รีวิวหนัง "Venom: The Last Dance เวน่อม มหาศึกอสูรอหังการ" เริงระบำทิ้งทวนท่วงท่าอ่อนโยน

แล้วก็เดินทางมาถึง..ไตรภาค สำหรับหนังแอคชันไซไฟแห่งจักรวาลโซนีมาร์เวลที่เป็นหน้าตาให้กับแฟรนไชส์เรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2018 สู่ภาคที่ 3 ใน "Venom: The Last Dance เวน่อม มหาศึกอสูรอหังการ" ที่นับว่าเป็นการออกท่วงท่าเต้นระบำเพื่อม้วนสู่บทสรุปแห่งไตรภาคของหนังชุดนี้อย่างสมบูรณ์แบบ แล้วยังมาพร้อมกับกระบวนท่าที่เปลี่ยนไปของทีมผู้สร้างชุดใหญ่ แม้ว่านักแสดงนำจะยังเป็นหน้าที่คุ้นเคย

เรื่องราวได้สานต่อจากเหตุการณ์จากภาคก่อน เมื่อเอ็ดดี้และเวน่อมเข้าตาจนและตกที่นั่งลำบาก ถูกตามไล่ล่าจากทหารทั้งกองทัพไม่พอ ยังถูกตามปลิดหัวจากบรรดาปรสิตซิมไบโอตต่างดาวตัวฉกาจ ทั้งสองจะต้องผ่านการสู้รบครั้งยิ่งใหญ่และการตัดสินใจครั้งสำคัญ ซึ่งจะนำไปสู่การปิดม่านการต่อสู้ร่วมกันอันยาวนานของเอ็ดดี้และเวน่อม

• "Venom: The Last Dance" มีฉากเครดิตท้ายเรื่องหรือไม่? ดูเฉลยที่นี่

และเป็นอีกครั้งที่หนังชุดนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงหัวเรือใหญ่ในการนำทีมสร้าง แต่ก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล คราวนี้ได้ "เคลลี่ มาร์เซล" มือเขียนบทหนังที่ปลุกปั้นหนังเรื่องนี้มาในทุก ๆ ภาค ได้ก้าวขึ้นมาหยิบจับงานสร้างหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และเป็นหนังบ็อกซ์บัสเตอร์ฟอร์มใหญ่เรื่องแรกภายใต้ความรับผิดชอบของเธออีกด้วย โดยที่เธอก็ยังรับหน้าที่ร่วมเขียนบทควบคู่ไปด้วยเช่นเคย

ในเมื่อดันมือเขียนบทหนังขึ้นมานั่งเก้าอี้กำกับแบบนี้ ซ้ำยังเป็นนักสร้างผู้หญิงด้วย จึงทำให้ท่วงท่าการระบำใน Venom: The Last Dance ค่อนข้างออกมาอ่อนช้อยและลงรายละเอียดในงานสร้างยิ่งกว่าภาคไหน ๆ ทำให้มันกลายออกมาไปต่างกับหนังที่มาเพื่อร้อยเรียงเป็นจดหมายระหว่าง เอ็ดดี้ บร็อก กับ เวน่อม ไปตลอดทั้ง 90 นาทีของหนัง ทุก ๆ ย่างก้าวเต็มไปด้วยโมเมนต์ผูกพันที่ดี ราวกับว่าสั่งเสียอะไรอย่างนั้น

แต่เมื่อมาอยู่ในหนังภาคที่ 3 ของหนังชุดที่เคยเต็มไปด้วยว่าจัดจ้านดุดันมาก่อน ก็กลายเป็นว่า Venom: The Last Dance เป็นการสรุปปิดไตรภาคแบบหน่อมแน้มเกินไปสักหน่อย โครงสร้างต่าง ๆ ในหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะกิ่งก้านสาขาต่าง ๆ มีพลังที่ส่งออกมาค่อนข้างเบาแรงไปแทบจะหมดทุกองค์ประกอบ เนื่องจากหนังเต็มไปด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่ไร้ประโยชน์และมากเกินความจำเป็นที่ถูกจับยัดใส่เอาไว้ในหนังเรื่องนี้

ก็อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น บทหนัง Venom: The Last Dance ราวกับเป็นจดหมายรักที่ค่อย ๆ เรียบเรียงออกมาทีละขั้นทีละตอน จนแทบจะไม่เหลือองศาความดุเดือดและดุดันแบบที่ 2 ภาคก่อนเคยทำเอาไว้ได้เลย การเล่าเรื่องแทบจะน่าเบื่อไปด้วยซ้ำ หนังเต็มไปด้วยเนื้อหาอะไรก็ไม่รู้ที่ใส่เข้ามาเพื่อให้มี โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่เคยปูทางไว้จาก 2 ภาคก่อนหน้านี้เลย กลายเป็นความเบาบางในโครงเรื่องมาก ๆ ถึงขนาดที่ในรอบสื่อมวลชนแอบได้ยินเสียงกรนดังขึ้นมา เมื่อหนังโลดแล่นผ่านไปได้เกือบชั่วโมง

เพราะนอกจากตัวละครหลัก อย่าง เอ็ดดี้ บร็อก กับ เวน่อม ที่เป็นแกนหลักของหนังอยู่แล้ว ใน Venom: The Last Dance ก็แทบจะไม่ได้โชว์ศักยภาพในการสร้างมิติและความสำคัญให้กับตัวละครใหม่ ๆ ที่มาเสริมเพิ่มเติมในภาคนี้ได้อย่างชัดเจนเลยสักคาแรกเตอร์เดียว ทุกอย่างที่ชุลมุนและหมกหมุนกับบางอย่างเกินไป กว่าจะมาจุดเครื่องติดและจูนกับคนดูได้ก็ปาไปเกือบ 15-20 นาทีสุดท้ายของหนัง ที่อยู่ ๆ ก็ปรับโทนเอามันส์ แล้วม้วนหน้าจบไปต่อหน้าต่อตาเสียอย่างนั้น

แน่นอนว่างานโปรดักชันและองค์ประกอบงานสร้างต่าง ๆ ของ Venom: The Last Dance ยังคงทำออกมาได้ดี โดยเฉพาะช่วงท้าย ๆ ของเรื่องที่ได้มีจังหวะบ่อยของแบบจัดเต็ม แม้ว่าจะค่อนข้างยังไม่จุใจคนดูก็ตาม แต่ถึงแม้ว่างานสร้างจะออกมาดีตามมาตรฐาน ก็ไม่อาจจะทดแทนความกระท่อนกระแท่นของโครงสร้างเรื่องราวของหนังที่เบาโหวงไปได้อีกอยู่ดี

"ทอม ฮาร์ดี" ยังคงเป็น เอ็ดดี้ บร็อก ได้เพอร์เฟคเช่นเดิม แม้ว่าบทบาทในภาคนี้ของเขาก็เกือบจะตีความออกมาดูเป็นเสียสติในสายตาคนรอบ ๆ ข้างไปแล้วก็ตาม แต่ความเป็นมืออาชีพของเขาก็ยังรับมือและเป็นตัวชูโรงในการขับเคลื่อนหนังเรื่องนี้ได้ด้วยดี พ่วงด้วยตำแหน่งผู้ที่ออกแบบและกำหนดเรื่องราวในส่วนของบทหนังคู่กับผู้กำกับในภาคนี้ด้วย แต่บทออกจะบ้งไปสักหน่อย แต่การแสดงของเขาก็ยังคงน่าประทับใจ

แต่ที่น่าผิดหวังสุด ๆ ก็คงจะเป็นบรรดาทีมนักแสดงสมทบหน้าใหม่ที่เข้ามาเสริมทัพให้ภาคนี้ ที่กลายเป็นส่วนที่ไม่ได้รับการดูแลที่ดีแต่อย่างใดเลย ไม่ว่าจะเป็น "จูโน เทมเพิล", "ชิเวเทล เอจิโอเฟอ" หรือ "รีส อีวันส์" ไม่ต่างกับการหยอดเข้ามาเป็นเพียงตัวประกอบและตัวละครขยะ แม้ว่าหนังจะพยายามใส่ใจในตัวละครเหล่านี้แล้ว แต่กลับไม่ได้ให้ค่าและให้น้ำหนักใด ๆ กับพวกเขาเหล่านี้เลย เป็นการโยนจับใส่เข้ามาให้เต็ม ๆ เท่านั้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องเชิญนักแสดงเกรดระดับนี้มาก็ได้จริง ๆ

ดังนั้นโดยสรุปปิดไตรภาคใน Venom: The Last Dance กลายเป็นการออกลีลาเริงระบำครั้งทิ้งทวนที่ค่อนข้างชวนให้ผิดหวังพอประมาณ ซ้ำยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าจักรวาลหนังโซนีมาร์เวลกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาชัดเจนแล้วจริง ๆ นั่นอาจจะจำเป็นต้องถึงแก่เวลาที่ต้องยกเครื่องใหม่ทั้งเซ็ตสักที เพราะผลลัพธ์ในหนังเวน่อมภาคนี้เกือบจะเข้าขั้นเลวร้ายกว่าที่คิด แม้ว่าจะยังมีมาตรฐานที่ดีกว่าหนังในจักรวาลเดียวกันนี้ที่ฉายไปเมื่อช่วงต้นปี 2024 ก็ตามที

Venom: The Last Dance จึงกลายเป็นการเต้นบนฟลอร์ที่ท่วงท่าอาจจะไม่ได้งดงามอะไรเท่าไหร่ ผิดจังหวะ คร่อมจังหวะ และไม่ตรงบล็อกกิ้งที่มุดหมายเอาไว้อยู่หลายท่า แต่กระนั้นหนังภาคนี้ก็กลายเป็นภาคที่ค่อนข้างใส่ความผูกพันและความเป็นมนุษย์เข้าไปได้มากกว่าภาคใด ๆ ก่อนหน้านี้ทั้งหมด มันเต็มไปด้วยความรู้สึกและจิตวิญญาณระหว่างตัวละครที่สร้างขึ้นด้วยกัน เป็นความซาบซึ้งพอประมาณที่เราอาจจะไม่ได้ประทับใจมันได้เท่าที่ควร