Short CommentPending Train รถไฟสายพิศวง (2023)ดูเพลินน่าติดตามด้วยความสงสัยแต่ก็โลกสวยตามสไตล์ด้วยการมองลึกถึงความดีข้างในของมนุษย์สำหรับคนที่ชอบหรือดูซีรีส์ญี่ปุ่นบ่อยๆอย่างดูไปบ่นไปก็จะพอทราบได้ว่าในช่องทางที่สามารถติดตามดูได้หลากหลายแพล็ตฟอร์มสตรีมมิ่งนั้นจะมีอยู่สองรูปแบบ หนึ่งคือซีรีส์ที่ได้รับการออกทุนสร้างจากค่ายสตรีมมิ่งให้เป็นงาน Original กับอีกหนึ่งคืองานซีรีส์ญี่ปุ่นแท้ที่ถูกฉายทางโทรทัศน์บ้านเขาที่แต่ละค่ายซื้อมาสตรีมให้ดู ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ต่างจากละครหลังข่าวของบ้านเขาที่ถ้าดูบ่อยๆเข้าจะรู้ความแตกต่างเพราะงาน Original จะมีความเป็นสากลมาปนให้ได้สัมผัสบ้างแม้จะไม่เข้มจัดชัดจริงอาจเพราะเจตนาให้คนดูต่างชาติเข้าถึง ส่วนงานซีรีส์ที่ฉายทางโทรทัศน์นั้นแน่นอนมาตรฐานอาจจะด้อยกว่าในองค์ประกอบอาจเพราะเรื่องของทุนสร้างและสิ่งที่เป็นคือเมื่อเป็นงานที่มาเพื่อขายคนดูบ้านเขาก็คือการคงเอกลักษณ์ของซีรีส์ญี่ปุ่นไว้อย่างเต็มร้อย เช่นเดียวกับซีรีส์ญี่ปุ่นที่ผู้เขียนเพิ่งดูจบลงไปที่เสนอตัวออกมาเป็นงานไซไฟข้ามเวลาไปเอาชีวิตรอดในโลกหลังการล่มสลาย แต่เมื่อเปิดดูก็เห็นว่าเป็นงานที่ฉายทางโทรทัศน์ทำให้ผู้เขียนปล่อยวางความคาดหวังบางอย่างลงเพื่อสนุกไปกับงานระดับละครของญี่ปุ่นเรื่องนี้เช้าวันหนึ่งนาโอยะ คายาชิมะ (ยูกิ ยามาดะ) อาชีพช่างตัดผมได้ขึ้นไปแออัดบนตู้รถไฟที่ในนั้นยังมียูโตะ ชิราฮามะ (เออิจิ อากาโสะ) อาชีพนักผจญเพลิง และยังมีซาเอะ ฮาตาโนะ (โมกะ คามิชิราอิชิ) ครูพละหญิงที่เหมือนแอบมองนักผจญเพลิงยูโตะอยู่ แน่นอนในตู้รถไฟนั้นยังประกอบไปด้วยคนหลากหลายอาชีพที่มีเป้าหมายในการเดินทางต่างกัน แต่พลันที่ข้อความแจ้งเตือนภัยพิบัติที่ส่งมายังมือถือของทุกคนก็เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวจริงๆแต่ที่ยุ่งไปกว่านั้นคือความรุนแรงของแผ่นดินไหวทำให้ตู้รถไฟที่ห้าหลุดออกจากขบวน จนเมื่อทุกคนในตู้นั้นรู้สึกตัวก็พบว่าพวกเขากำลังอยู่กลางสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแต่ก็เหมือนคุ้นเคยเพราะอยู่ปากอุโมงค์รถไฟที่รถไฟกำลังจะผ่าน แต่เมื่อออกสำรวจแล้วพวกเขาก็พบว่าทุกคนในตู้โดยสารที่ห้านี้กำลังอยู่ในสถานที่รกร้างไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ไม่มีความช่วยเหลือใดๆ กระทั่งเมื่อใช้ชีวิตอย่างลำบากไปสักพักพวกเขาก็พบว่าขบวนรถไฟที่พวกเขาโดยสารมาได้ทะลุเวลามายังอนาคตที่เป็นโลกหลังจากการล่มสลายแล้วพวกเขาจะเอาชีวิตรอดยังไงและจะกลับสู่ปัจจุบันได้หรือไม่...เดินหน้าไปด้วยความสงสัยสร้างสถานการณ์ให้ได้น่าติดตามได้แต่ก็ต้องเข้าใจว่ามันเป็นสไตล์ ออกตัวให้ก่อนเลยว่านี่คืองานที่ฉายทางโทรทัศน์ของญี่ปุ่นจึงจำเป็นต้องเข้าใจก่อนว่างานญี่ปุ่นแท้ๆจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง นั่นคือการเล่าเรื่องที่อาจเรียบเรื่อยแต่มีจุดหมายที่ชัดเช่นเรื่องนี้เอาจริงเต็มไปด้วยช่องให้ขยี้ดราม่าส่วนบุคคลแต่กลับเล่าให้ได้สัมผัสเป็นพื้นฐานเพราะไม่ต้องการมิติทางอารมณ์เชิงนี้มากนัก ทำให้หน้าฉากที่เป็นงานไซไฟข้ามเวลาไปสู่การเอาชีวิตรอดหลังโลกล่มสลายแต่กลายเป็นว่าใช้ความสงสัยในใจคนดูมานำทาง เพราะความน่าติดตามหลักคือพวกเขาที่ติดอยู่ในอนาคตที่ไม่เหลือเทคโนโลยีใดๆจะกลับปัจจุบันได้อย่างไรที่อาจบอกได้ว่ามองไม่เห็นทางจริงๆ ซึ่งนอกจากทุกคนที่เป็นตัวละครเด่นล้วนมีเบื้องหลังต่างกันไปนั่นคือการถูกทำร้ายจากโลกยุคปัจจุบันที่เป็นเรื่องเล่าของใครของมันซึ่งจะทยอยเล่าเพื่อลงท้ายตอนด้วยความสงสัยกับการใส่สถานการณ์ให้ได้ติดตามเข้ามา กระนั้นบทละครก็มีรอยรั่วมากมายทั้งการหลงลืมอะไรทิ้งไว้และการพัฒนาไปสู่เรื่องของวันสิ้นโลกที่ยังดูโดดไปอบอวลไปด้วยความโลกสวยท่ามกลางสัญชาตญาณดิบที่ไม่ต่างจากการอ่านมังงะที่ก็ยังเป็นสไตล์ อย่างที่บอกว่าเรื้องนี้ความจริงมีจุดหมายที่ชัดเพียงแต่มันไม่ใช่เรื่องของความตื่นเต้นในการฝ่าฟันสถานการณ์เอาชีวิตรอดอย่างที่ควรเป็น นั่นคือการตั้งใจมาบอกกับคนดูว่าโลกนี้ยังสวยงามไม่ได้เลวร้ายจนต้องเบื่อโลกด้วยการวางตัวละครไว้สองด้านระหว่างความโลกสวยมองโลกด้วยอุดมการณ์อยู่กลางทุ่งลาเวนเดอร์คือนักดับเพลิงที่คิดบวกกับช่างทำผมที่ทัศนคติตั้งอยู่บนความจริงเพราะถูกโลกทำร้ายจนกลายเป็นคิดลบ โดยให้ครูพละสาวอยู่ตรงกลางเพื่อหลอมรวมความจริงและอุดมการณ์เข้าด้วยกันทำให้ตลอดทางอบอวลไปด้วยบทสนทนาที่ไม่ต่างจากการอ่านมังงะที่จะปลุกเร้าเต็มที่จนเรื่องของสัญชาตญาณดิบของมนุษย์เมื่ออยู่ในวิกฤติการเอาชีวิตรอดที่เป็นของมันต้องมีดูเหมือนน้อยเกินไป เพราะความไม่เร่งไม่บีบหัวใจที่ยังคงเป็นสไตล์และความโลกสวยเห็นคุณค่าในตัวมนุษย์ก็ยังคงเป็นสไตล์จนกลายเป็นงานตามสไตล์ญี่ปุ่นที่มีความตื่นเต้นเร้าใจแต่มาตามสถานการณ์ที่เรียบเรื่อยซึ่งต้องเข้าใจในสไตล์เน้นเต็มที่กับความดีที่ยังไงต้องมีในส่วนลึกของมนุษย์ที่ทำให้โลกนี้ไม่ได้เป็นโลกที่โสมม เอาง่ายๆเลยว่าถ้าจะนิยามความเป็นเรื่องนี้คือขออย่ายอมแพ้ เพราะเรื่องนี้ไม่มีการทำร้ายจิตใจไม่มีการบีบคั้นทางอารมณ์ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรความดีที่แฝงอยู่ข้างในจะถูกขุดเอามาใช้แก้สถานการณ์ได้ตลอด แล้วคนที่มีหน้าที่ขุดก็คือสามตัวละครเอกที่เป็นโลกคนละมุมอยู่คนละด้านคือการปลุกเร้าเชิงบวกและเชิงลบสลับกัน จนกระทั่งเมื่อเรื่องพัฒนาไปถึงจุดหนึ่งคนที่โลกสวยกลับโดนโลกทำร้ายจนเสียหลักล่มสลายแต่คนที่คิดลบมองโลกด้วยความจริงกลับยืนอยู่ได้แม้จะมีเป๋ไปบ้างไม่ต่างกัน กระนั้นเมื่อถึงวันสิ้นโลกเข้าจริงๆสิ่งที่จะช่วยประคองโลกไว้คือความดีที่ยังเหลืออยู่ในมนุษย์ที่ก็โลกสวยอยู่ดีแหละเมื่อความจริงอาจไม่ได้มีแบบที่เห็นกันทุกคน สุดท้ายโลกที่ดูเหมือนร้ายๆก็ไม่ได้เป็นโลกที่โสมมสมควรจะแตกสลายไปเพราะสังคมมนุษย์ยังหลงเหลือความดีที่เกื้อกูลกันไว้อย่างน้อยก็อย่างที่เห็นว่าในสถานการณ์วิกฤติเมื่อต้องเอาชีวิตให้รอดขาดทั้งน้ำและอาหารก็ยังผ่านพ้นมาได้ด้วยความร่วมแรงร่วมใจการแสดงตามมาตรฐานงานระดับฉายทางโทรทัศน์ซึ่งก็มีบ้างที่ทั้งขาดทั้งเกิน จะว่าไปจะโทษนักแสดงก็คงไม่เต็มปากนักคงต้องโยนความรับผิดชอบให้ตัวบทด้วยที่ความเป็นสไตล์ทำให้ทั้งขาดและเกิน ด้วยความที่ความสงสัยไม่ได้มาพร้อมความลึกลับแต่มาพร้อมสถานการณ์ที่ไม่ได้ไปไกลมากนักเพราะจุดหมายชัดอย่างที่บอก ทำให้จุดที่เน้นเข้าไปคือการสร้างแรงบันดาลใจตามสไตล์ทีเห็นมามากมายจากมังงะ ทำให้อาการที่ว่าต้องสู้จึงจะชนะหรืออย่ายอมแพ้ออกมากลาดเกลื่อนจนการแสดงในส่วนนี้ดูล้นจนกลายเป็นว่าแม้ผู้เขียนจะดูซีรีส์ญี่ปุ่นมาไม่น้อยยังรู้สึกว่าการแสดงของเรื่องนี้ออกอาการโอเวอร์แอคติ้ง จนเลยเถิดไปถึงตัวละครบางคนที่เป็นหนึ่งในสามตัวละครหลักที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรจนน่ารำคาญคือพี่คิดลบได้แต่อะไรมันจะขนาดนั้นทั้งที่จุดเปลี่ยนมีมากมายและจุดหมายของตัวเองก็ยังชัด โชคดีที่นักแสดงอย่างยูกิ ยามาดะ,เออิจิ อากาโสะและโมกะ คามิชิราอิชิไม่ใช่นักแสดงที่คุ้นหน้าเลยไม่เห็นบทอื่นมาทาบทับ และเรื่องนี้ได้ดนตรีที่ดูลึกลับมาในงานที่ไม่ลึกลับแต่ความเด่นก็ยังเป็นดนตรีเชิงปลุกใจอยู่ดีดูสนุกดูเพลินแต่ก็อาจไม่ใช่กับทุกคนเพราะความเป็นญี่ปุ่นที่คนที่ไม่คุ้นอาจไม่เพลินด้วย เพราะเรื่องที่ว่าด้วยการเดินทางข้ามเวลาไปอยู่ในที่ที่ไม่เหลืออารยธรรมและต้องเอาชีวิตรอดมันต้องเดินหน้าด้วยความตื่นเต้นเร้าใจชวนสงสัยท้าทายอารมณ์ด้วยสัญชาติญาณดิบของมนุษย์สิ ทว่านี่คืองานจากญี่ปุ่นที่ถ้าคนที่คุ้นเคยและอ่านใจผู้สร้างว่าต้องการอะไรออกถึงจะเข้าใจดูได้สนุกและเพลิดเพลินไปตามสมควร เอาจริงคือเรื่องนี้ก็ดูเพลินในอารมณ์แบบเปิดอ่านมังงะเป็นตอนๆที่ทิ้งท้ายในแต่ละตอนแบบสงสัยสุดขีดว่าจะเป็นยังไงต่อ ซึ่งในความเป็นญี่ปุ่นเองที่จะไม่เร่งเร้ารุนแรงไม่ขยี้ดราม่าทำให้เรื่องดูเหมือนจะไม่ไปข้างหน้าเพราะว่าทุกอย่างต้องมีทางออกและจะไม่มีใครต้องสละชีวิต กระนั้นในความโลกสวยประมาณนี้ก็ทำให้บางตัวละครหรือบางประเด็นโดนทิ้งไปแบบไม่ใยดีจนกลายเป็นรอยแผลทั้งยังมาพร้อมความเป็นมนุษย์ที่เอาจริงก็ไม่ต่างจากเดินออกมาจากหนังสือการ์ตูนประโลมโลกที่อาจท้าทายมโนสำนึกนิดหน่อย ทำให้ถ้าไม่ใช่คนที่คุ้นกับซีรีส์ญี่ปุ่นแท้อาจไม่บันเทิงเอาแต่สำหรับผู้เขียนที่ชอบดูงานญี่ปุ่นกลับดูสนุกดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram p_train823_tbs ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/y8r0DaOnmOLYhttps://entertainment.trueid.net/detail/LNVXByJlzpjwhttps://entertainment.trueid.net/detail/J9Wz81joAg3rhttps://entertainment.trueid.net/detail/8M3kOq90OKJMเกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ ๆ ได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !