The Eddy ซีรี่ส์ลูกครึ่ง ฝรั่งเศส-อเมริกัน เรื่องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวใน Netflix ไปเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ซึ่งเป็นผลงานที่ชายอย่าง Damien Chazelle (ผู้กำกับ Whiplash, Lalaland และ First Man) นั้นเข้ามาร่วมในการโปรดิวซ์รวมถึงกำกับสองตอนแรกด้วยตัวเขาเอง แต่เนื่องจากทางค่ายเองนั้นไม่ค่อยได้โปรโมทสักเท่าไหร่เลยทำให้เรื่องนี้ไม่เข้าถึงคนหมู่มาก ผมเลยอยากจะมาเป็นกระบอกเสียงเล็กมาช่วยผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เรื่องนี้มีให้คุณทุกอย่างครับถ้าคุณเป็นแฟนคลับของ Damien ทั้งฉากต้องมนตรายามค่ำคืนแบบ Lalaland ฉากการเล่นดนตรีเท่ๆคูลๆแบบ Whiplash หรือแม้กระทั้งฉากที่ปล่อยให้คนดูได้ตกอยู่ในห้วงความรู้สึกของตัวละครในแบบผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาอย่าง First Man คุณสามารถสัมผัสสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้ใน Netflix - The Eddy มีให้รับชมทั้งหมด 8 ตอนครับ **(บทความต่อไปนี้ไปไม่มีการสปอยล์เนื้อหานะครับ)เรื่องย่อเรื่องราวของอดีตนักเปียโนแจ๊สชื่อดัง Elliot Udo (Andrea Holland) ที่หย่าร้างกับภรรยาและหนีมาที่ปารีสหลังการเสียชีวิตของลูกชายคนเล็ก ทำให้เขาตัดสินใจผันตัวมาเปิดกิจการบาร์แจ๊สร่วมกับเพื่อนสนิทอย่าง Farid (Tahar Rahim) ฟอร์มวงดนตรีใหม่โดยมีนักร้องนำเสียงใสต้องมนตร์สะกดอย่าง Maja (Joanna Kulig) และรวมถึงการเริ่มต้นความสัมพันธ์ครอบครัวครั้งใหม่กับลูกสาวคนโตของเขา Julie (Amandla Stenberg) ที่เพิ่งย้ายออกจากนิวยอร์กเพื่อมาอยู่กับพ่อที่ปารีส ทุกอย่างดูเหมือจะไปได้ด้วยดีแต่ก็มีเรื่องหนี้สินเข้ามาพัวพัน ปัญหาส่วนตัวของนักดนตรีแต่ละคน และ Farid นั้นก็ยังไปเกี่ยวข้องกับแกงส์เตอร์บางกลุ่มอีกด้วย ทั้งหมดนี้อาจจะนำไปสู่จุดจบของบาร์แจ๊สที่ Elliot วาดฝันเอาไว้ รีวิวเรื่องนี้ค่อนข้างแตกต่างกับซีรีส์เรื่องอื่นๆเพราะมันเน้นไปที่ Mood & Tone ของตัวละครมากกว่าการเล่าเรื่อง โดยการทำให้แต่ละตอนนั้นโฟกัสอยู่ที่หนึ่งตัวละครเพื่อให้เราเรียนรู้เรื่องราวของพวกเขาได้มากขึ้น ด้วยระยะเวลา 8 ตอนของซีรี่ส์ ทำให้ผู้จัดสามารถที่จะพาคนดูดำดิ่งเข้าไปในห้วงอารมณ์ของตัวละครและเดินทางต่อสู้กับชีวิตได้อย่างเต็มที่ ถ้าให้ผมเปรียบเทียบนี่คงเหมือนการชมภาพยนตร์รางวัลอย่าง If Beale street could talk ที่เน้นการดำเนินเรื่องแบบช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่พยายามที่จะเร่งความรู้สึกคนดูแต่เลือกที่จะให้เราทุกคนค่อยๆซึมซับมันไป ถือว่าเป็นสิ่งที่ค่อนข้างใหม่มากๆ หนึ่งใน Executive Producer พูดไว้ในคลิปสัมภาษณ์เบื้องหลังการถ่ายทำว่า เขาต้องการให้คนดูทุกคนรู้สึกเหมือนเข้ามาอยู่ในเรื่องด้วย ซึ่งผมยอมรับเลยว่าเขาประสบความสำเร็จ ตลอดระยะเวลา 8 ตอนโดยเฉพาะฉากเล่นดนตรีแจ๊สสด คนดูจะรู้สึกเหมือนเข้าไปนั่งอยู่ในบาร์จริงๆพร้อมจิบวิสกี้ขณะนั่งดื่มด่ำบรรยากาศยามค่ำคืนท่ามกลางดนตรีแจ๊สสด อีกเรื่องนึงที่โดดเด่นของ The Eddy คือการถ่ายฉากเมืองปารีสให้ดู Romantic น้อยที่สุด เพราะต้องการลบภาพจำของทุกๆคนที่อาจจะเห็นภาพติดตาจากภาพยนตร์หลายๆเรื่องที่วาดเมืองปารีสไว้อย่างสวยงาม อบอุ่น เต็มไปด้วยความรัก แต่ในความจริงมนุษย์ทุกคนก็กำลังมีปัญหาในชีวิตที่พวกเขาต้องฝ่ามันไปให้ได้อยู่ดี เรื่องนี้เลยใช้การเกลี่ยสีในรูปแบบที่ค่อนข้างหม่นๆเพื่อเป็นภาพแทนของความจริงที่โหดร้ายสวนทางกับภาพที่ฝันไว้ ตัวซีรีส์มีการแทรกประเด็นเชิงศาสนาไว้ ซึ่งด้านนี้ก็ทำได้ดีไม่แพ้กันในการถ่ายทอดชีวิตของคนมุสลิมในฝั่งยุโรปให้ดูสมจริงมากๆ นี่ยังแสดงถึง Religion Diversity หรือความแตกต่างทางศาสนาอีกด้วยว่าแม้แต่ในยุโรปนั้นก็ยังมีการผสมผสานระหว่างเชื้อชาติกับความเชื่อหลากหลายรูปแบบนักแสดงเล่นดีทีเดียวแม้ว่าหลายๆคนจะเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่เคยทำแค่อาชีพด้านดนตรีมาก่อนก็เข้ามาพิสูจน์ฝีมือกันในเรื่องนี้ สิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจคือผู้สร้างนั้นให้อิสระกับนักแสดงมากๆโดยเฉพาะในด้านการ Improvisation (การด้นสดบทพูด) ซึ่งมันสร้างความเป็นธรรมชาติที่ค่อนข้างดีในหลายๆซีน มันทำให้บทสนทนาดูลื่นและไม่ฝืนจนเกินไป ในส่วนของเพลงนั้นคงไม่พูดไม่ได้เพราะเป็นส่วนสำคัญมากในการขับเคลื่อนซีรีส์เรื่องนี้ ต้องเกริ่นก่อนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แนว Musical ที่ตัวะครอยู่ๆก็ร้องเพลงออกมา การร้องเพลงในเรื่องนั้นเลยเกิดขึ้นจากฉากแสดงดนตรีสดให้กับแขก ซ้อมดนตรีระหว่างวัน และฉากแต่งเพลง ซีรีส์ให้เวลากับฉากพวกนี้มากเนื่องจากเพลงเหล่านี้เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของ The Eddy โดยวงดนตรีนั้นโปรดิวเซอร์ได้ทำการเฟ้นหานักดนตรีจริงๆจากรอบโลกทำให้ทุกฉากการเล่นดนตรีนั้นดูจริงมากๆ สองเพลงที่ผมอยากแนะนำมากๆมีเพลงชื่อ The Eddy กับ Kiss me in the morning โดยรวมแล้วนี่เป็นอีกหนึ่งซีรี่ส์ใน Netflix ที่ห้ามพลาดเลยครับโดยเฉพาะแฟนๆของ Damien Chazelle ที่คิดถึงสไตล์ของเขา ถึงแม้ว่าการนำเสนอเรื่องจะค่อนข้างช้าในช่วงกลางเรื่องแต่ด้วยการแสดงที่เป็นธรรมชาติมากๆบวกกับดนตรีแจ๊สที่เพราะมากๆในทุกตอนทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ทรงพลังได้อย่างไม่น่าเชื่อ สามารถรับชมได้แล้วที่ Netflix - Eddy ขอบคุณภาพประกอบจาก IMBD, Netflix และ Youtube (Netflix Channel) รูปภาพหน้าปก/ รูปภาพที่ 1/ รูปภาพที่ 2/ รูปภาพที่ 3/ รูปภาพที่ 4/ รูปภาพที่ 5