#หีบหายชวนดู “THE CAVE นางนอน” เรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ ณ.ความจริงเข้าโรงฉายได้ไม่นาน ก็กลายเป็นกระแสดราม่าสนั่นโลกโซเชียลกันเลยทีเดียว สำหรับภาพยนตร์กึ่งสารคดีที่ถ่ายทำจากเรื่องจริงของ “ทีมหมูป่า” ทั้ง 13 ชีวิตที่เข้าไปติดอยู่ในถ้ำขุนน้ำนางนอน โดยกระแสนั้นก็ตีออกเป็นหลายๆ เสียง หลายๆ ฝ่าย ทั้งปลื้มบ้าง ไม่ปลื้มบ้าง...แต่ผมขอเป็นคนที่ไม่อยู่ส่วนไหนเลยสักทีม ขอนั่งชิงช้าแล้วโล้ไปมาอยู่ในสนามหญ้าหลังบ้านของผมอย่างสบายใจดีกว่า เพราะข้างนอกรั้วพายุดราม่ามันแรงครับผมไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าฉาย เพราะอยากดูมานานแล้ว อาจจะตั้งแต่ที่รู้ว่าจะมีการสร้างมันขึ้นมาเลยก็ว่าได้ อยากรู้ว่ารูปแบบหนังที่ทำออกมานั้นจะถูกนำเสนอไปในแนวทางไหน หรือมีการเดินเรื่องไปในทิศทางใด และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ อยากรู้ว่าเขาจะหยิบเรื่องราวที่เป็นกระแสสุดจี๊ดจ๊าด ณ ช่วงเวลาที่เกิดเรื่องขึ้นมาใส่ในหนังหรือเปล่า...ความอยากรู้นี้ทำให้ผมตีตั๋วเข้าไปเพื่อพิสูจน์กับเรื่องราวทันทีด้วยความที่ผมเกาะติดสถานการณ์การช่วยทีมหมูป่าอยู่ตลอดตั้งแต่วันแรกๆ ทำให้ผมรู้ว่าเรื่องราวมันจะเริ่ม หรือจบลงอย่างไร นั่นจึงไม่ใช่จุดประสงค์ที่ผมจะเข้าดูหนังเรื่องนี้ครับ อย่างที่ใครๆ ก็รู้ว่าน้องๆ รอดชีวิตออกมาได้อย่างปลอดภัย แต่สิ่งที่ผมอยากรู้คือ “มีอะไรอีกไหมที่นอกเหนือจากการนำเสนอข่าว” หรือในมุมมองที่นักข่าวไม่อาจจะนำเสนอออกมาได้ทั้งหมด นั่นคงจะเป็นสิ่งหลักๆ ของผมที่คาดหวังเรื่องราวเริ่มต้นด้วยการที่โค้ชเอกและน้องๆ ซ้อมฟุตบอลเสร็จ ก่อนจะพากันไปเที่ยวถ้ำ เรื่องราวเดินไปไวมาก ว่าทุกคนติดอยู่ในถ้ำ มีเจ้าหน้าที่มาพบ และประสานงานช่วยเหลือ และเพียงไม่กี่นาทีของเรื่อง ก็เข้าสู่การค้นหาต่างๆ ทันทีด้วยความที่หนังซึ่งเป็นการถ่ายทำของชาวต่างชาติ เรื่องราวหลักๆ ของจุดนี้คือการนำเสนอมุมมองจากฝั่งทหารต่างชาติที่เข้ามาช่วยเสียส่วนใหญ่ ว่ามีการวางแผนอย่างไร ดำเนินการอย่างไร และความละเอียดอ่อนในการช่วยเหลือเด็กนั้นต้องคำนึงถึงอะไรบ้างความเจ็บปวดเล็กๆ ของหนังเรื่องนี้คือการแสดงออกในความยุ่งยากของการดำเนินงานต่างๆ ที่ปรากฏ การช่วยเหลือบางส่วนล่าช้าเพียงเพราะไม่ได้ติดต่อขอใบเอกสารการอนุญาต หรืออะไรอีกมากมาย นั่นทำให้การช่วยเหลือใครช่วงแรกนั้นผิดพลาดไปหมดแต่มันก็ค่อยๆ คลี่คลายไปอย่างช้าๆเรื่องราวระหว่างที่ติดถ้ำกระทั่งถูกทหารพบเจอนั้นเดินเรื่องไปเร็วมากๆ จนแทบจะไม่ทันตั้งตัวเลยทีเดียว แต่เพราะติดตามข่าวมาตลอดเลยรู้สึกอินไปกับส่วนนั้นประมาณหนึ่ง และหลังจากนั้น คือวิธีการคิดและหาวิธีแก้ไข รวมทั้งจะทำอย่างไรเพื่อช่วยเอาเด็กๆ ออกมาผมชอบในส่วนนี้มากที่สุด เพราะเรื่องราวนั้นเปลี่ยนผ่านสลับไปยังทีมค้นหาชาวต่างชาติที่เข้ามาช่วย นั่นทำให้หนังเรื่องนี้มีความเป็นสัดส่วนของหนังมากกว่าสารคดีแบบเพียวๆจิม นักดำน้ำที่เข้ามาช่วยนั้น มีการย้อนเรื่องราวกลับไปว่าเขาเคยเสียเพื่อนจากการดำน้ำไปเมื่อหลายปีก่อน และการมาดำเนินการครั้งนี้ เขามาหลังจากที่ทราบว่ามีเจ้าหน้าที่หนึ่งท่านได้เสียชีวิต จึงทำให้เรื่องราวนั้นดิ่งลึกและกดดัน เพราะตัวนักว่ายน้ำท่านนี้เองก็มีภรรยาที่แอบไม่เห็นด้วยเล็กๆ ที่เขาจะมาช่วยทีมหมูป่า ทว่าเธอเป็นภรรยาที่ดี ที่ยอมให้สามีเข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้ด้วย ตรงนี้บีบอารมณ์ผมสุดๆ ไปเลยครับ เรียกได้ว่าแค่บางประโยคสนทนาสั้นๆ มันสะท้อนให้เห็นถึงความกังวล และความห่วงหาอย่างชัดเจนการนำเสนอเรื่องราวจะแบ่งบางส่วนไว้เป็นส่วนของความเชื่ออีกด้วย ทั้งฉากที่มีการสดมนต์ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฉากของครูบาที่เข้ามาเยียวยาชาวบ้านทางด้านจิตใจ และทหารเจ้าหน้าที่ไทยที่ค่อยๆ ปฏิบัติงานในส่วนของตัวเอง และฉากที่เรียกเสียงฉาที่สุดก็คงจะเป็นฉากการปรากฏตัวที่สำคัญของคนที่คุณก็รู้ว่าใคร ในส่วนนั้นมีมุกและบทสนทนาเล็กๆ ที่เรียกรอยยิ้มได้ท่ามกลางความกดดันครับ(แอบลุ้นว่าจะมีร่างทรงมายืนร้องไห้หน้าถ้ำไหม ? แต่วางใจได้ครับ...ไม่มี)ท้ายที่สุด ผมก็ได้เห็นจากหนังเรื่องนี้ถึงวิธีการขนย้ายน้องๆ รวมทั้งโค้ชเอกออกมา ว่าทางเจ้าหน้าที่พิเศษที่เข้ามาช่วยนั้นใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่ไหน ทั้งเรื่องปริมาณยาที่จะฉีดให้กับทีมหมูป่า หรือขนาดของหมวกที่สวม จะต้องพอดี ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป ที่สำคัญต้องไม่มีช่องว่างเลยแม้แต่น้อย เพราะนั่นหมายถึง...คุณจะพาเด็กไปจมน้ำตายกลางทางแน่ๆความกดดันของเรื่องราวแทรกซึมมาด้วยความอบอุ่นที่ได้เห็นว่าทุกๆ ฝ่ายนั้นช่วยเหลือเด็กๆ ออกมาด้วยความยากลำบากเพียงใด แต่อีกมุมหนึ่งก็มีการใส่เรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึงระบบการจัดการต่างๆ ของไทยเราอีกด้วย ซึ่งตรงนี้กระมังที่ออกมาดราม่ากัน...ถ้าจะให้ผมใส่ความเห็นส่วนตัวลงไปในการรีวิวนี้ ผมแค่รู้สึกว่า “ก็จริง” เพียงเท่านั้นครับกระทั่งหนังจบลงแล้ว ผมก็ยังรู้สึกว่าทุกๆ อย่างมันจริงเสียเหลือเกินผมบอกไม่ได้ว่าหนังเรื่องนี้ดีหรือไม่ หรือไม่อาจกระทั่งให้คะแนนเฉกเช่นเพจอื่นๆ เพราะนี่เป็นเพียงการนำเสนอความคิดเห็นในรูปแบบของผมเองเพียงเท่านั้น ทว่าหากจะให้ผมชวนนักอ่านทุกคนไปดูละก็ ผมว่ามันคุ้มค่ากับการตีตั๋วเข้าไปดูครับ แล้วสัมผัสด้วยตัวเองว่าเรื่องราวทั้งหมด มันสะท้อนอะไรในความเป็นจริงบ้าง และให้ข้อคิดอะไรกับความรู้สึกของเราผมรู้สึกว่าหนังไม่ได้เน้นส่วนประกอบอื่นๆ มากเกินไป อย่างเช่นฉากของจ่าแซมที่มีมาเพียงสั้นๆ แต่นั่นกลับทำให้ผมใจหล่นวูบอยู่นาน รู้สึกว่าดีเหลือเกิน ที่นำเสนอมาเพียงเท่านั้น เพราะมันคงบาดหัวใจผมไปอีกนานถ้าเรื่องราวมันจะขยี้ในส่วนนั้นจนเกินพอดีไป เพราะเพียงแค่ฉากสั้นๆ นั้นก็ทำผมวูบโหวงไปแล้ว ผมยังคงร้องไห้กับการเสียสละครั้งนั้น ทั้งตอนที่เกิดเรื่องและตอนที่ดูหนังเรื่องนี้...นั่นอาจจะเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ตราตรึงใจของผม วีรบุรุษผู้เสียสละตอนที่เดินออกจากโรงมา ผมยังถามตัวเองว่าพลาดอะไรไปหรือเปล่า หรือเก็บรายละเอียดตรงไหนไม่พอไหม ?แต่ผมกลับไม่ได้คำตอบ เพราะผมรู้แล้วว่าทั้งหมดคือการเก็บบันทึกเรื่องราวเอาไว้ ตัวหนังไม่ได้มีสัญญะอะไรให้เราเก็บ เพียงแค่มีความเจ็บจากการที่โดนชาวต่างชาติสะท้อนกลับออกมาก็เพียงเท่านั้นสุดท้ายนี้เรื่องราวทั้งหมดหลังจบลงจึงกลายเป็นกระแสว่าหนังเรื่องนี้มันดีจริงหรือ ควรค่าหรือ หรือกระทั่ง มีความจริงลงไปกี่เปอร์เซ็นต์กันแน่ ผมจะไม่ถกประเด็นนี้กับใครเด็ดขาด เพราะตอนที่ผมขับรถกลับบ้าน มันมีเพียงประโยคเดียวที่เป็นคำตอบในความรู้สึกที่แสนวูบไหวทั้งหมดของผม“BASED ON TRUE STORY”คุณ...ควรได้สัมผัสกับคำๆ นี้ ด้วยตัวคุณเองขอบคุณรูปภาพประกอบเพจ THE CAVE-นางนอน https://web.facebook.com/thecavenangnon/