รีวิวหนัง "A Complete Unknown ไร้ตัวตนคนเปี่ยมฝัน" ไม่เชิงชีวประวัติ แต่กล่อมดีด้วยทำนองบ็อบ

มาถึงอีกหนึ่งผลงานหนังดรามาชีวประวัติตำนานคนดังที่เป็นหนึ่งในหนังที่ได้ติดโผเข้าชิง 1 ใน 10 ของรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ 2025 และนี่ก็คือ "A Complete Unknown ไร้ตัวตนคนเปี่ยมฝัน" หนังชีวิตที่คลุกเคล้าไปด้วยเส้นทางแห่งความฝันบนถนนสายดนตรีของตำนานเพลงอมตะตลอดกาล อย่าง "บ็อบ ดีแลน"

เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่เมืองนิวยอร์ก ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ท่ามกลางฉากหลังของวงการดนตรีที่มีชีวิตชีวาและยุคสมัยของความปั่นป่วนทางวัฒนธรรม หนุ่มลึกลับวัย 19 ปีจากมินนิโซตาเดินทางมาถึงย่านเวสต์วิลเลจ พร้อมกับกีตาร์และพรสวรรค์ที่พร้อมจะปฏิวัติวงการ ชี้ชะตาให้เขาเปลี่ยนเส้นทางของดนตรีอเมริกันไปตลอดกาล

นี่คือผลงานล่าสุดของผู้กำกับยอดฝีมือ "เจมส์ แมนโกลด์" ที่ถือว่าได้หวนกลับมาหยิบจับสร้างดรามากลิ่นอายชีวิตคนดนตรีอีกครั้งในรอบเกือบ 20 ปีของเขาเลย เพราะก่อนหน้านี้เคยแจ้งเกิดมาจาก Walk the Line หนังที่เล่าถึงตำนานเพลง จอห์นนี แคช และครั้งนี้ได้มาจับงานสร้าง A Complete Unknown ที่เป็นตำนานเพลง บ็อบ ดีแลน ที่น่าสนในตรงนี้ตำนานเพลงทั้งคู่ที่ผู้กำกับผู้นี้ได้ถูกเลือกมาช่วยรังสรรค์เป็นหนังนั้น ต่างก็เป็นบุคคลที่มีชีวิตจริงและเคยมีความสัมพันธ์รู้จักกันในช่วงเวลายุคเดียวกันด้วย

A Complete Unknown เป็นผลงานที่ เจมส์ แมน โกลด์ ยังรับหน้าที่ร่วมเขียนบทหนังด้วยตัวเองด้วย โดยเขาปั้นบทร่วมกับ "เจย์ ค็อกซ์" มือเขียนบทรุ่นเก๋าที่เป็นนักเขียนคู่บุญอีกคนของ มาร์ติน สกอร์เซซี ซึ่งจังหวะการร้อยเรียงเป็นเรื่องราวในหนังเรื่องนี้ถือว่าค่อนข้างใช้ได้ดีทีเดียว แม้ว่ามันอาจจะยังไม่ใช่หนังชีวประวัติจ๋า ๆ เกี่ยวกับชีวิตในทุกแง่มุมกว่าจะมาเป็น บ็อบ ดีแลน แต่หนังก็เต็มไปด้วยลีลาและสไตล์ไม่ธรรมดา แม้ว่าจะหยิบมาเล่าแค่เพียงช่วงเวลาจุดกำเนิดความดังของคนดนตรีผู้นี้ในช่วงปีแรก ๆ ของการแจ้งเกิดของเขาเท่านั้นก็ตาม

เพราะความเป็นบ็อบ ดีแลน มักจะแฝงไปด้วยอารมณ์ความเป็นศิลปินค่อนข้างสูง ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงได้ใช้กิมมิกตรงนี้มาเป็นวิธีการเล่าเรื่อง ผ่านท่วงทำนองและกิริยาของชายหนุ่มที่มีแต่จังหวะดนตรีอยู่ในความคิดของเขา มันจึงออกมาเป็นสตอรีที่เล่าผ่านบทเพลงฮิต ๆ มากมายของเขา ที่สะท้อนถึงมุมมองไอเดียการเป็นนักแต่งเพลงที่สดใหม่เป็นประจำของเขาอยู่เสมอ ๆ และเป็นการขับเสน่ห์ของตัวละครออกมาได้อย่างชัดเจนด้วย

องค์ประกอบงานสร้างใน A Complete Unknown ถือว่าดีตามาตรฐานหนังสร้างเพื่อจะล่ารางวัลจริง ๆ โดยเฉพาะไฮไลต์เด่น ๆ ของเรื่องในส่วนของงานออกแบบซาวน์เสียงและการหยอดใส่เพลงประกอบที่เป็นเพลงอมตะต่าง ๆ ที่นับว่าเป็นการเข้าใจเลือกบทเดิมเข้ามาเติมแต่งอรรถรสของหนังได้เป็นอย่างดี พ่วงด้วยการเก็บรายละเอียดผ่านมุมมองงานสร้างที่ค่อนข้างละเอียดของเจมส์ แมนโกลด์ ออกมาเป็นสัดส่วนที่ชวนหลงใหลได้ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของหนังเรื่องนี้

แน่นอนว่าการแสดงของ "ทิโมธี ชาลาเมต์" เป็นการพ่นไฟและปล่อยพลังของชายหนุ่มคนนี้อีกครั้ง ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าบทบาทค่อนข้างส่งเสริมและส่งทิศทางการแสดงของเขาได้เป็นอย่างดี แต่ด้วยทักษะความสามารถและเสน่ห์ที่ยั้งลึกเข้าถึงตัวละครได้อย่างแทรกซึม ทำให้เขาสวมวิญญาณเป็นบ็อบ ดีแลน ในช่วงเริ่มต้นเข้าวงการได้อย่างเจิดจรัส มาพร้อมกับการแสดงที่ไปพร้อมกันได้หมดในทุก ๆ จิตวิญญาณ ทั้งสีหน้าแววตาและกิริยาที่สะท้อนถึงห้วงความคิดที่ซับซ้อนของตัวละครนี้ เขารับมือมันได้ดีทั้งหมด

โดยที่ทีมนักแสดงสมทบในเรื่องนี้ก็ทรงพลังและส่งเสริมภาพรวมของหนังได้อย่างมีอิทธิพล "เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน" คือมืออาชีพที่สามารถรับมือและถ่ายทอดบทบาทของเขาได้อย่างถึงกึ๋น เป็นจังหวะการแสดงที่น้อยแต่มากอย่างแท้ทรู รวมทั้งลีลาการโชว์ห้วงความซับซ้อนแห่งความสัมพันธ์ในตัวละครของ "แอล แฟนนิง" กับเสน่ห์ของดาราสาว "โมนิก้า บาร์บาโร" ที่ทั้งเสียงร้องและการแสดงของเธอ มัดใจคนดูได้อยู่หมัดได้เป็นอย่างดี

A Complete Unknown เป็นหนังที่มีโอกาสได้เข้าชิงออสการ์ปีนี้ถึง 8 สาขารางวัล ที่ทุก ๆ สาขาที่หนังได้ชิงนั้นถือว่าไม่ค้านสายตาใด ๆ เลย และสมควรจะได้เข้าชิงมากกว่านี้ด้วยซ้ำ นี่คือหนังที่อาจจะไม่ใช่ชีวประวัติที่จัดจ้านคมคายเกี่ยวกับชีวิตนักร้องระดับตำนานอะไรขนาดนั้น แต่ทุกท่วงทำนองที่หนังเลือกนำมาเสนอนั้น เต็มไปด้วยเสน่ห์และอรรถรสที่ช่วยเติมเต็มให้กับคนดูได้อย่างเพิ่มพูนทีละน้อย แม้ว่าจะพลาดการเข้าไปสำรวจช่วงชีวิตอื่น ๆ ของนักร้องผู้นี้โดยละเอียดก็ตาม

แล้วก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานการแสดงที่โดดเด่นระดับมาสเตอร์พีชอีกครั้งของ ทิโมธี ชาลาเมต์ ที่ยังตอกย้ำให้เขาเป็นนักแสดงชายหนุ่มที่ยังอยู่ในวัย 20s แต่ฝีมือจัดจ้านที่สุดในยุคนี้แล้วจริง ๆ การรับมือในการถ่ายทอดบทบาทนี้ของเขาถือว่าอยู่มือมาก และคู่ควรในการมีชื่อเข้าชิงบนรางวัลต่าง ๆ อีกครั้ง และหากถ้าว่าจะถึงเวลาที่้เขาจะก้าวขึ้นไปจับออสการ์ตัวแรกในชีวิต ก็ถือว่าเป็นผลงานที่ไม่ได้ค้านสายตาอะไรเช่นเดียวกัน