Take Me to the Moon (2017) ขอย้อนเวลาเพื่อรักเธอวังเจิ้งเสียง (Jasper Liu) หนุ่มใหญ่พนักงานบริษัทที่เดินทางไปทำงานยังประเทศญี่ปุ่น เขามีใครคนหนึ่งในอดีตที่อยากพบหน้ามากที่นั่น เอ็มม่า ลี หรือ หลี่เอินเพ่ย (Vivian Sung) ดาวจรัสแสงในช่วงชีวิตมัธยม เธอได้รับการคัดเลือกจาก เท็ตสึยะ โคมุระ โปรดิวเซอร์เพลงชื่อดังจากญี่ปุ่น แต่ เอ็มม่า ลี ในวันที่ เจิ้งเสียง พบ กับ หลี่เอินเพ่ย ในอดีตช่างแตกต่างกัน เมื่อเธอในตอนนี้ไม่ได้ส่องแสงเหมือนในอดีต เธอกลายเป็นคนหมดไฟ ไม่ใช่ศิลปินที่ประสบความสำเร็จอย่างที่หวังไว้ แล้วหลังจากที่ หลี่เอินเพ่ย อายุได้เพียง 38 ปีเธอก็เสียชีวิตลงหลังจากงานศพของเธอ เจิ้งเสียง ที่ดื่มหนักเพราะความเสียใจเดินโซเซอยู่ริมถนน ก็ได้พบกับหญิงแก่คนหนึ่ง ที่บังคับขายดอกแมกโนเลียให้กับเขา เธอบ่นพึมพำตลอดเวลาว่า "หนึ่งดอกต่อหนึ่งคืน" สุดท้ายแล้ว เจิ้งเสียง ก็โดนยัดเยียดให้ซื้อมาสามดอก เพียงแค่เขาก้มลงไปดมดอกไม้เท่านั้นก็เกิดเรื่องอัศจรรย์ขึ้นมา เมื่อเจ้าตัวย้อนไปเวลากลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ช่วงสามวันสุดท้ายก่อนจบการศึกษา เจิ้งเสียง จึงนึกไอเดียขึ้นมาได้ว่า หากเขาสามารถยับยั้งไม่ให้ เอินเพ่ย ไปญี่ปุ่นได้สำเร็จ ในอนาคตข้างหน้าเธออาจจะกลับมามีชีวิตอยู่ก็ได้ขอบคุณเครดิตรูปภาพจากภาพยนตร์ : Take Me to the Moon (2017) ที่มา Official Facebook : Linkหนังไต้หวันที่ตอนออกฉายในปี 2017 ส่วนตัวผมเองให้ความสนใจอย่างมาก ด้วยช่วงนั้นมีโอกาสได้ดูหนังไต้หวัน ที่สามารถสร้างความประทับใจให้หลายเรื่อง แต่หลังจากที่หนังออกฉายแล้วค่อนข้างหาดูยาก ประกอบกับคะแนน (ในตอนนั้น) ในเว็บอย่าง imdb หนังได้ไปเพียง 5 กว่า ๆ จากเต็ม 10 เท่านั้นเอง ก็เลยลืมเลือนไปไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่ จนไม่กี่สัปดาห์ก่อนไม่รู้มีอะไรดลใจให้ตัดสินใจดู ผลที่ได้อาจไม่ถึงกับเรียกได้ว่าประทับใจ แต่ก็ถือว่าหนังทำออกมาได้ดีในระดับหนึ่งเลยนะ พอเข้าไปดูคะแนนใน imdb อีกครั้งตอนนี้ กลับได้ถึง 7.6/10 จากผู้โหวตพันกว่าคนแล้วหนังเล่าช่วงเวลา 3 วันสุดท้ายก่อนจบการศึกษา ที่ภารกิจของ เจิ้งเสียง คือการขัดขวางไม่ได้ เอินเพ่ย ผ่านการคัดเลือกสำเร็จ ตอนที่เราดูมันจึงแอบมีความรู้สึกขัดแย้งกับความคิดแบบอุดมคติบ้างเหมือนกัน แน่นอนว่าไม่ว่าจะ เอินเพ่ย หรือใครก็ตามที่หากมีความใฝ่ฝัน ไม่ว่าจะลำบากยากแค่ไหนจะทำสำเร็จหรือไม่ ก็ล้วนต่างอยากจะลองพยายามสักครั้ง เพื่อทำให้ความฝันมันเป็นจริงการที่ตัวละคร เจิ้งเสียง พยายามขัดขวางเธอ ใจหนึ่งของคนดูที่แม้จะรู้ว่าเขาหวังดี แต่ลึก ๆ มันก็เกิดความรู้สึกขัดแย้งขึ้นมาเหมือนกัน กลายเป็นว่าใจหนึ่งเราก็อยากให้ เจิ้งเสียง ขัดขวางเธอสำเร็จ แต่อีกใจหนึ่งเราก็อยากให้ เอินเพ่ย ได้ทำตามความฝันของตัวเองขอบคุณเครดิตรูปภาพจากภาพยนตร์ : Take Me to the Moon (2017) ที่มา Official Facebook : Linkนอกจากเรื่องราวภารกิจขัดขวางความฝันของ เอินเพ่ย แล้ว หนังยังมีเรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนวงเย่วฉิวปั้ง กลุ่มเพื่อนซี้ 6 คนที่เล่นดนตรี ซ้อมดนตรีมาด้วยกัน เพื่อขึ้นเล่นบนเวทีฉลองการจบการศึกษา แม้ส่วนของเรื่องราวมิตรภาพระหว่างเพื่อน หนังจะไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดหรือมีดราม่าที่โดนใจ แต่หนังก็ยังนำเสนอความสัมพันธ์ออกมาได้น่ารักดี มีการสร้างประสบการณ์ร่วม มีเรื่องราวที่ตัวละครต้องฝ่าฟันผ่านมันไปด้วยกันหนังมีประเด็นของเพื่อนแอบรักเพื่อน หรือต้องจำใจช่วยเพื่อนจีบคนที่ตัวเองก็แอบชอบเหมือนกัน แน่นอนว่าหนึ่งในตัวละครที่อยู่ในประเด็นนี้ก็คือ เจิ้งเสียง ที่ในตอนนั้น เขาก็แอบชอบ เอินเพ่ย เหมือนกับ อาเซิง เพื่อนในกลุ่มที่ขอให้ เจิ้งเสียง ช่วยเขาจีบ เอินเพ่ย มันเลยเกิดดราม่าตรงที่ เจิ้งเสียง เองที่ได้ย้อนเวลากลับมา ไม่อยากทำผิดพลาดแบบเดียวกันกับที่ตัวเองทำในอดีต ที่ปล่อยโอกาสของตัวเองให้หลุดลอยไปหนังมีทั้งความตลกบนมิตรภาพระหว่างเพื่อน ดราม่าครอบครัว ความใฝ่ฝัน ที่ประเด็นต่าง ๆ อาจจะไม่ถึงกับถูกหยิบเอามาขยี้ซึ้ง หนักหน่วงจนเราได้เสียน้ำตา แต่เรื่องราวก็ไม่ได้ถูกเล่าออกมาอย่างเบาบาง น้ำหนักมันยังพอให้คนดูได้คิดได้ตั้งคำถามได้ว่า หากถึงวันหนึ่งที่เราไม่สามารถทำความฝันให้สำเร็จได้ เราจะยังสามารถมีความสุขกับชีวิตได้อยู่ไหม จะสามารถอยู่กับความผิดหวังนั้น แล้วก้าวต่อไปมีชีวิตที่มีความสุขอยู่ได้หรือเปล่า ตอนจบของหนังมีแอบหวั่นใจว่าจะจบแบบชวนหน่วงอยู่เหมือนกัน ส่วนจะจบยังไงใครสนใจก็ลองหามาดูก็แล้วกันขอบคุณเครดิตรูปภาพจากภาพยนตร์ : Take Me to the Moon (2017) ที่มา Official Facebook : Linkสรุปแล้ว Take Me to the Moon (2017) ขอย้อนเวลาเพื่อรักเธอ ถือเป็นหนังไต้หวันงานดีอีกเรื่องหนึ่งเลยนะ ประเด็นเรื่องราวต่างๆ การเล่าเรื่องราวอาจไม่ได้มีอะไรใหม่ แต่ผลที่ได้ก็ถือว่าหนังยังนำเสนอรสชาติออกมาได้พอดี ประเด็นเรื่องความใฝ่ฝัน กับช่วงชีวิตวัยรุ่นมาผูกกันได้ลงตัว การเป็นวัยรุ่นเรามีไฟมีความฝัน แต่เมื่อถึงวัยที่ไฟฝันมันมอดลงเราทำมันไม่สำเร็จ เราจะยังสามารถมีความสุขกับชีวิตได้ในแบบไหนDirector: Chun-Yi Hsiehขอบคุณเครดิตรูปภาพหน้าปกจากภาพยนตร์ Take Me to the Moon (2017) ที่มา : Official Facebookเขียนโดยแอดมิน เพจ ปีนรั้วดูหนัง