Series Review Saare Jahan Se Accha (2025) ผู้พิทักษ์ในความเงียบ เล่าเรื่องจริงอิงความบันเทิงได้อย่างเข้มข้นลุ้นระทึกเร้าใจในทางบีบอารมณ์ไม่ชาตินิยมจนเกินงามในซีรีส์สายลับฉบับสมจริงจากอินเดีย ยอมรับโดยดีว่าเดี๋ยวนี้ผู้เขียนเริ่มเห็นซีรีส์อินเดียไม่ได้แล้วหรืออาจเรียกได้ว่าถอนตัวไม่ขึ้นในภาวะที่เหมือนหมด Passion ในการดูซีรีส์ที่เป็นอะไรที่ยาวๆด้วยเหตุที่พลังกายไม่ไหวเพราะไม่มีเวลาและทำงานหนัก แต่ซีรีส์อินเดียอาจมีความต่างอันนี้เน้นเอาที่ซีรีส์ที่ออกทุนสร้างโดย NETFLIX ที่ตีตราพะยี่ห้อว่า NETFLIX Series ที่จะมีความต่างจากซีรีส์อินเดียแท้ๆทั่วไป ซึ่งเอาจริงซีรีส์ที่สร้างโดยค่ายนี้จากทุกที่ที่ได้เคยผ่านตามาจะมีความเป็นสากลกว่าของแท้ท้องถิ่นคืออาจทำให้คนดูต่างประเทศอย่างเราๆนี่ล่ะเข้าถึงง่ายกว่า แล้วเมื่ออินเดียปรับตัวสิ่งที่ตามมาคือความกระชับในเนื้อหาที่เดินเรื่องอย่างมีชั้นมีเชิงซึ่งการเขียนบทของทางอินเดียในปัจจุบันมันพิสูจน์ให้เห็นหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าถ้าจะมาเหนือเมฆอินเดียก็ไม่น้อยหน้าใคร ถึงขนาดที่ว่าคุณแม่บ้านของผู้เขียนนี่ล่ะที่เผลอดูซีรีส์อินเดียเรื่องก่อนหน้าที่นางยังออกปากมาว่าไม่น่าเชื่อว่าอินเดียจะทำแนวนี้กับ Mandala Murders แล้วทีนี้มาว่ากันที่แนวสายลับบ้างซึ่งขึ้นชื่อว่าอินเดียแล้วมันน่าสนใจว่าจะทำถึงได้ขนาดไหน หลังการถูกลอบสังหารที่กลายมาเป็นโศกนาฏกรรมของนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ชาวอินเดีย Vishnu Shankar (Pratik Gandhi) เจ้าหน้าที่ข่าวกรองที่พบแผนลอบสังหารก็อยู่ในภาวะจิตตกที่ไม่สามารถยับยั้งได้ แต่เมื่อทางปากีสถานที่เป็นเพื่อนบ้านอริตลอดกาลมีความต้องการระเบิดนิวเคลียร์และทำการอย่างลับๆเพื่อโครงการนิวเคลียร์ ทางหน่วยสืบรายการลับของอินเดีย RAW (Research and Analysis Wing) ที่ระแคะระคายแต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรที่แน่นอนจึงส่ง Vishnu ไปยังปากีสถานในฐานะทูตเพื่อสืบหาว่าปากีสถานกำลังทำอะไร แต่ที่นั่นก็มี Murtaza Malik (Sunny Hinduja) หัวหน้าหน่วยข่าวกรอง ISI (Inter-Services Intelligence) ที่รู้ว่า Vishnu มาเพื่อการใดรอรับอยู่ แล้วการช่วงชิงการข่าวก็ดำเนินไปพร้อมความก้าวหน้าของโครงการนิวเคลียร์ของปากีสถานโดยที่ทางฝ่าย Vishnu และอินเดียต้องทำการแบบลับๆ ส่วนทางปากีสถานนำโดย Murtaza สามารถทำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งสังหารใครก็ได้แล้วอินเดียจะหยุดยั้งโครงการที่จะกลายเป็นหายนะนี้ได้อย่างไร เล่าเรื่องจริงอิงความบันเทิงได้ขึงขังแข็งแรงแน่นหนาไม่ชาตินิยมจนเกินงามทำให้เหมือนไม่มีฝ่ายดีฝ่ายร้ายแต่เป็นหน้าที่ของใครของมัน นี่คือการอ้างอิงจากเรื่องจริงของหน่วยสืบราชการลับของอินเดียที่ถูกก่อตั้งขึ้นหลังเกิดสถานการณ์อันตรายหลายบุคคลในเรื่องมีตัวตนจริงและแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด และสิ่งที่อาจเป็นได้ทั้งความยอดเยี่ยมและรอยด่างพร้อยก็คือการเขียนบทที่ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องจริงนั่นเอง เพราะเห็นชัดเลยถึงความขึงขังของบทที่ไม่มีจะแวะพักผ่อนคลายเดินไปข้างหน้าด้วยความแข็งแรงแน่นหนาไม่มีช่องโหว่ ที่สำคัญคือความน่าแปลกที่ไม่ชาตินิยมจนเกินงามผิดกับที่ผ่านมาถ้าจะเอ่ยถึงความเป็นอริกันของสองเพื่อนบ้านอินเดียกับปากีสถาน นั่นทำให้มันมีความพอเหมาะในตัวเพราะบทแม้จะออกตัวชัดในการหยุดแผนการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ของปากีสถานจากฝ่ายอินเดียแต่ไม่ถึงกับผลักให้เป็นผู้ร้ายที่ชั่วช้า โดยการวางสองตัวละครเอกทั้งสองฝ่ายให้ทำเต็มที่เพราะหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อชาติแม้จะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตามซึ่งนับว่าดีที่มันดูจริง บีบอารมณ์จนลุ้นระทึกเพื่อรอคอยความพลิกผันกับการชิงความได้เปรียบกันอย่างบันเทิงสุดฤทธิ์ ถ้าจะให้นิยามนี่คือซีรีส์แนวสายลับที่มาเพื่อความลุ่มลึกเน้นระทึกเร้าใจมากกว่ากระโตกกระตากไม่งั้นมันก็ไม่ลับ จุดเด่นคือการบีบอารมณ์ตั้งแต่เริ่มต้นกับจุดเริ่มของการก่อตั้งหน่วยข่าวกรองของอินเดียที่กลายมาเป็นหนึ่งหน่วยข่าวกรองที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของโลก แน่นอนเมื่อเล่าเรื่องสองทางคือทางฝ่ายอินเดียและปากีสถานสิ่งที่ตามมาคือการชิงเหลี่ยมกันทางด้านข้อมูลสำคัญเมื่อปากีสถานทำทุกอย่างเพื่อปกปิด ส่วนทางฝ่ายอินเดียทำทุกอย่างเพื่อเอาข้อมูลลับนั้นมากางออกเพื่อที่จะให้ประชาคมโลกรู้และช่วยกันยับยั้งนั่นคือการชิงไหวชิงพริบและความสนุกมันก็อยู่ตรงนี้เอง เมื่ออะไรที่คิดมักจะไม่เป็นอย่างที่คิดความพลิกผันสถานการณ์เปลี่ยนแปลงจึงเข้ามาเรื่อยๆซึ่งร้อยทั้งร้อยคนดูจะเข้าข้างอินเดียซึ่งมันก็แน่ล่ะสิเพราะนี่คือซีรีส์อินเดีย และนั่นคืออารมณ์ที่ถูกบีบเรื่อยๆค่อยๆขมวดจนความอยากรู้บทสรุปทำงานอย่างเต็มที่โดยมีสถานการณ์มาเป็นตัวเร่งอย่างเหมาะเหม็ง อาจไม่ได้ประจันหน้ากันตรงๆมากมายแต่กลายเป็นการเชือดเฉือนกันอย่างสุดทางทางการแสดง โดยปกติแล้วเท่าที่ผู้เขียนดูซีรีส์อินเดียมาซึ่งส่วนมากเป็นงาน NETFLIX Original เช่นเดียวกับเรื่องนี้ถ้าจะมีอะไรให้ติอย่างแรกเลยคือการแสดงที่มักมีขาดมีเกินตามประสางานระดับซีรีส์ ทว่ากับเรื่องนี้กลายเป็นความเนี้ยบทางการแสดงแม้ว่าเอาจริงยังมีอาการโดดไปโดดมาของตัวละครที่รายล้อมสองนักแสดงหลักแต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะนี่คือการประชันบทบาทกันที่เหมือนเป็นตัวแทนของทั้งสองฝ่ายหรืออาจเรียกง่ายๆว่าเป็นเงาในกระจกของกันและกัน ที่สำคัญนักแสดงนำทั้งสองคนคือ Pratik Gandhi ตัวแทนฝ่ายอินเดียกับ Sunny Hinduja ตัวแทนฝ่ายปากีสถานแทบไม่ได้เผชิญหน้ากันตรงๆเลย แต่กลับเชือดเฉือนกันตามที่บทต้องการได้อย่างถึงพริกถึงขิงไม่มีใครยอมใครเรียกได้ว่ารับผิดชอบหน้าที่กันได้อย่างสมบูรณ์แบบไปสุดทาง ทำให้กลายเป็นแรงส่งชั้นดีที่เมื่อคนดูรู้ว่าข้างในเขาคิดอะไรรู้สึกยังไงมันก็คืออารมณ์ร่วมที่ถูกสร้างขึ้นมาได้นั่นเอง เป็นงานแนวสายลับที่เน้นความสมจริงอาจเพราะอ้างอิงจากเรื่องจริงทำให้เป็นความลุ่มลึกบีบอารมณ์ให้ลุ้นมากกว่าอึกทึก ทีนี้มาว่ากันที่ความรู่สึกส่วนตัวล้วนๆไม่เกี่ยวกับมาตรฐานใดๆนี่คืองานแนวสายลับที่เอาดีได้แต่ยังมีอะไรมากมายที่เป็นบาดแผล แน่นอนเรื่องประมาณนี้เล่าเป็นซีรีส์ย่อมดีกว่าเป็นหนังแต่หนังอินเดียส่วนมากมักจะยาวประมาณสองชั่วโมงกว่าซึ่งถ้าจะให้พอมันก็พอ แต่เมื่อมาเป็นซีรีส์เห็นขัดว่ามีอะไรให้เล่ามากแต่เวลาจำกัดแค่หกตอนตอนละ 30 - 40 นาทีทำให้ยังมีอะไรดูหลุดๆไปแม้จะมีบทที่หนาแน่น และยังมีตอนสุดท้ายที่รวบรัดเหมือนหมดเวลาแล้วยังไม่รวมถึงตัวละครมากมายที่มาแล้วก็ไปไปแล้วก็มาและยังมีความพยายามลงลึกถึงอารมณ์ดราม่าที่มาเพื่อจับใจที่ยังไปไม่ถึงฝั่ง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะด้วยจำนวนตอนที่น้อยเวลาในแต่ละตอนไม่มากทำให้เดินหน้าไปเร็วเมื่อบวกกับความสมจริงจากการอ้างอิงจากเรื่องจริงสิ่งที่ได้คือต้องการให้ได้ลุ้นก็ลุ้นได้ และอาการเหล่านั้นมาพร้อมความลุ่มลึกทางอารมณ์โดยไม่ต้องอึกทึกครึกโครมก็ได้ ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4,5,6,7 จาก Instagram netflix_in รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!!