกับลูกที่ยังไม่ลืมพ่อและมองว่าปูนนี้แล้วจะมามีความรักอะไรอีกในขณะที่ตัวเองก็เข้าใกล้ทึนทึกไปทุกที แต่แท้จริงแล้วแก่นของเรื่องอยู่ที่คำว่าครอบครัวที่บางครั้งอาจไม่ใช่สิ่งที่คุ้มหัวที่จะตอกตรึงความทรงจำไว้อย่างบ้านแต่มันคือความรักความเข้าใจที่อาจไม่จำเป็นต้องอยู่รวมกัน การรู้จักปล่อยมือและปล่อยวางและการมองความรักอย่างมีวุฒิภาวะที่สะท้อนมาในตัวละครน้องคนเล็ก สุดท้ายคือไม่ใช่ไม่รักหรือหมดรักแต่ชีวิตต้องเดินต่อไปเพื่อพบสิงดีๆใหม่ๆมิใช่จ่อมจมอยู่กับความทรงจำเดิมๆ ที่เจ๋งคือตีเนียนใส่ในความฮาก๋ากั่นแบบนั้นได้ลงตัวยิ่งอาจหมิ่นเหม่กับความน่ารำคาญแต่ถ้ามองให้ลึกกลับน่าสงสารเห็นใจเพราะใครก็อาจเป็นได้อย่างนั้น ผู้เขียนชอบในความน่ารำคาญของอาม่าวัยแซยิดที่ดันจะมาโหยหาความรักได้ทั้งรั่วทั้งฮาและเป็นอาม่าข้างบ้านที่แสนธรรมดาของป้าบิลลี่ หวัง ผู้เขียนชอบในการเอาคนสวยมีเสน่ห์มาแต่งเป็นคนธรรมดาที่ความน่ามองอาจจะไม่เกินร้อยแต่มีเสน่ห์ในบางลีลาที่ทั้งโก๊ะทั้งรั่วและเป็นสาวแก่ธรรมดาที่สุดของอลิสซา เจี่ยจิ่งเหวิน เช่นเดียวกันอลิส เคอที่เป็นหญิงสาวธรรมดาเป็นชนชั้นแรงงานที่เนียนตาทั้งที่เรื่องก่อนๆหรือต่อๆมาเธอมีความสวยสง่าและเรื่องนี้ออกประมาณสก๊อยอกหัก ผู้เขียนชอบการแสดงที่รั่ว เวอร์ ล้นในบทรุ่นพี่ที่ดูๆไปก็แปลกๆที่มีเสน่ห์ให้สาวแก่ที่ยังโสดได้หลงไหลหรือการเป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อที่เป็นคนธรรมดาได้อย่างน่าทึ่งของอู๋คังเหริน เพราะเรื่องนี้คือกาเล่าเรื่องชีวิตคนธรรมดาการแสดงเป็นคนธรรมดาที่น่าเชื่อถือของเหล่านักแสดงจึงเป็นส่วนสำคัญให้เมื่อมองลึกถึงข้างในตัวละครเหล่านั้นต่อให้น่ารำคาญแต่ถึงที่สุดก็น่าเห็นใจเหมือนมองคนข้างบ้านที่ตื่นมาก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันบันเทิงจัดๆที่สารภาพว่าคิดว่าผิดปกติเพราะงานไต้หวันมักไม่มาทีเล่นแต่ความจริงคือเหมือนจะเล่นแต่หนักเอาการ เพราะเลือกเล่าเป็นโทนเบาสมองที่ตั้งใจมาเป็นคอมมิดี้เต็มที่ที่สารภาพเลยว่าตั้งแต่ดูซีรีส์ไต้หวันมาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีที่ตั้งใจมาเอาฮาแบบนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเป็นซีรีส์ไต้หวันหรือรวมหนังด้วยก็ได้ที่มักจะเล่าเรื่องดราม่าที่จัดจ้านไว้เสมอ เช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่เอาจริงคือเป็นความบันเทิงจัดๆเพราะตั้งในมาถล่มคนดูด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะตั้งแต่ตอนแรกยันตอนสุดท้ายที่มองจากเบื้องหน้านี่คืองานตลกโปกฮาที่คล้ายมาเป็นทีเล่น แต่สิ่งที่เป็นคือเอาจริงหนักมากคือเรื่องเบื้องหลังนั้นเล่นเรื่องที่หนักหน่วงทั้งในมุมของครอบครัวที่การอยู่ด้วยกันต้องปะทะกันแต่การไม่ได้อยู่ด้วยกันคือคิดถึงกัน รวมถึงการใช้ชีวิตที่ไม่ยึดติดและติดปีกหัวใจให้โบยบินสู่อิสระที่บางครั้งต้องแลกกับบางอย่างที่เล่าได้สนุกที่สำคัญคือมันกลายเป็นความสนุกที่ตั้งอยู่บนภาพความเป็นจริง เพราะเรื่องที่เล่าไม่มีใครปฏิเสธได้หรอกว่าไม่ใช่เรื่องที่เคยเห็นจริงๆในสังคมจริงๆหรือในคนจริงๆและอาจบางทีเกิดขึ้นกับตัวเองก็เป็นได้ดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram momdontdothat ถ้าคุณชอบซีรีส์ไต้หวัน คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/vGgodPbxy1MGhttps://entertainment.trueid.net/detail/o2roZovGRgYOhttps://entertainment.trueid.net/detail/mOom95okmmjrhttps://entertainment.trueid.net/detail/3DG24vv4VNbk จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !