Movie Full Review: A Year-end Medley (2021)เดินเรื่องด้วยเสน่ห์นักแสดงชั้นแนวหน้าคับคั่งที่ไหลลื่นจนยิ้มไม่หุบ...ดูแล้วมีความสุขอาจเพราะการดูหนังสักเรื่องคือความตั้งใจจะรับความบันเทิงเป็นปฐม เมื่อตัดสินใจดูหนังเรื่องใดแล้วไซร้ก็มักจะแสวงหาความสุข และเพราะความสุขของคนเราไม่เหมือนกันความต่างกันของแนวหนังที่ใจบอกว่าใช่ของแต่ละคนจึงเป็นตัวกำหนดความบันเทิง แต่ก็มีหนังอยู่แนวทางหนึ่งที่ความจริงก็อาจไม่ใช่ทุกคนจะชอบหรือรักที่จะดู แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือเมื่อดูแล้วต่อให้ไม่ใช่แนวก็จะดูแล้วมีความสุขนั่นคือหนังที่ดูแล้วทำให้รู้สึกดี ดูแล้วหัวใจฟูฟ่องล่องลอยที่ภาษาวัยรุ่นข้างบ้านเรียกว่า "ดีต่อใจ" และหนังแนวนี้คือความชัดเจนที่จะมามอบความสุขให้คนดูไม่ว่าทางไหนจะด้วยเนื้อหาหรือว่านักแสดงที่คนดูชื่นชอบ แม้ว่าบางครั้งอาจไม่ถึงกับเป็นงานที่ไร้ที่ติแต่เมื่อเจตนาของหนังทำหน้าที่ของมันได้คือทำให้คนดูดูแล้วมีความสุขดูแล้วรู้สึกดีเพราะการดูหนังแนว Feel Goodอาจเพราะโลกปัจจุบันมนุษย์ต้องเจอกับสถานการณ์การใช้ชีวิตที่ยากลำบากมากขึ้นจนอาจทำให้พลังทางใจถดถอยด้อยค่าความรู้สึกตนเอง หนังสักเรื่องหรือละครสักตอนก็อาจช่วยเยียวยาได้ในช่วงเวลาหนึ่ง และมันคงเป็นเช่นนี้ไปทั่วโลกเพราะวงจรชีวิตในแต่ละวันของมนุษย์โลกได้หมุนตามพลวัตรความเปลี่ยนแปลงไปเรียบร้อย วงการบันเทิงจึงอาสามาปลอบประโลมหัวใจที่อ่อนล้าของผู้คนที่สนับสนุนพวกเขาเรื่อยมา ดูไปบ่นไปจึงได้เจอกับหนังเรื่องนี้ที่เห็นชัดว่าอาสามาปลอบประโลมสังคมหลังจากภาวะวิกฤติ เพื่อส่งความสุขในช่วงเวลาแห่งความสุขก่อวันสิ้นปีด้วยการระดมนักแสดงระดับแนวหน้ามากมายรวมถึงนักแสดงที่ผู้เขียนตั้งใจจะดูคือฮันจีมิน และหนังเสนอตัวออกมาเป็นแนวที่ดูแล้วดีต่อใจแต่ก็เห็นชัดว่าได้รับอิทธิพลหรือแรงบันดาลใจมาจากหนังตะวันตก แต่นั่นจะเป็นไรไปเมื่อความหมายและเจตนาทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ A Year-end Medleyเรื่องย่อเรื่องของคนมากมายที่เหมือนมีชะตาเกี่ยวพันกับโรงแรม Emross หนึ่งคือผู้จัดการโรงแรมโซจิน (ฮันจีมิน) ที่กำลังจะสูญเสียเฟรนด์โซนที่มีไว้เพราะเพื่อนสนิทที่เธอคิดอะไรเกินกว่านั้นคือซองฮโย (คิมยองกวัง) กำลังจะแต่งงาน อีกหนึ่งคือแม่บ้านทำความสะอาดห้องอียอง (วอนจินอา) ผู้ใสซื่อและมีความฝันที่ความเป็นเธอไปต้องใจยองจิน (อีดงอุค) ประธานบริหารโรงแรมที่กำลังต่อสู้กับกรรมการบริหาร อีกหนึ่งคือแจยอง (คังฮานึล) ชายผู้ที่เหมือนโลกไม่เข้าข้างและตัดสินใจจะมาจบชีวิตที่โรงแรมแห่งนี้ในวันสิ้นปีแต่เสียงโทรปลุกของพนักงานทุกเช้ากลับทำให้หัวใจที่เหี่ยวเฉามีอะไรขึ้นมาบ้าง อีกหนึ่งคืออีคัง (ซอคังจุน) นักร้องชื่อดังที่กำลังตัดสินใจที่จะเซ็นสัญญากับค่ายใหญ่หลังจากต่อสู้ร่วมกันมากับซังฮุน (อีกวังซู) พี่ชายและผู้จัดการและเขาจะมาเปิดการแสดงที่นี่ อีกหนึ่งคือพนักงานต้อนรับหน้าโรงแรมซังคยู (จุงจินยอง) ที่ได้เจอกับรักแรกแคทเธอรีน (อีฮเยยอง) อีกครั้งเมื่อวัยไม้ใกล้ฝั่งเพราะรายหลังจะมาจัดงานแต่งงานลูกสาวที่นี่ ซึ่งก็คือยองจู (โกซึงฮี) ว่าที่เจ้าสาวของซองฮโยเฟรนด์โซนของโซจินที่กำลังรู้สึกบางอย่างเมื่อว่าที่เจ้าบ่าวยังไม่ยอมขอแต่งงาน และสุดท้ายคือเซจิก (จูจุนยอง) น้องชายของโซจินที่กำลังต้องการสารภาพรักกับอายอง (วอนจีอัน) ทุกผู้คนมากหน้าจึงมาเกี่ยวพันกันไม่ว่าทางใดทางหนึ่งเพื่อที่จะค้นพบมิติทางใจของใครของมันรวมถึงคนที่ผ่านเข้ามาอย่างจินโฮ (อีจินอุค) ชายที่มานัดบอดที่ห้องอาหารโรงแรมนี้เกินกว่ายี่สิบครั้งแต่รับประทานแห้วเสมอมาเพราะมีเหตุผลบางอย่าง แต่จะด้วยความซับซ้อนใดก็ตามหัวใจของแต่ละคนก็มีอะไรอยู่เบื้องหลังเพื่อที่จะก้าวผ่านและมีความสุขกับเทศกาลแห่งความสุขของมวลมนุษยชาติในวันสิ้นปีมากคนมากความแต่ผูกสัมพันธ์ได้ดีพอตัวแม้จะมีบางเรื่องลอยออกมาก็ไม่เป็นไรเพราะเรื่องยังลื่นไหลและดูสนุกแรกเลยที่ผู้เขียนสะดุดตานอกจากรายชื่อนักแสดงที่ยาวเป็นหางว่าวคือชื่อผู้กำกับกวักแจยองผู้มอบงานคลาสสิคไว้ประดับวงการและหิ้งหัวใจคนดูมากมายอาธิ My Sassy Girl (2001) , The Classic (2003) หรือ Windstruck (2004) จึงเชื่อขนมกินได้ในการถ่ายทอด และเช่นกันเมื่อเห็นรายชื่อนักแสดงและธีมของเรื่องไม่มีทางที่จะไม่คิดถึงหนังคลาสสิคอย่าง Love Actually (2003) หรือจะนับงานที่มีดีพอตัวอย่าง New Year's Eve (2011) ก็ย่อมได้ ที่เล่าเรื่องของมากคนมากความรักและมิติทางใจที่มีอะไรเกี่ยวพันกันไม่มากก็น้อย ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเพราะเรื่องความรักและเรื่องแบบนี้มันมีความเป็นสากลสามารถเล่าในบริบทสังคมไหนก็ได้ และเป็นแรงบันดาลใจชั้นดีในการสร้างงานขึ้นมาเพราะเมื่อมากมุมมากประเด็นความยากคือการผสานเรื่องราวให้เข้ากันให้ได้เรื่องจึงจะดูเป็นเนื้อเดียวกันและไหลลื่นแต่ถ้าจะให้ว่ากันตามตรงหนังเรื่องนี้ยังไปไม่ถึงจุดนั้นเมื่อมีบ้างที่ความหลากหลายแยกออกจากกัน หรือถ้าจะให้ชัดคือเห็นความพยายามเชื่อมโยงให้ได้แม้ว่าไม่มีก็ไม่เป็นไรเช่นเรื่องของน้องชายฮันจีมินที่เห็นชัดเลยว่าใส่เรื่องรักวัยรุ่นมาเพื่อให้เป็นมิติอีกหนึ่งช่วงวัย ที่ความจริงไม่ต้องมีเรื่องความรักแต่ให้ตัวละครของน้องมาเป็นตัวเสริมจะดูลงตัวกว่าและหนังอาจจะกระชับไปได้ร่วมยี่สิบนาที แต่เมื่อใส่มาแล้วจึงเห็นว่าจงใจเพราะเชื่อว่าคนดูหลายคนจะรู้สึกว่าความรักและเป้าหมายของรุ่นเล็กเป็นส่วนเกิน ซึ่งที่จริงจุดที่สังเกตได้ในบทหนังก็มีประปรายตลอดทางคือมองเห็นชัดเจนเลยว่าบางเรื่องก็โดดบางเรื่องก็บาง แต่สิ่งที่ทำให้หนังยังคงไหลลื่นแม้จะมองเห็นข้อบกพร่องทั้งเล็กใหญ่คือหนังมีเจตนาที่ชัดเจนในการปลอบประโลมหัวใจคนดูให้รู้สึกดีผ่านมิติตัวละครที่ไม่ได้มีแค่ฉากหน้าแต่ข้างหลังยังมีพื้นฐานทางใจให้จับต้องทั้งเรื่องของความรักต้องห้ามของเพื่อนสนิทที่คิดละเมิดเฟรนด์โซน เรื่องของความรักของหนุ่มสาวที่มีรายละเอียดปลีกย่อยให้ระลึกก่อนจะใช้ชีวิตคู่ เรื่องของคนที่มีความฝันและพยายามไล่ตามแม้จะเลือนลาง เรื่องของความรักที่ไม่สนว่าจะเป็นชนชั้นไหนจะเป็นประธานรักแม่บ้านก็ไม่ใช่เรื่องผิด หรือความรักที่เคยพลาดคลาดแคล้วกันไปแต่ในหัวใจยังมีความรู้สึกดีที่ฝังไว้เพราะไม่มีใครลืมรักแรกได้ หรือเรื่องของความมุมานะที่ไม่ได้รับผลของความอดทนจนเหมือนไร้สิ้นพลังชีวิตแต่เพียงหนึ่งกำลังใจจากเสียงที่ไม่เห็นหน้าก็คือหยาดน้ำทิพย์ หรือเรื่องของพี่น้องที่ต้องต่อสู้กับความยากลำบากในการยืนหนึ่งในวงการบันเทิงที่วันหนึ่งต้องถึงจุดที่ตัดสินใจ และเรื่องปลีกย่อยมากมายที่แฝงไว้ข้างหลังในเรื่องของพื้นฐานตัวละครและพื้นฐานทางหัวใจของทุกคน ที่อาจเป็นเรื่องน้อยนิดแต่มีผลมหาศาลกับความรู้สึกเช่นของในตู้เซฟ ด้วยความที่หนังเลือกเล่าเรื่องของคนหลายหน้าที่หลากชนชั้นฐานะตั้งแต่แม่บ้านทำความสะอาดหรือพนักงานรับแขกหน้าโรงแรมไปจนถึงท่านประธาน จึงมองเห็นทัศนคติเชิงบวกและให้เกียร์ติเพื่อนมนุษย์ที่ทำงานบางอย่างด้วยความอดทนและมีทัศนคติที่ดีต่อโลก ทำให้คนดูมองเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่สัมผัสได้แม้ว่าหนังแนวนี้หรือเรื่องที่หยิบมาเล่าแบบนี้จะเห็นมามากมายในประสบการณ์คนดูหนัง แต่ทุกเหตุการณ์ที่ถูกเล่ากลับเกาะกุมหัวใจคนดูได้จนทำให้ดูเพลินมีรอยยิ้มเสียงหัวเราะจนอาจมีหยดน้ำตาได้เพราะเรื่องประมาณนี้คือเรื่องจริงที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ด้วยตัวละครไม่กลวงเรื่องจึงดูลื่นไหลดูไปได้แบบลืมเวลาแม้ว่าความจริงบทไม่ได้เรียบร้อยจนไม่มีที่ติ แต่สิ่งที่มาทดแทนได้อย่างฉลาดคือการเลือกเล่าเรื่องด้วยเสน่ห์ของนักแสดงขั้นแนวหน้าที่ทำให้คนดูที่รักพวกเขาอยู่แล้วจะยิ่งรักมากขึ้นและเป็นปัจจัยหลักให้เรื่องนี้คืองานชั้นดีที่ดูแล้วเปี่ยมสุขอาจเป็นหนังรวมดาว แต่ดาวแต่ละดวงก็มีเวลาฉายแสง แม้จะมีเวลาไม่เท่ากันความยากอีกอย่างในการเขียนบทหนังรวมดาราแบบนี้คือการเกลี่ยความเด่นและให้เวลานักแสดงได้ปล่อยของ แน่นอนไม่มีทางที่นักแสดงเป็นสิบกว่าคนจะมีเวลาเท่ากันบนจอ สิ่งที่ต้องทำคือการจัดสรรเวลาและให้เวลาในการฉายแสงเพราะทุกคนต่างมีแสงในตัวเองทั้งฮันจีมิน , อีดงอุค , คังฮานึล , อิมยุนอา , วอนจินอา , คิมยองกวัง , อีกวังซูหรืออีจินอุค นักแสดงเหล่านี้คือระดับพระเอกนางเอกที่มีฐานแฟนคลับพอตัวเป็นที่รักและกว่าจะมาถึงระดับนี้ทุกคนย่อมมีดีมีของต่างกันไป ซึ่งกับเรื่องนี้ส่วนที่ดีที่สุดคงเป็นความเข้าใจและรู้ตัวเองว่าได้นักแสดงที่มีเสน่ห์มากมายมารวมกันจึงเลือกเล่าเรื่องผ่านการใช้เสน่ห์ของนักแสดง ผลก็คือเสน่ห์ของนักแสดงเหล่านี้ทำให้คนดูหลงลืมกระทั่งมองข้ามริ้วรอยหรือรอยต่อของบทหนังไปได้จนแทบสิ้น อาจเหลือเพียงผู้เขียนที่มีหน้าที่ต้องดูแบบเอาเรื่องและดูสองรอบก็เลยมองเห็นแต่ก็ยอมรับว่าเมื่อดูรอบแรกก็ไม่ได้เห็นริ้วรอยในบทชัดเพียงแค่มีอะไรติดในใจเล็กๆทั้งมุมของตำหนิและมุมของความสวยงาม แต่เมื่อมาดูรอบสองก็ได้เห็นทั้งสองอย่างกระจ่างตามากขึ้นเมื่อเห็นบทที่มีรอยดังว่าก็เห็นชัดกว่า แต่เมื่อเสน่ห์ของนักแสดงพาเรื่องให้ไหลลื่นดูสนุกถ่ายทอดเจตนาและทัศนคติของบทออกมาได้อย่างสมบูรณ์ จึงนับได้ว่าพลังดาราสามารถยกระดับหนังที่ถ้าไม่ใช่นักแสดงเหล่านี้ไม่มีทางเป็นหนังที่ประทับใจคนดูได้แบบนี้เพราะบทมีรอยจริง ยังไม่รวมนักแสดงสมทบและรับเชิญที่คนดูซีรีส์เกาหลีคุ้นหน้าคุ้นใจกันดีทั้งอีคยูฮยอง , จุงจินยอง , อีฮเยฮยองและแบแฮซุนเป็นอาธิ เพราะบทสมทบที่ดีและเข้าถึงคือน้ำหนักชั้นดีที่ทำให้เรื่องที่เล่ามีเหตุมีผลและสามารถเข้าถึงใจคนดูได้ ทำให้ทุกเหตุการณ์จะเหมือนกับคนดูไปมีส่วนร่วมในนั้นอันมาจากเสน่ห์และพลังของนักแสดงที่ไม่ว่ายังไงคนดูจะต้องรู้สึกไปกับพวกเขาแล้วเมื่อนักแสดงแต่ละคนต่างมีเวลาทองของตัวเองที่เหลือก็คือคนดูเองที่จะรับเอามิติไหนในเรื่องที่เล่ามาเข้าไว้กลางใจ ซึ่งสำหรับผู้เขียนเองเป็นการส่วนตัวที่ท่านผู้อ่านต่างรู้ว่าชื่นชอบฮันจีมินและเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ดูหนังเรื่องนี้ แต่ถ้าจะให้บอกว่าชอบเรื่องของใครมากที่สุดกลับไม่ใช่เรื่องเฟรนด์โซนของฮันจีมินแต่เป็นเรื่องของรักแรกที่กลับมาพบกันเมื่อวันที่ต่างฝ่ายต่างสังขารโรยรา เพราะมันคือการได้จากกันไปใช้ชีวิตของใครของมันได้เจอคนดีได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนดีอีกหนึ่งคนที่กลายมาเป็นพันธะทางใจ กระทั่งเมื่อได้มาเจอรักแรกอีกครั้งและยังรับรู้ถึงความรักที่ซ่อนไว้ข้างในที่มิใช่การนอกใจแต่เป็นการเริ่มต้นใหม่กับคนดีอีกหนึ่งคน มันคือเรื่องที่สามัญและสัมผัสได้ว่าบางครั้งการไม่สมหวังหรือการพลัดพรากใช่ว่าจะต้องพบความเจ็บปวดเสมอไป เพราะหากมีพื้นฐานความดีงามในหัวใจก็จะสามารถพบเจอคนดีๆได้ในชีวิตส่วนนักแสดงที่ผู้เขียนยกให้เป็น MVP แม้จะไม่ใช่ว่าจะโดดเด่นไปกว่าคนอื่นคืออีกวังซู แต่ในเรื่องนี้อีกวังซูสลัดภาพความขบขันในตัวเขาเองที่แค่โผล่หน้ามาก็เรียกเสียงฮาได้แล้ว เพราะเรื่องนี้อีกวังซูปล่อยของในบทดราม่าเป็นพี่ผู้เสียสละและรักน้องอย่างไร้เงื่อนไขที่คนดูเรื่องมากอย่างผู้เขียนยังรู้สึกขมในคอและเสียน้ำตาไปหลายหยด ที่ต้องยอมรับว่าอีกวังซูเล่นดราม่าได้หนักหน่วงจนไม่เหลือคราบนักแสดงตลกเลยแม้แต่น้อย จึงไม่ใช่เรื่องเกินเลยที่จะยกย่องเขาว่าเป็นยอดฝีมือและมีเสน่ห์เฉพาะตัว แต่กับเรื่องนี้เขาไม่ได้ใช่เสน่ห์ที่เคยมีแต่ใช้ความสามารถทางการแสดงล้วนๆพาอารมณ์คนดูไปซึ่งต่างจากฮันจีมินกระทั่งอีดงอุคหรือคังฮานึลและวอนจินอา และด้วยงานด้านภาพที่เป็นโทนอบอุ่นพร้อมส่งความสุขในวันสิ้นปีที่มาพร้อมเพลงธีมสามัคคีชุมนุม ทำให้หัวใจคนดูอบอุ่นมีความสุขสมกับเป็นงานที่มาเพื่อเฉลิมฉลองและปลอบประโลมแม้จะไม่ใช่งานที่ยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบแต่นี่คืองานที่ดูแล้วประทับใจ เพราะดูแล้วได้รับทุกสิ่งที่พึงได้จากการดูหนังสักเรื่องที่ต้องใช้เวลากว่าสองชั่วโมงในการนั่งหน้าจอ และการดูหนังเรื่องนี้คือความบันเทิงแน่นอนเพราะมีครบทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่อาจมีบางที่เคล้าหยดย้ำตาและอาการขมจุกที่คอ และการดูเรื่องนี้รู้สึกได้เลยว่าช่วงเวลาสองชั่วโมงสิบแปดนาทีสามารถทำให้คนที่ได้ดูรู้สึกมองโลกในมุมสวยงามได้อีกครั้งไม่ว่าอารมณ์ตอนนั้นจะเริ่มต้นด้วยจุดไหน เพราะเจตนาของหนังต้องการมอบความรู้สึกดีให้หัวใจและหนังสามารถมอบสิ่งนั้นให้คนดูได้เพราะคนดูดูแล้วรู้สึกดีได้จริงๆอย่างที่ภาษาวัยรุ่นข้างบ้านคนเดิมกล่าวไว้ว่า "ใจฟู" เพราะชีวิตทุกวันหลังจากผ่านวิกฤติไวรัสมาไม่ได้ผ่านเวลาแต่ละนาทีด้วยความง่าย บางครั้งต้องอาศัยเรื่องในจินตนาการบนจอมาช่วยบ้างในบางเวลาและหนังเรื่องนี้คือตัวช่วยชั้นดีที่มอบให้คนดูเห็นว่าชีวิตยังมีความสวยงามหรือโลกไม่ได้โหดร้ายเสมอไป หนังได้มอบบทเรียนชีวิตมากมายหลายแง่มุมผ่านเรื่องที่เล่าในมุมของทุกชนชั้นฐานะได้อย่างเข้าถึง แม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นงานที่ไร้ที่ติแต่เสน่ห์ของนักแสดงที่ความจริงก็ต่างคนต่างมีกลับเข้ากันได้อย่างไม่มีที่ติถ้าว่ากันที่ตั้งใจมาขายเสน่ห์นักแสดง เพราะใครจะไปคิดว่าอีกวังซูจะมาดราม่าน้ำตาตกหรือคังฮานึลจะมาขายขำทั้งที่ดูไร้พลังชีวิตได้ หรือเสน่ห์ของอิมยุนอาที่แม้ไม่เห็นหน้าก็สัมผัสได้ว่าต้องรักเจ้าของเสียงตามสายคนนี้ นั่นคือหนังมอบความบันเทิงให้คนดูได้ตามเจตนาและหนังยังทำให้คนดูที่รักนักแสดงเหล่านี้ที่มารวมตัวกันได้มองเห็นเสน่ห์ที่เป็นธรรมชาติและจะยิ่งรักพวกเขาและเธอมากขึ้นเพราะดูแล้วอิ่มเอมใจ จึงบอกต่อได้ไม่อายปากว่านี่คือหนังที่คนดูซีรีส์เกาหลีหรือคนที่ชอบดูหนัง Feel Good แบบนี้ต้องดู เพราะดูแล้วประทับใจเหลือเกินดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก 1 , ภาพปก 2 , ภาพปก 3 , ภาพปก 4 , ภาพปก 5 , ภาพปก 6 , ภาพปก 7, ภาพปก 8 / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 / ภาพที่ 9 / ภาพที่ 10 จาก Facebook 티빙-TVINGจะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !*STAR COVER"อย่ามัวแต่ดูมาดังกัน"*ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ขอชวนทุกคนมาสนุกโคฟเวอร์ พร้อมลุ้นรับเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 7,000 บาท (5 รางวัล) โคฟคนที่ใช่ ไลก์คนที่ชอบ 'ร่วมสนุกได้ที่ ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ห้อง cover บนแอปทรูไอดี'คลิกเลย >> https://ttid.co/UAnK/7y9jfqkqอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://bit.ly/3O1cmUQร่วมสนุกตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2565 - วันที่ 3 สิงหาคม 2565