พวกเราได้เสพภาพยนตร์หรือซีรีส์กับทาง Netflix กันมาเยอะแล้ว ส่วนใหญ่ก็ต้องยอมรับกันตามตรงว่าหลังๆนั้น เรามักจะดูอะไรที่เนื้อหาหนักๆ เช่น Stranger Things หรือ Bridgerton แต่วันนี้ผมจะมาป้ายยาซีรีส์วัยรุ่นใสๆ (รึเปล่า?) มาให้ดูอะไรที่เบาสมองกันบ้าง ซีรีส์ที่ผมจะมารีวิววันนี้ก็คือ 'Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย' ซีรีส์วัยรุ่น High School ทั่วๆไป แต่นำเสนอออกมาได้ค่อนข้างแปลกใหม่ และมีประเด็นที่น่าพูดถึงเยอะ แล้วที่สำคัญ ซีซั่น 3 กำลังจะมาแล้ว!โดยที่การรีวิวครั้งนี้ผมจะมีการสปอยเล็กน้อย แต่ก็จะพยายามไม่สปอยจนหมดสนุก ใครที่ยังไม่เคยดู ลองอ่านแล้วตัดสินใจดูนะครับส่วนตัวผมนั้นเลื่อนผ่านเรื่องนี้ไปหลายรอบมาก เพราะดูจากหน้าปกแล้วมันก็ไม่เห็นมีอะไรที่น่าสนใจ แต่พอลองกดเข้าไปดู มันดันสนุกกว่าที่คิดซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever เล่าเรื่องของเด็กสาวชาวอินเดียที่ชื่อ 'เดวี่ วิชวกุมาร์ (Devi Vishwakumar)' ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนอินเดีย แต่ตัวเธอเองนั้นซึมซับความเป็นสาวอเมริกันเข้าไปจนแทบไม่เหลือความเป็นอินเดียเลย รับบทโดยนักแสดงสาวชาวแคนนาดาที่ชื่อ 'Maitreyi Ramakrishnan' เธอนั้นดีบทแตกมากๆ เล่นออกมาได้น่ารักและมีเสน่ห์ เธอสวยมากด้วย ในเรื่องเป็นสาวเนิร์ดที่ยิ่งดูยิ่งหลงรัก ทำให้เราเชื่อได้ว่าจะมีผู้ชายมาติดพันเธอถึง 2 คน โดยเนื้อเรื่องทั้ง 2 ซีซั่นนั้นก็จะวนเวียนอยู่กับผู้ชายทั้ง 2 ที่คาแรคเตอร์แตกต่างกันอย่างสุดขั้วนี่แหละ คนแรกคือ 'แพ็กซ์ตัน' หนุ่มสุดฮ็อตที่เดวี่ชอบมาตั้งแต่เด็ก ส่วนอีกคนคือ 'เบน' หนุ่มเนิร์ดบ้านรวยที่เคยเป็นคู่กัดกับเดวี่ แต่เอาจริงๆเนื้อเรื่องมันก็สอดแทรกประเด็นอื่นๆที่น่าสนใจไว้มากมาย เช่น ประเด็นสังคมในโรงเรียน เรื่องมิตรภาพ และเรื่องครอบครัว แต่ละประเด็นนั้นก็จะมีความดราม่า แต่ว่าตัวซีรีส์นั้นนำเสนอออกมาให้ดูไม่เครียดจนเกินไป ทำให้เราดูได้สบายๆเสน่ห์ของซีรีส์เรื่องนี้ นอกจากนางเอกและหนุ่มๆของเธอแล้ว ตัวละครรอบตัวของเดวี่นั้นก็มีเสน่ห์เช่นกัน เช่น ตัวละครเพื่อนสนิทของเธออย่าง 'เอเลนอร์' และ 'ฟาบิโอล่า' ทั้งสามคนคือความแตกต่างอย่างลงตัว เอเลนอร์เธอเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายจีน และเป็นนักแสดงละครเวที ตัวละครนี้จะออกแนวร่าเริงแจ่มใส เรียกเสียงฮาได้ตลอด น่ารักมาก ให้คำแนะนำแต่ละอย่างคือเด็ดๆทั้งนั้น ส่วนฟาบิโอล่าเธอเป็นเด็กเนิร์ด มีงานอดิเรกคือสร้างหุ่นยนต์ ตัวเดวี่เองก็เป็นเด็กเนิร์ด แต่ก็มีความซนตามประสา ส่วนตัวผมชอบความสัมพันธ์ของสามคนนี้มากกว่าหนุ่มๆของเธอเสียอีก มีช่วงทะเลาะกันไม่เข้าใจกันบ้าง แต่สุดท้ายพวกเธอนั้นก็ตัดกันไม่ขาดอยู่ดีนอกจากเพื่อนๆแล้ว ตัวละครในครอบครัวของเดวี่นั้นก็มีเสน่ห์เช่นกัน แม่ของเดวี่เป็นหมอผิวหนัง เธออยู่ตรงกลางระหว่างคนหัวโบราณกับคนหัวสมัยใหม่ ถึงแม้ว่าจะดุจะว่าเดวี่บ่อยแค่ไหน แต่เอาจริงๆเธอก็รักลูกสาวของเธอมาก แม้จะแสดงออกไม่เก่งก็ตาม ส่วนอีกคนคือญาติที่อยู่บ้านหลังเดียวกันชื่อ 'กมลา' เธอเป็นสาวฮ็อตที่มีหนุ่มๆมาตามจีบเยอะ ในช่วงแรกๆเดวี่ดูจะไม่ชอบเธอสักเท่าไหร่ แต่หลังๆนั้นทั้งสองคนก็ปรับตัวเข้าหากันมากขึ้น ซีรีส์เรื่องนี้เล่าประเด็นครอบครัวเยอะมากพอๆกับประเด็นความรักเลย เพราะเปิดเรื่องมาก็เล่นประเด็นที่เดวี่พึ่งจะสูญเสียพ่อไป เธอช็อกมากเพราะเธอนั้นสนิทกับพ่อมากกว่าแม่ เดวี่คิดว่าแม่ของเธอแทบไม่รู้สึกเสียใจอะไรกับการจากไปของสามี เธอจึงมักจะก่อปัญหาหรือพูดอะไรให้แม่เสียใจตลอด แต่บอกเลยว่าประเด็นนี้แอบเรียกน้ำตาได้เหมือนกัน แม่ของเธอต้องทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลาจึงทำให้เดวี่คิดว่าแม่ของเธอนั้นไม่เสียใจ แต่จริงๆแล้วกลับกันเลย ถึงแม้ว่าตอนท้ายของซีซั่น 1 จะคลายปมนี้แล้ว แต่พอขึ้นซีซั่น 2 ประเด็นนี้ก็ยังมีพูดถึงอยู่ ซึ่งมันก็ทำออกมาได้ดี ไม่รู้สึกว่ายัดเยียดอะไร ประเด็นความรักของ Never Have I Ever มันก็ไม่ได้ดูหวือหวาอะไร ออกแนวเรื่อยๆ ก็เป็นเรื่องราวรักสามเส้าทั่วๆไปนั่นแหละ แต่ก็พอให้เราได้ลุ้นอยู่บ้างว่าสุดท้ายแล้วเธอจะได้ลงเอยกับใครกันแน่ มีอุปสรรคมาขัดขวางบ้างพอเป็นสีสัน ตัวเดวี่ก็ไม่ได้แสดงออกชัดเจนว่าชอบใครมากกว่ากัน ทั้งเบนและแพ็กซ์ตันก็ดูมีโอกาสได้ลงเอยกับเธอทั้งคู่ ใครที่จะดูก็เตรียมเลือกไว้เลยครับว่าจะเชียร์คนไหน ซึ่งไม่ว่าคุณจะเชียร์คนไหน ตอนจบของทั้ง 2 ซีซั่นจะทำให้คุณถูกใจแน่นอน (แต่จะถูกใจทีมไหนก่อนไปลุ้นกันเอาเอง) แล้วเรื่องนี้ยังมีประเด็นเรื่องเซ็กส์ด้วยนะ แต่ไม่ค่อยพูดถึงเยอะสักเท่าไหร่ มีมุก 18+ เยอะอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีฉากวาบหวิว เพราะเรื่องนี้เรทแค่ 13+ ไม่ต้องหลบพ่อแม่ดู ทั้งเบนและแพ็กซ์ตันหลังจากได้ทำความรู้จักกับเดวี่ พวกเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปทางที่ดีขึ้นด้วย เบนที่ตอนแรกเป็นคนปากร้าย หลังๆก็เห็นเขาเป็นคนพูดจาดีมากขึ้น ยอมเข้าสังคมมากขึ้น ส่วนแพ็กซ์ตันที่ตอนแรกใช้ชีวิตสนุกไปวันๆ ไม่คิดถึงอนาคตตัวเอง หลังๆเขาก็เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ตั้งใจเรียนมากขึ้นเพราะอยากเข้ามหาวิทยาลัย ตรงจุดนี้ผมชอบมาก แต่ประเด็นเหล่านี้จะไปเล่าในซีซั่นที่ 2 เป็นส่วนใหญ่ประเด็นเรื่องเชื้อชาตินั้นกลับไม่ค่อยได้เล่นสักเท่าไหร่ ทั้งๆที่มีอะไรให้เล่นเยอะมาก ประเด็นนี้เป็นแค่ส่วนเสริมเล็กๆเท่านั้น มีประเด็นเรื่องเพศที่ 3 เข้ามาด้วย แต่ก็ไม่ได้เล่นให้เป็นประเด็นใหญ่สักเท่าไหร่ เล่าแค่ว่าอยากให้ครอบครัวยอมรับ รวมถึงตัวเองด้วย ส่วนจะเป็นตัวละครไหนผมขอไม่บอก อยากให้ไปดูกันเอาเอง อีกส่วนประกอบที่ผมรู้สึกว่าซีรีส์ Never Have I Ever ทำออกมาได้ดีมาก ก็คือเหล่าตัวประกอบต่างๆที่คอยเข้ามาสร้างสีสันได้ตลอด เช่น เพื่อนสนิทของแพ็กซ์ตัน ที่ชอบกวนประสาทเดวี่ แถมยังชอบเล่นมุก 18+ อีก แต่ก็ไม่ได้น่ารำคาญนะอีกคนก็คือจิตแพทย์ที่เดวี่ชอบไปขอคำปรึกษา ตัวละครนี้ให้คำปรึกษาและกำลังใจกับเดวี่ตลอดแทบทั้งเรื่อง เธอมักจะมีคำพูดที่ทำให้เดวี่คิดได้ มีประโยคนึงในซีซั่น 2 ที่ผมชอบมาก เธอบอกประมาณว่า "เธอไม่ใช่คนบ้า แต่เธอแค่มีความเป็นมนุษย์มากกว่าคนอื่น"อีกคนที่ผมชอบเป็นพิเศษคือครูสอนประวัติศาสตร์ ที่ออกมาแต่ละครั้งคือสุดมาก สไตล์การสอนเก๋สุดๆ จนผมแอบคิดว่าถ้าสมัยเรียนม.ปลายมีครูประวัติศาสตร์แบบนี้ ผมคงตั้งใจเรียนวิชานี้มากกว่าเดิมหลายเท่า ความจริงแล้ว Never Have I Ever ยังสอดแทรกประเด็นที่น่าสนใจไว้อีกหลายประเด็น แต่ผมเอามาบอกไม่หมด อยากให้คุณไปดูกันเอง แต่ผมรับรองว่าน่าสนใจทุกประเด็น บางประเด็นคุณอาจคาดไม่ถึงว่าเขาจะสอดแทรกมันเข้ามาด้วยอีกคนหนึ่งที่เราไม่พูดถึงไม่ได้ คือ John McEnroe อดีตนักเทนนิสชื่อดัง เขาแทบไม่ได้ปรากฏตัวในเรื่องแบบมาเป็นตัวเป็นตน แต่เราได้อยู่กับเขาตลอดทั้งเรื่อง เพราะเขามารับหน้าที่เป็นคนบรรยายเนื้อเรื่องนั่นเอง คอยบรรยายชีวิตของเดวี่ บางทีก็แอบวิจารณ์ มีแอบเนียนเล่าเรื่องตัวเองพอเป็นสีสัน แอบมา Cameo ในตอนจบของซีซั่นแรกด้วย บอกเลยว่าคนคิดไอเดียนี้สุดยอดมาก ไม่รู้สึกรำคาญเลย เป็นสีสันที่เข้ากันได้อย่างลงตัวแต่ก็จะมีบางตอนนะที่จะเอาคนอื่นมาบรรยาย ซึ่งจะเป็นตอนที่แพ็กซ์ตันกับเบนเป็นตัวเดินเรื่อง ซึ่งจะมีแค่ซีซั่นละตอนเท่านั้น ซีซั่น 1 จะเป็น Andy Samberg มาเล่าในตอนของเบน ส่วนซีซั่น 2 จะเป็น Gigi Hadid มาเล่าในตอนของแพ็กซ์ตันผมขอให้คะแนน Never Have I Ever ไว้ที่ 8.5/10 มีช่วงน่าเบื่อบ้าง บางประเด็นก็ถูกพูดถึงน้อยจนน่าเสียดาย แต่โดยรวมสนุก ตัวละครมีเสน่ห์ เป็นซีรีส์ที่ผมอยากแนะนำให้คุณดู แต่คุณอย่าไปคาดหวังว่ามันจะหวือหวาหรือสนุกจนหยุดดูไม่ได้อะไรทำนองนั้น เป็นซีรีส์ที่คุณดูได้เรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ เพราะมันจะมีตอนที่เอื่อยๆน่าเบื่อบ้าง ข้อดีคือมันสั้น ตอนละประมาณ 30 นาทีเท่านั้น มีซีซั่นละ 10 ตอน คุณสามารถดูแบบคั่นเวลาระหว่างรอเรื่องอื่นก็ยังได้ แต่ต้องบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้ไม่มีพากย์ไทยนะครับ น่าเสียดายเหมือนกัน ถ้ามีพากย์ไทยอาจจะมีกระแสในประเทศเราได้มากกว่านี้ ซีซั่นที่ 3 ก็จะมาในวันแม่หรือ 12 สิงหานี้พอดี ลองเปิดใจดูนะครับ คุณอาจจะหลงรักซีรีส์เรื่องนี้ไปโดยไม่รู้ตัวถ้าคุณชอบการรีวิวครั้งนี้ และอยากติดตามงานเขียนของผม สามารถกดติดตามเพจ Alone Time ได้เลยครับ ขอบคุณครับเครดิตภาพ เครดิตภาพปก Facebook : Netflixเครดิตภาพ 1 Instagram : maitreyiramakrishnanเครดิตภาพ 2 Twitter : Netflixเครดิตภาพ 3 Twitter : Netflixเครดิตภาพ 4 Twitter : Netflix *STAR COVER"อย่ามัวแต่ดูมาดังกัน"*ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ขอชวนทุกคนมาสนุกโคฟเวอร์ พร้อมลุ้นรับเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 7,000 บาท (5 รางวัล) โคฟคนที่ใช่ ไลค์คนที่ชอบ`ร่วมสนุกได้ที่ ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ห้อง cover บนแอปทรูไอดี`คลิกเลย >> https://ttid.co/UAnK/7y9jfqkqอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://bit.ly/3O1cmUQร่วมสนุกตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2565 - วันที่ 11 สิงหาคม 2565