เครดิตภาพ Facebook Officialหนังเล่าถึงเรื่องราวที่เมืองซิลเวอร์ตันได้รับความเสียหายจากพายุทอร์นาโดที่พัดมาสร้างความเสียหายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ประชาชนในเมืองต้องอยู่แบบหวาดผวาไม่รู้ว่าพายุจะพัดมาวันไหน การพยากรณ์อากาศที่ไม่สามารถคำนวนความแน่นอนได้ ทำให้ผู้คนอยู่ในเมืองพากันหวาดผวา จนกระทั่งเกิดพายุลูกสุดท้ายขึ้น จะทำให้พายุนี้ฝังลึกอยู่ในความรู้สึกของคนในเมืองไปอีกนานเครดิตภาพ Facebook OfficialInto The Storm เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักล่าพายุกลุ่มหนึ่ง ที่พยายามอยากเก็บภาพพายุ ยิ่งใกล้วงพายุมากเท่าไหร่ยิ่งถือเป็นช็อตเด็ดกลายเป็นความฝันสูงสุดของพวกเค้า โดยไม่เคยเกรงกลัวต่อภัยอันตรายที่หนักหน่วงท่ามกลางความอยากรู้อยากเห็น การดำเนินเรื่องช่วงครึ่งชั่วโมงแรก จะเป็นการเกริ่นนำตัวละครที่มีบทบาทในเรื่องราวและมีความสำคัญในการดำเนินเรื่อง การถ่ายทำของหนังเรื่องนี้ เน้นการถ่ายทำจากกล้องวิดีโอเพื่อความสมจริงในฉากของการหลบหนี ทำให้คนดูรู้สึกว่ากำลังหนีพายุอยู่จริง ๆ แต่ภาพก็ไม่ได้สั่นไหวมากพอได้อรรถรสอยู่แต่ถ้าใครไม่ชอบก็คงเวียนหัวไปเลย เครดิต Facebook Officialอะไรคือสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ Power of Storm ครับ ภาษาไทยก็พลังทำลายล้างของพายุ หนังพยายามสื่อให้คนดูเห็นถึงความน่ากลัวของพายุทอร์นาโด ว่าพลังทำลายล้างน่ากลัวแค่ไหน นอกจากที่เห็นขณะที่พายุก่อตัว มนุษย์ที่หนีไม่พ้นก็อาจจะถูกดูดเข้าไปในวงพายุ หลังจากนั้นพายุก็จะเริ่มทำลายอาคารบ้านเรือน พัดต้นไม้ หลังคา แม้กระทั่งรถยนต์ก็ปลิวว่อน เสียหายมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อพายุสงบ สิ่งที่คงเหลือไว้ก็คือความเสียหายที่พังราบเป็นหน้ากลองหนังที่มีความคล้ายคลึงกับ Into the Storm ก็นึกได้เรื่องเดียวคือ Twister แต่ว่า Into the Storm เป็นภาพยนตร์ยุคใหม่ที่มีการพัฒนาของเรื่องราวและ CG ขึ้นมาเยอะมาก ทำให้คนดูนึกถึงเรื่องราวและเข้าไปอยู่ในวงพายุได้สมจริงกว่าหนังTwister มากอะไรคือข้อเสีย ผมต้องบอกตามตรงว่า หนังเรื่องนี้ไม่ได้เน้นตัวละครเลยแต่หนังก็ทำร้ายคนดูด้วยการ ทำให้ตัวละครหลักตายซะงั้นแต่ก็ไม่ได้ทำให้หนังแย่ลง เพราะในชีวิตจริงหากคนเราเจอสถานการณ์พายุแบบนั้นมันจะตายตอนไหนก็ไม่มีใครบอกได้ หนังกำลังจะบอกคนดูว่า พายุที่ร้ายกาจ คร่าชีวิตคนได้ทุกคนแม้แต่พระเอกหนังก็ตาม 555เครดิตภาพ Facebook Officialคะแนนเนื้อเรื่อง 8/10 ผมชอบตรงที่หนังนึกจะฆ่าตัวละครหลักก็เอาเลย เพราะมันคือชีวิตจริง ที่เราเจอในเหตุการณ์พายุทอร์นาโด พายุไม่เลือกหน้าหรอกครับว่าจะพรากชีวิตใคร คนดูอย่างผมก็สะเทือนใจและก็หวาดกลัวกับเรื่องแบบนี้พอสมควรนะครับ หนังค่อนข้างสื่ออารมณ์ให้คนดูเห็นถึงการพยายามหนีเอาตัวรอดของมนุษย์ เป็นสัญชาติญาณอยู่แล้ว เหมือนหนังแนวเอาชีวิตรอดครับใครหนีทันก็ทัน หนีไม่ทันก็ตายคะแนนเอฟเฟคต์ 9/10 ภาพในวงพายุทอร์นาโด โดยเฉพาะช็อตที่ทอร์นาโดพัดเข้าไปทำลายปั๊มน้ำมันจนเกิดเป็นประกายไฟ ทำให้ทอร์นาโดธรรมดาที่น่ากลัวอยู่แล้วกลายเป็นทอร์นาโดเพลิง เพิ่มความรุนแรงในการดูดทุกอย่างที่ขวางหน้าเข้าไปในวงพายุ CG ที่เค้าทำออกมามันเนียน มันดูน่ากลัว มันดูทำให้ความรู้สึกสมจริง เหมือนผมเข้าไปอยู่ในวงพายุเครดิตภาพ Facebook Officialข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้1. สัญชาติญาณของมนุษย์ที่ต้องการเอาตัวรอด เมื่อพายุก่อตัว สิ่งที่มนุษย์ทำคือพยายามเอาตัวรอดความน่ากลัวของพายุ ใครจะไม่หนีละครับ แต่การเอาตัวรอด เราก็ต้องไม่เอาคนอื่นเป็นที่กำบังด้วย แต่เมื่อรักตัวกลัวตายความเห็นแก่ตัวก็เริ่มแสดงออกมา2. ความเป็นฮีโร่ ในฉากหลบพายุฉากสุดท้าย มีตัวละครตัวหนึ่งที่เสียสละเอาตัวเองดันไว้ตรงปากอุโมงค์ เพื่อป้องกันไม่ให้เหล็กเส้นที่ปิดปากท่อปลิว สุดท้ายทุกคนในอุโมงค์ก็ปลอดภัยแม้ว่าจะเกือบเอาชีวิตไม่รอดกันก็ตามวิกฤติของพายุที่เกิดขึ้น กำลังสร้างฮีโร่และคนเห็นแก่ตัวในเวลาเดียวกัน ความน่ากลัวของพายุอาจจะทำให้คนกลัวจนหัวหด แต่ในขณะที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ก็ยังมีคนที่พร้อมจะเสียสละให้คนอื่นรอดอยู่ครับเครดิตภาพ Facebook Official