สวัสดีครับ ครั้งนี้ผมจะรีวิว เรื่อง Good time ภาพยนตร์ประเภท Crime , Drama , Thriller ฉายที่สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2017 ของบ้านเราไม่เข้าโรง ดูในเว็บเองเลย สำหรับหนังเรื่องนี้ผมดูมาได้ 2 ปีกว่าแล้วยังชอบจนถึงวันนี้ ก็เลยอยากเขียนรีวิวดู เพราะ ผมประทับใจวิธีการเล่าเรื่อง การลำดับปัญหา จังหวะมุมกล้อง ดนตรี การวางองค์ประกอบ คือ ไม่เล่นใหญ่ ไม่น้อยไป ลงตัวพอดี และเป็นหนังอินดี้นอกกระแสดูง่าย เข้าใจดี และ สนุกมากด้วย รับประกันได้จากค่าย A24 เชื่อใจได้เลยว่าคุณภาพดีแน่นอนงานภาพมีรายละเอียดซ่อนบนความอาร์ตตัดสลับกับแสงไฟของหลอดนีออนสว่างมัว ๆ กลมกลืนในความมืดมิดดี ฉากต่อสู้ ยิงปืนไม่มี แต่ทดแทนด้วยฉากไล่ล่า วิ่งมาราธอน พูดสนทนาเย้ยหยัน เคมีความรักของ 2 พี่น้องที่เสนอได้ยอดเยี่ยม การ Set ฉากโลกอาชญากรรมบ้าน ๆ ใต้ดินท่ามกลางความศิวิไลซ์เมืองหลวงอย่างวุ่นวาย ความเหลื่อมล้ำสังคมที่แสดงถึงความไม่แยแสของมนุษย์ กฎหมายมีช่องโหว่ง่ายต่อการฉกฉวยผลประโยชน์จากอำนาจด้วยความไม่ชอบธรรม ชีวิตมนุษย์ไม่เคยหยุดนิ่งทำตัวเหมือนกิ้งก้าที่คอยเปลี่ยนสีกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมด้วยความจำเป็น สุภาษิตกล่าวว่า ด้านได้ อายอด สามารถใช้ได้ในสังคมปัจจุบันผู้กำกับพี่น้อง Benny และ Josh Safdie จาก Heaven knows what (2014) และ ผลงานล่าสุด Uncut Gems (2019) เป็นคนที่กำกับหนังสนุกมาก สามารถดึงศักยภาพนักแสดงออกมาได้เต็มที่ อะไรที่ไม่เคยได้เห็นหมด แถมมัดใจคนดูให้ผูกติดเรื่องราวได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ในระยะเวลา 1 ชั่วโมง 42 นาทีคุ้มค่า บวกกับซาวด์ประกอบเกม Home Family ยุค 80 – 90 ที่ใส่เข้ามาถูกจังหวะ ช่วยกระตุ้นอะดรี่นาลีนพลุกพล่านวัยรุ่นว้าวุ้นเข้าไปอีก นักแสดงนำอย่าง Robert Pattinson จาก Twilight saga (2008 - 2012) และ Tenet (2020) แสดงดีมาก อากัปกิริยาคุมโทนลงตัว ลบภาพลักษณ์เดิมอย่างแวมไพร์เอ็ดเวิร์ดไปจนหมดสิ้น ไม่เสียแรงที่สะสมวิชาฝีมือในการเล่นหนังอินดี้หลายเรื่อง พิสูจน์แล้วว่าเขาเป็นนักแสดงมากฝีมือของวงการไปเป็นที่เรียบร้อย ส่วนนักแสดงอื่นอย่าง Benny Safdie รับบทเป็น น้องชายพระเอก เป็นทั้งผู้กำกับเก่ง แสดงดี แต่โดนพลังความหล่อของพี่โรเบิร์ตกลบซะมิดเลย Jennifer Jason Leigh จาก The Machinist (2004) และ The Hateful Eight (2015) , Barkhad Abdi จาก Captain Phillips (2013) และ Blade Runner (2017) ยอดเยี่ยมเช่นกัน โผล่ไม่มากแบบแขกรับเชิญ แต่นาทีนี้ให้พี่เขาเดินสะดวกเถอะ ออร่าฉายแสงซะขนาดนั้น ถือว่าพี่ขอประเด็นหนังผมว่าสะท้อนความเหลื่อมล้ำในสังคม และ นำเสนอในวิถีชีวิตคนในปัจจุบันถึงด้านมืดที่มีสภาวะความไม่มั่นคงอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าภาพรวมสภาพแวดล้อมภายนอกมีความทันสมัยของเทคโนโลยี ระบบการคมนาคมที่เจริญก้าวหน้า เพียบพร้อมด้วยระบบสาธารณสุข มีกฎหมายคุ้มครองบ้านเมือง แต่สภาพแวดล้อมภายในกลับสวนทางต่อภาพลักษณ์ของความเป็นจริงที่เห็นกันอยู่เหล่านั้น ที่ยังไงมนุษย์ยังต้องดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอดในสังคมนี้ต่อไปตามสถานะของตนเองที่เป็นอยู่ มนุษย์ต่างมีต้นทุนชีวิตไม่เท่ากัน บางคนบ้านรวย การศึกษาดี มีเงินทองใช้มากมาย แต่บางคนลำบาก บ้านจน ไร้การศึกษา อยากได้อะไรก็ต้องแสวงหา เพื่อแลกกับเงินเพื่อนำเอาไปใช้จ่าย กับ โอกาสการเจริญก้าวหน้าที่ดีกว่า แต่กิเลสอยู่ในจิตสำนึกเกินหยั่งรู้ การกระทำสามารถเปลี่ยนรูปแบบหนึ่งไปอีกอย่างที่มันส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น ปัจจัยของจิตสำนึกที่ชักจูงด้วยจิตสำนึกภาวะจำยอม ในขณะนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ตาม แต่เมื่อความรู้สึกผลักดันให้เราเชื่อว่าสิ่งที่ทำนั้นคือทางออกที่ดีแล้วที่จะช่วยทำให้ปลดปล่อยจากความกดดันต่อสิ่งรอบข้างในสังคมที่ไร้ศีลธรรม ปราศจากความยุติธรรมกันแล้ว จงทำต่อไปให้บรรลุถึงความต้องการที่แท้จริงของเรา และ คำนึงว่าชีวิตนี้เกิดมาต้องสู้ถึงจะอยู่รอดได้จะดีกว่าขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่าน เมื่ออ่าน หรือ ดูจบแล้วขอฝากกดติดตาม กด Like และ กด Share ของผมด้วยนะครับ พบกันใหม่เรื่องหน้า สวัสดีครับภาพโดย : รูปประกอบหน้าปก / รูปประกอบที่ 1 / รูปประกอบที่ 2 / รูปประกอบที่ 3 / รูปประกอบที่ 4 / รูปประกอบที่ 5 / รูปประกอบที่ 6 /รูปประกอบที่ 7