Short CommentCrash Course in Romance โรแมนซ์ฉบับเร่งรัด (2023)กะเทาะเปลือกระบบการศึกษาจนไม่คิดไม่ได้ ข้างนอกสุกใสข้างในคมคายจนกลายเป็นงานดีที่ทรงคุณค่ามีวลีคลาสสิคที่คนรุ่นดูไปบ่นไปมักได้ยินบ่อยๆคือ "ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว" ที่ยังเป็นสารตั้งต้นในการเสพความบันเทิงผ่านภาพเคลื่อนไหวบนจอ ก็ใช่ที่พฤติกรรมการรับชมของคนดูได้เปลี่ยนผันตามกาลจนทำให้หนังหรือละครต้องปรับตัวในการเข้าหาคนดู แต่วัตถุประสงค์หลักที่ยังได้ผลคือการสะท้อนอะไรก็ตามที่เป็นเรื่องไม่ปกติแล้วกลายมาเป็นเรื่องปกติในพลวัตรทางสังคม หรือความบิดเบี้ยวใดๆที่ทำให้บริบทบางอย่างเปลี่ยนไปเลยเถิดไปจนกลายเป็นถูกมองข้ามเพราะความที่เห็นจนชาชินเป็นเรื่องที่ใครๆก็เป็นใครๆก็ทำทั้งที่มันไม่ปกติสักนิด หนังหรือละครจึงมีหน้าที่ที่จะกระตุกจิตสำนึกคนดูให้ฉุกคิดถึงอะไรก็ตามที่บิดเบี้ยวที่ว่าแล้วให้หันมาตระหนักให้ได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติมันคือปัญหาที่ควรแก้ แต่บางครั้งเรื่องราวบางประการก็ถูกฝังลึกเกินกว่าที่จะขุดมาแก้ได้แต่เมื่อมีอะไรมาสะกิดใจให้คิดก็อาจจะมีคนคิดได้แล้วเปลี่ยนแปลงทัศนคติได้บ้างก็คงเป็นสิ่งที่หนังหรือละครเรื่องนั้นๆต้องการ เช่นเดียวกับความฝันของใครของมันเรื่องของระบบการศึกษาเรื่องของเด็กๆที่ควรได้มีชีวิตของตนเองที่เรื่องนี้ปักหมุดไว้จนไม่ว่ายังไงก็ต้องได้คิดฉายซ้ำอีกครั้งว่านี่คือเรื่องของนัมแฮงซอน (จอนโดยอน) กับชเวชียอล (จองคยองโฮ) สองคนสองแนวทางชีวิตที่ต้องพรหมลิขิตให้มาเจอกัน นัมแฮงซอนคือมนุษย์แม่ที่ต้องดูแลลูกสาวเพียงลำพังท่ามกลางชีวิตหมิ่นเหม่ปากกัดตีนถีบดำรงชีพด้วยการเปิดร้านเครื่องเคียงที่มีชื่อเสียงพอตัว ส่วนชเวชียอลคือติวเตอร์วิชาคณิตศาสตร์มือหนึ่งของผู้มีชื่อเสียงโด่งดังและใช้ชีวิตไม่ต่างจากคณิตศาสตร์นั่นคือคำนวณผลลัพธ์ออกมาตายตัว ซึ่งทั้งสองต่างถูกถูกเคี่ยวกรำชีวิตไม่ต่างกันแค่เป็นคนละบริบทเมื่อนัมแฮงซอนต้องทิ้งฝันในการเป็นนักกีฬาทีมชาติมาหาเลี้ยงครอบครัวที่มีน้องเป็นออทิสติกและลูกสาวที่พี่สาวเอามาทิ้งไว้จนกลายเป็นลูกของตนเองและถูกชีวิตบีบให้เข้าใกล้ความเป็นอาจุมม่า แต่ชเวชียอลถูกชีวิตที่ยากลำบากบังคับให้ต้องถีบตัวให้พ้นจากความลำบากนั้นด้วยการเรียนและต้องเรียนให้เก่งซึ่งก็ได้ตามนั้นเพราะปัจจุบันเขาใช้ความเก่งนั้นทำมาหาเลี้ยงชีพจนร่ำรวยมีชื่อเสียง แต่ทุกชีวิตต้องมีปัจจัยบวกลบมากระทบการจัดการชีวิตของคนสองคนจึงต่างกันทำให้การได้พบกันของสองคนอาจเปลี่ยนชีวิตของใครบางคนข้างนอกสนุกสุกใสข้างในคมคายเข้มข้นกระเทาะจากเปลือกถึงแก่นจนไม่มีทางที่จะไม่คิด หากมองว่านี่คืองานรอมคอมใสๆทุกอย่างจะดีต่อใจบทสรุปจะออกมาสวยงามเรื่องนี้คือใช่ เพราะอะไรที่พึงมีประมาณนั้นยังครบถ้วนทำให้นี่คืองานรอมคอมชั้นดีที่ดูเพลินเรื่องของคนสองคนที่เหมือนพรหมลิขิตแต่ต้องมาพบกันบนความขัดแย้งก่อนที่จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นความสนิทและเป็นความรัก ทั้งยังมีเรื่องของสองคนที่ต่างกันสุดขั้วบนทางเดินชีวิตจนทำให้ทัศนคติในการใช้ชีวิตหรือความเป็นมนุษย์อยู่คนละฟาก แน่นอนว่าต้องมีคนหนึ่งเปลี่ยนชีวิตเปลี่ยนทัศนคติของอีกคนให้เข้ารูป เหล่านั้นมาพร้อมฉากหลังที่ตีแสกหน้าระบบการศึกษาและระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ตึงจนแทบขาดของบ้านเขา ผ่านการสะท้อนมุมมองของผู้ปกครองที่เลี้ยงลูกแบบสบายๆกับผู้ปกครองที่ทำให้เรื่องการเรียนอย่างบ้าคลั่งกลายเป็นเรื่องปกติ และสิ่งที่ตามมาคือเด็กๆต้องแบกรับในสิ่งที่หนักเกินจะรับไหวและกลายเป็นปัญหาที่ลุกลาม และบทละครก็ผสานเรื่องเบาเบื้องหน้ากับเรื่องหนักเบื้องหลังได้ลงตัวเจ็บลึกจนไม่มีทางที่คนดูที่เป็นผู้ปกครองจะไม่คิดตามดราม่าปลีกย่อยไม่ทำให้เรื่องเป๋และเป็นพลังให้ได้ติดตามได้ลุ้น ในทุกเรื่องปลีกย่อยที่บทละครนำมากระแทกอารมณ์คนดูที่ดูไปอาจเหมือนเกี่ยวบ้างไม่เกี่ยวบ้างจงใจบ้างในบางเรื่องแต่ถึงที่สุดเรื่องก็ยังดำเนินไปตามครรลองโดยมีแก่นคือเรื่องระบบการศึกษา โดยที่ให้ปัจจัยตกกระทับไม่ว่าจากใครล้วนมาจากเรื่องเดียวกันคือความเป็นเลิศในการเรียนที่มีจุดหมายคือการสอบและการวัดผลทั้งใหญ่น้อย กระนั้นทุกอย่างทุกคนที่มีเรื่องราวเป็นของตัวเองก็ทำให้มีที่มาที่ไปไม่ใช่โดดออกมาทำให้ในความน่าจงชังยังเหลือพื้นที่ของความเข้าใจ ความฉลาดของบทละครเรื่องนี้คือการวางเรื่องของการศึกษาให้ถูกมองผ่านคนที่ไม่รู้เรื่องการศึกษาที่จับจ้องไปยังคนที่เชี่ยวชาญระบบการศึกษาและเป็นส่วนหนึ่งที่ทำมาหากินบนความบิดเบี้ยวนั้น ทั้งยังทำให้ฉุกคิดว่าไม่มีใครจะต้านความบิดเบี้ยวของระบบการศึกษาได้ต่อให้พยายามขนาดไหนเพราะสุดท้ายทุกคนก็ต้องแก่งแย่งมีที่ยืนให้ได้ในสังคม จึงเห็นปัญหาของหลังบ้านของแต่ละคนที่ออกมาต่างกันทำให้บางครั้งการอยากเห็นใครบางคนได้รับผลของการกระทำกลายเป็นความน่าติดตามย่อยๆที่มีพลังฝันของใครก็ของใครไม่ใช่มีไว้เพื่อเติมเต็มที่ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูกโดยเฉพาะเด็กๆ ระบบการศึกษาคือผู้ร้ายหรือไม่ผู้เขียนกลับไม่คิดเช่นนั้นแต่มองว่าสังคมต่างหากที่พาความบิดเบี้ยวส่งผ่านรุ่นต่อรุ่น จนกลายเป็นว่าระบบการศึกษาหรือระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีอยู่แล้วกลายเป็นปีศาจ เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยผ่านวัยนั้นมาโดยไม่สามารถเดินตามความฝันของตนเองจึงคิดว่าความฝันของตนเองคือเรื่องที่ถูกเป็นอนาคตที่ดีที่ตนไม่สามารถไปถึง ทัศนคตินั้นจึงส่งผ่านมายังรุ่นลูกเมื่อความฝันของตนไม่สามารถเป็นไปได้ด้วยตัวเองก็ผลักภาระไปให้ลูกแบก หรือการประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตัวเองทำก็คิดว่าคือสิ่งที่ดีที่สุดโดยไม่สนใจไม่ใช่ไม่รู้ว่าลูกๆย่อมมีฝัน และฝันของใครก็คือของใครไม่ใช่จะเติมเต็มให้กันได้เมื่อไม่ได้ดั่งใจผู้ปกครองใจแคบจึงใช้บริบททางสังคมที่ที่ยืนมีเพียงน้อยนิดมาสร้างความชอบธรรมในการบีบคั้นให้ลูกๆต้องรับเผือกร้อน สิ่งที่ตามมาที่เห็นในละครเรื่องนี้จึงไม่ใช่ระบบการศึกษาที่ผิด หรือการที่เด็กบางคนจะเป็นอย่างที่เห็นก็ไม่ผิดแต่ผิดที่ทัศนคติที่บิดเบี้ยวจนคับแคบของคนรุ่นพ่อแม่หรือไม่เคมีที่ลงตัวของนักแสดงทำให้เบื้องหน้าสวยงามพร้อมตัวละครสมทบที่ทำให้เบื้องหลังเข้มขลังคมคาย สิ่งที่ต้องชื่นชมแรกเลยคือการวางมิติตัวละครให้สะท้อนกันในเรื่องของความรู้แจ้งกับความไม่รู้เลยเรื่องการเรียนทำให้ดูสนุกเพราะเป็นความต่างที่ชัด สองคือการออกแบบตัวละครนัมแฮงซอนของจอนโดยอนให้เป็นมนุษย์ป้าเพราะไม่ได้ใช้ชีวิตของตนเองซึ่งส่วนที่ดีที่สุดคือเคมีของมนุษย์ป้าที่เข้ากับครูหนุ่มคนดังผู้รุ่มรวยด้วยเหตุที่บทต้องการให้คนหนึ่งที่เป็นมนุษย์มาเปลี่ยนอีกคนที่เป็นเทวดา สิ่งสุดท้ายคือการจงใจให้เสน่ห์ของตัวละครนัมแฮงซอนค่อยๆออกมาจนถึงวาระที่ควรเปล่งประกายก็ออกมาเต็มที่ ส่วนในเรื่องของการรับผิดชอบบทบาทของทั้งจอนโดยอนและจองคยองโฮนั้นคงไม่ตองสาธยายเพราะการแสดงที่คนดูเททั้งใจให้ก็คือที่สุดแล้ว แต่ที่ต้องชื่นชมคือมิติที่อยู่เบื้องหลังกับนักแสดงสมทบทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ที่จะเรียกว่าน้ำจิ้มก็คงไม่ใช่เพราะแต่ละเรื่องก็มีรสชาตเป็นของตัวเองจนอาจเรียกว่าเป็นเครื่องเคียงที่หลากหลายในร้าน ทำให้ในเรื่องที่อยู่หลังเป็นพลังสนับสนุนชั้นดีให้เรื่องเบื้องหน้ามีความเข้มข้นสมบูรณ์บนความสดใสดูสนุกจนหนึ่งสัปดาห์คือการรอคอยที่เนิ่นนานดูเพลินจนหยดสุดท้าย ด้วยความที่เรื่องการกระเทาะเปลือกสังคมเรื่องระบบการศึกษาแบบนี้คล้ายเป็นเรื่องใกล้ตัวเพราะเมื่อมองดูบ้านเขาแล้วหันมามองบ้านเราก็แทบไม่ต่างกัน เรื่องจึงออกมากระทบหัวใจคนดูเต็มที่และที่น่าจะโดนหนักกว่าคือคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่เคยผ่านเวลานั้นมาและกำลังจะพาลูกๆไปสู่จุดนั้น กระนั้นด้วยความที่เรื่องหลักในเรื่องที่ว่าแข็งแรงแต่ไม่ถูกนำเสนอในเชิงตึงเครียดอาจมีบ้างระหว่างทางเพราะเป็นของมันต้องมีทำให้หนักเบาเคล้ากันดีปานส่วนผสมชั้นดีที่ทำให้อาหารเลอรส เรื่องจึงออกมาดูสนุกมีขบขันมีตลกมีขึ้งโกรธชิงชังมีซาบซึ้งมีหม่นโศกบ้างบางเวลาหรืออาจเรียกได้ว่าได้ครบทุกอย่างที่หัวใจต้องการจากการดูละครสักตอนสองตอนในทุกสัปดาห์ เพราะความเพลิดเพลินเบอร์นี้จึงทำให้ระยะเวลาที่ต้องรอคอยในหนึ่งสัปดาห์ดูเป็นเวลาที่เนิ่นนานจนไม่สามารถมองเห็นริ้วรอยใดๆที่มีในการเล่าเรื่องระยะยาวเมื่อตอนที่ดู แต่เมื่อดูจบแล้วมาคิดก็มีบ้างระหว่างทางดูจงใจหรือไม่มีก็ไม่เป็นไรแต่ใครจะทำไมเมื่อดูแล้วมีความสุขมีอะไรให้ได้คิดจนกลายเป็นงานดีที่ทรงคุณค่าไปแล้วดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4,5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram tvn_dramaอ่านบทความพิเศษของเรื่องนี้ได้ที่นี่https://entertainment.trueid.net/detail/djZMqDpJKazoอ่านบทความงานละครเกาหลีตีแผ่ระบบการศึกษาโดย "ดูไปบ่นไป" ได้ที่นี่https://entertainment.trueid.net/detail/ArMoVOV98DG7https://entertainment.trueid.net/detail/5a9NpVpQDKNjเกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ๆ App TrueID โหลดฟรี!