รีเซต

วิเคราะห์(สปอยล์)เรื่องราวที่น่าจะเกิดขึ้นในซีรีส์ "The Last of Us" ผ่านชื่อตอนที่เผยมา

วิเคราะห์(สปอยล์)เรื่องราวที่น่าจะเกิดขึ้นในซีรีส์ "The Last of Us" ผ่านชื่อตอนที่เผยมา
แบไต๋
1 กุมภาพันธ์ 2566 ( 09:30 )
2.7K

กระแสดีไม่แผ่วจริง ๆ กับซีรีส์เหลือเพียงแค่เรา ‘The Last of Us’ กับเนื้อหาเรื่องราวการเดินทางของชายผู้สูญเสียลูกสาวจนจิตใจแตกสลายเย็นชาและไม่สนใจอะไรนอกจากน้องชายและการมีชีวิตรอด กับเด็กผู้หญิงที่เกิดและเติบโตในโลกที่ล่มสลายเธอไม่รู้จักพ่อแม่มีแค่เพื่อนและไม่รู้ว่าความรักคืออะไร จนเมื่อทั้งสองมาเจอกันสิ่งที่โหยหาสิ่งที่ขาดหายก็มาเติมเต็มให้กันและกัน ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ทราบตัวซีรีส์นั้นจะมีทั้งหมด 9 ตอนและทั้ง 8 ตอนทางซีรีส์ได้เปิดเผยชื่อตอนออกมาแล้วเหลือเพียงตอนสุดท้ายที่ยังปิดชื่อตอนเอาไว้ เมื่อเป็นอย่างนั้นเราก็มาวิเคราะห์บวกสปอยล์เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในซีรีส์ ‘The Last of Us’ ผ่านชื่อตอนที่เปิดเผยออกมากันดีกว่าว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร โดยต้องขอย้ำก่อนว่าเรื่องราวที่เราเอามานำเสนอนั้นอ้างอิงมาจากวิดีโอเกมเป็นหลัก ที่อาจจะคลาดเคลื่อนไม่ตรงก็ได้ และเราจะไม่พยายามเปิดเผยเรื่องราวสำคัญหรือจุดพิเศษให้คุณได้รู้ เพื่อให้คุณได้ไปพบเจอเรื่องราวเหล่านั้นด้วยตัวเอง เรื่องราวของซีรีส์ ‘The Last of Us’ จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นก็เก็บกระเป๋าเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมแล้วมาดูไปพร้อมกันเลย

คำเตือน เนื้อหาในบทความจะเปิดเผยเนื้อหาในซีรีส์ 3 ตอนแรกและเรื่องราวบางในเกมบางส่วนเพื่อให้คนที่อยากรู้เรื่องราวทั้งหมดได้ทราบ

ตอนที่ 1 When You’re Lost in the Darkness เขียนบทโดย Craig Mazin และ Neil Druckmann

เริ่มต้นตอนแรกของซีรีส์ที่หลายคนน่าจะได้ชมไปแล้ว กับจุดเริ่มต้นเรื่องราวของซีรีส์กับชื่อตอนที่ว่า ‘When You’re Lost in the Darkness’ หรือ “เมื่อคุณหลงทางในความมืด” ที่ประโยคนี้คือคำที่ถูกเขียนบนกำแพงของกลุ่ม ‘Fireflies’ กับรหัสลับที่คนกลุ่มนี้ใช้เชิญชวนคนมาเป็นพวกต่อต้านทหาร ‘FEDRA’ ซึ่งถ้าใครจำได้ในตอนแรก โจล (Joel) ได้รับคำเชิญจากตัวประกอบชายคนหนึ่งที่มาพูดชักชวนด้วยที่เต็ม ๆ ที่ว่า “เมื่อคุณหลงทางในความมืด จงมองหาแสงสว่าง” ที่หมายถึงในความมืดมิดของโลกที่ล่มสลายเรายังมีความหวังอยู่ แต่ในซีรีส์นั้นได้เอาสิ่งนี้มาตีความกลับด้าน เพราะแสงสว่างที่โจลกับลูกสาวได้เห็นนั้นมันคือแสงจากไฟฉายของกระบอกปืนทหารที่เล็งมาทางเขาและลูก ก่อนที่หัวใจของโจลจะแตกสลายนับตั้งแต่เห็นแสงที่ปลายทางนั้น และมันก็กลับมาอีกครั้งตอนที่โจลได้เห็นแสงจากกระบอกปืนทหารที่เล็งมาทางเขาและเพื่อน ๆ ที่เป็นการย้ำเตือนว่าในความมืดแสงสว่างที่โจลเห็นมันคือความสูญเสีย นั่นคือความหมายของชื่อตอนนี้

ตอนที่ 2 Infected เขียนบทโดย Craig Mazin

ในส่วนของตอนที่ 2 นั้นจะใช้ชื่อตอนว่า ‘Infected’ หรือ “ติดเชื้อ” ที่เรื่องราวคราวนี้จะเล่าต่อจากตอนแรกที่พวกของโจลต้องพาเด็กสาวไปส่งเพื่อแลกกับแบตเตอรี่รถยนต์ ที่โจลจะใช้สิ่งนี้เดินทางไปหาน้องชาย ที่ทั้งคู่น่าจะมีปากเสียงกันจนโจลต้องออกไปตามหา และเมื่อทั้ง 3 ออกมายังเขตกักกันก็เจอกับทหารมาตรวจโรคจนรู้ว่าตัวของเด็กสาวที่ชื่อ เอลลี่ (Ellie) นั้นติดเชื้อจากการถูกกัดมา 1 อาทิตย์แต่เธอไม่เป็นอะไร แต่คนอื่นที่ถูกกัดนั้นไม่มีภูมิคุ้มกันจึงสามารถติดเชื้อได้ ซึ่งชื่อตอนอาจจะหมายถึงสิ่งนี้นั่นเอง และในตอนนี้เรายังได้เห็นคนติดเชื้อระยะที่ 2 ที่เรียกว่า ‘Stalker’ (ตัวที่มีตาข้างเดียว) และผู้ติดเชื้อระยะ 3 ที่เรียกว่า ‘Clicker’ (ตัวหน้าเห็ดในพิพิธภัณฑ์) นอกจากนี้ยังหมายถึงตอนเปิดเรื่องที่บอกเล่าถึงจุดกระจายเชื้อในอินโดนีเซียเป็นที่แรกก่อนที่มันจะกระจายไปทั่วโลก ซึ่งถ้าเราดูดี ๆ ในตอนที่สองนี้จะเน้นเรื่องการติดเชื้อหลาย ๆ แบบ ทั้งจุดเริ่มต้นการติดเชื้อ การติดเชื้อแต่มีภูมิคุ้มกันของเอลลี่ ผู้ติดเชื้อแบบต่าง ๆ และการกระจายเชื้อให้ผู้อื่น เรียกว่าตรงตามชื่อจริง ๆ

ตอนที่ 3 Long Long Time เขียนบทโดย Craig Mazin

ก่อนที่ ‘The Last of Us’ ตอนที่ 3 จะฉายคนที่เล่นเกมมาแล้วต่างรู้กันดีว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่หลายคนต่างก็สงสัยกับชื่อต่อว่า ‘Long Long Time’ หรือ “นานมาก ๆ แล้ว” ว่ามันหมายถึงอะไรแล้วมันเกี่ยวอะไรกับตัวละครใหม่อย่าง บิล (Bill) และ แฟรงค์ (Frank) ที่เราจะได้เจอในเรื่อง จนเมื่อได้ดูหลายคนก็เข้าใจทันทีว่าชื่อตอนนี้มันหมายถึงเรื่องราวในชีวิตของบิลที่ไม่เคยได้เจอคนที่เข้าใจ จนสุดท้ายเขาก็รู้ว่าสิ่งที่ตามหามาเนิ่นนานนั้นคืออะไร ซึ่งในแง่ของซีรีส์มันคือบทดราม่าที่ซึ้งและกินใจ แต่สำหรับคนเล่นเกมที่ต่างคาดหวังว่าจะได้เจอฉากแอ็กชันของการเข็นรถ รวมถึงการเดินทางไปโรงเรียนเพื่อไปเอาแบตเตอรี่รถยนต์ กับการเปิดตัวพี่ใหญ่ ‘Bloater’ ที่ควรจะปรากฏในตัวอย่าง แต่ในตอนนี้ตัวเรื่องกลับเปลี่ยนทุกอย่างไปจากเดิมจนหมด ที่บอกให้เรารู้ว่าโลกนั้นแม้จะล่มสลายแต่ความรักของมนุษย์นั้นก็ยังคงมีอยู่ และมันช่างมีความสุขแม้จะรอมานานมาก ๆ ก็ตาม

ตอนที่ 4 Please Hold My Hand เขียนบทโดย Craig Mazin

หลังจากที่ซาบซึ้งกับเรื่องราวความรักของบิลกับแฟรงค์มาแล้ว (แต่หลายคนก็หลับ) มาคราวนี้ตัวเรื่องก็จะขยับมาเป็นความแอ็กชันมากขึ้น ในชื่อตอนว่า ‘Please Hold My Hand’ หรือ “โปรดจับมือฉันไว้” ที่ถ้าให้คาดเดาจากเนื้อเรื่องเมื่อเทียบกับเกม เราก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องราวในคราวนี้ตัวของโจลและเอลลี่จะได้เจอกับกลุ่มโจรที่มาดักปล้นระหว่างทาง (เป็นเพียงการคาดเดาที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบิดเบือนและไม่ตรงกับในเกม) แต่เชื่อว่าเนื้อหาในส่วนนี้ตรงกับในเกมอย่างแน่นอน และคราวนี้เอลลี่จะได้จับปืนเป็นครั้งแรก (จะปืนที่โจลให้หรือปืนที่เอลลี่ซ่อนไว้ก็มารอดูกัน) และนั่นก็นับจุดเริ่มต้นความเชื่อใจของโจลที่มีให้เอลลี่มากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้โจลไม่ไว้วางใจเอลลี่และคิดว่ามันไม่ปลอดภัยที่จะให้เด็กพกปืน แต่เมื่อถึงตอนคับขันก็คงต้องให้เธอช่วย ส่วนชื่อตอนที่หมายถึงโปรดจับมือฉันไว้ น่าจะหมายถึงการร่วมมือกันของทั้งสองคน หรืออาจจะเป็นการจับมือกันตอนที่ทั้งคู่จะแยกกันในจุดหนึ่งระหว่างหนี แต่เอลลี่เลือกจะตามโจลมาแทนที่จะหนีไปกับคนอื่น และนี่จะเป็นครั้งแรกที่เอลลี่เห็นโจลฆ่าคนที่ไม่ติดเชื้อด้วย (ตอนต่อยทหารไม่นับ)

ตอนที่ 5 Endure and Survive เขียนบทโดย Craig Mazin

น่าจะต่อเนื่องจากตอนที่ 4 เพราะโจลกับเอลลี่ถูกล่าแบบไม่หยุดจากพวกโจรที่มาดักปล้น จนทั้งคู่มาเจอสองคนพี่น้อง เฮนรี่ (Henry) กับ แซม (Sam) ที่หนีตายจากกลุ่มโจรเหมือนกัน จนทั้งสี่คนต้องร่วมมือกันเอาชีวิตรอด ที่ถ้าให้เดาจากแนวทางของคนสร้างซีรีส์เราก็น่าจะได้เห็นชีวิตของสองพี่น้องคู่นี้ก่อนจะมาเจอโจลกับเอลลี่อย่างแน่นอน ซึ่งตรงนี้จะเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนของซีรีส์ เพราะคำว่า ‘Endure and Survive’ ที่หมายถึง “อดทนและอยู่รอด” ก็น่าจะหมายถึงสองคนพี่น้องที่ต้องอดทนเพื่อจะอยู่รอดบนโลกใบนี้ เพราะคนพี่อย่างเฮนรี่เติบโตมาก่อนเชื้อจะระบาด จึงมีมุมมองด้านลบและรู้ว่ามนุษย์นั้นมีทั้งไว้ใจได้กับพวกอันตรายไม่น่าไว้วางใจ และเรามีกันแค่สองคนพี่น้องที่ต้องช่วยกันมีกันและกันไว้ก็พอ แต่แซมนั้นโตมาหลังโลกล่มสลายแล้วทั้งคู่จึงเหมือนเอลลี่ที่ไม่รู้ว่าผู้คนและโลกนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งคราวนี้เราอาจจะได้เห็นมุมมองที่น่าสนใจที่ต่างออกไปจากเดิม เพราะพี่น้องคู่นี้มีมุมมองความคิดที่ทั้งเหมือนและต่างกับโจลและเอลลี่แบบชัดเจน กับทางเลือกที่เราเลือกเองซึ่งถ้าเนื้อหาตรงในเกมก็เตรียมตัวรับแรงกระแทกได้เลย

ตอนที่ 6 Kin เขียนบทโดย Craig Mazin

มาถึงตอนที่ 6 ของซีรีส์ที่ใช้ชื่อตอนว่า ‘Kin’ ที่แปลงตรง ๆ ตัวคือคำว่า “ญาติ” ที่แฟน ๆ เกมต่างเดากันว่าตอนนี้จะเป็นเรื่องราวในอดีตที่ไม่มีในเกม และถ้าเราย้อนมาดูตัวอย่างที่ถูกเปิดเผยออกมาก่อนซีรีส์ ‘The Last of Us’ จะฉาย เราก็ได้เห็นฉากของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังอุ้มทารกที่น่าจะเป็นเอลลี่ ซึ่งได้ แอชลีย์ จอห์นสัน (Ashley Johnson) นักแสดง ‘Motion Capture’ และเป็นคนให้เสียงเอลลี่ในเกมมารับบทนี้ ที่นักเล่นเกมต่างเดาว่าเรื่องราวในคราวนี้ว่าอาจจะเฉลยว่าทำไมเอลลี่ถึงมีภูมิคุ้มกันเชื้อรา หรืออาจจะบอกเล่าเรื่องราวของเอลลี่ในตอนเด็กที่เติบโตมาในค่ายทหารของ ‘FEDRA’ หลังจากถูกเอามาทิ้ง ซึ่งตรงจุดนี้ มาร์ลีน (Marlene) ผู้นำกลุ่ม ‘Fireflies’ ได้บอกเราในตอนแรกไปแล้ว คราวนี้อาจจะเป็นการขยายเนื้อหาในส่วนนั้นให้ลึกและดราม่ามากขึ้นแน่นอน

ตอนที่ 7 Left Behind เขียนบทโดย Neil Druckmann

แค่เห็นชื่อตอนเชื่อว่านักเล่นเกมต่างก็คงขนลุก เพราะมันคือชื่อเดียวกับ ‘DLC’ ส่วนเสริมของเกม ‘The Last of Us’ ที่ใช้ชื่อเดียวกันว่า ‘Left Behind’ หรือ “ทิ้งไว้ข้างหลัง” ที่คราวนี้ตัวซีรีส์จะขยับมาเล่าเรื่องราวของเอลลี่หนึ่งอาทิตย์ก่อนจะเจอกับโจลซึ่งเป็นช่วงที่เธอถูกกัด ที่ในตอนที่ 2 ของซีรีส์เอลลี่บอกกับพวกโจลว่าเธอแอบไปยังด้านหลังของค่ายที่เป็นห้างสรรพสินค้าเก่าคนเดียวก่อนจะโดนกัด แต่ความจริงแล้วเอลลี่ได้แอบไปกับเพื่อนอีกคนที่ชื่อ ไรลีย์ (Riley) ที่ถ้าใครยังจำได้ในตอนที่เอลลี่คุยกับมาร์ลีนก็มีการเอ่ยถึงชื่อนี้ออกมา โดยในเกมจะเป็นการตัดสลับเรื่องราวของเอลลี่ในอดีตกับตอนปัจจุบัน ที่เอลลี่ต้องไปหายามารักโจลที่บาดเจ็บ ที่คาดว่าโจลน่าจะเริ่มบาดเจ็บตั้งแต่ตอนเริ่มเรื่องจากการสู้กับเฮนรี่ หรืออาจจะบาดเจ็บจากการสู้กับโจรที่มาปล้นที่ไม่รู้ว่าทางคนเขียนบทจะเลือกมาทางไหน (เป็นเพียงการคาดเดา) โดยตอนนี้จะได้ นีล ดรักแมน (Neil Druckmann) คนสร้างเกมมาเขียนบทให้จึงรับประกันความเหมือนได้เลย

ตอนที่ 8 When We Are in Need เขียนบทโดย Craig Mazin

หลังจากจบเรื่องราวในอดีตเรียบร้อยคราวนี้ก็จะมาถึงยุคปัจจุบันที่ตัวละคร ทอมมี่ (Tommy) จะกลับมาอีกครั้งกับจุดที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของซีรีส์ เพราะตอนนี้โจลของเราเริ่มหลงรักและห่วงใยเอลลี่เหมือนลูกสาวของเองไปเสียแล้ว และเมื่อโจลเริ่มรักเอลลี่เหมือนลูกสาวเขาก็กลัวว่าจะเสียสิ่งนั้นไปอีก โจลเลยจะให้ทอมมี่พาเอลลี่ไปส่งที่โรงพยาบาลแทนตน ซึ่งเอลลี่ที่ได้ยินก็ไม่พอใจและหนีออกมา ซึ่งตรงนี้ในซีรีส์อาจจะเปลี่ยนให้เอลลี่ที่หนีมาถูกกลุ่มมนุษย์กินคนจับไปก็ได้ (เป็นเพียงการคาดเดา) เพราะในเกมส่วนนี้เราจะได้สู้กับโจรตามทางที่เอลลี่หนีมา ก่อนที่ทั้งคู่จะปรับความเข้าใจและร่วมเดินทางกันอีกครั้ง ซึ่งตรงกับชื่อตอนที่ว่า ‘When We Are in Need’ หรือแปลแบบอ้อม ๆ ว่า “ความต้องการ” หรือมันคือความต้องการของโจลที่ไม่อยากทำหน้าที่นี้ต่อไปแล้วนั่นเอง

ตอนที่ 9 ยังไม่เปิดเผย เขียนบทโดย Craig Mazin และ Neil Druckmann

และก็มาถึงตอนสุดท้ายที่โจลต้องพาเอลลี่มาส่งยังกลุ่ม ‘Fireflies’ ที่เป็นตอนจบของซีรีส์ ซึ่งจนถึงตอนนี้ทางซีรีส์ยังไม่ได้บอกชื่อตอนออกมา เพราะกลัวว่าจะเป็นการสปอยล์เนื้อเรื่องรึเปล่า (เดาล้วน ๆ เลย) แต่แฟน ๆ เกมต่างรู้ดีว่าตอนนี้ต้องมีชื่อตอนว่า ‘I Swear’ ที่แปลว่า “ฉันสาบาน” หรือไม่ก็ชื่อตอนว่า ‘Okay’ ที่หมายถึง “ตกลง” ซึ่งประโยคนี้จะเป็นคำพูดสุดท้ายของโจเอลที่พูดกับเอลลี่ และเป็นประโยคที่เอลลี่ตอบโจลมาก่อนที่เรื่องราวจะตัดจบลงตรงนี้ แต่ก่อนหน้านี้มันจะมีเรื่องราวที่สะเทือนใจกับฉากแอ็กชันต่าง ๆ ที่อัดมาอย่างมากมาย เป็นการทิ้งท้ายของซีรีส์ที่ต้องมีควรมีและควรใส่เพราะมันจะเชื่อมไปยัง ‘Season 2’ แบบขาดไม่ได้ และหลายคนก็เดาว่าตรงส่วนนี้ทางซีรีส์ต้องขยี้หนัก ๆ ยับ ๆ อย่างแน่นอน ที่เราก็หวังว่าคนดูจะประทับใจกับเรื่องราวที่ผ่านมาก่อนจะเข้าสู่ ‘The Last of Us Part II’ ที่จะดำเนินเนื้อเรื่องหลังจากภาคแรก 5 ปี แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นเรามาประทับใจกับเนื้อหาและเรื่องราวที่ผ่านมา ที่บอกเลยว่าคุณต้องไม่ผิดหวังและรักซีรีส์นี้อย่างแน่นอน

ก็จบกันไปแล้วกับการคาดเดาเนื้อเรื่องของซีรีส์ ‘The Last of Us’ ทั้ง 9 ตอนผ่านทางชื่อตอนที่ถูกเปิดเผยออกมาทั้ง 8 ตอน ที่เราต้องขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องราวเนื้อหาทั้งหมดที่เราเอามานำเสนอนั้น เป็นการอ้างอิงจากตัวเกมมาเป็นพื้นฐานในการเล่าเรื่องที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมไปอย่างแน่นอน และพอเราดูครบทั้ง 9 ตอนไปแล้วทางทีมงานก็ขอแนะนำให้คุณกลับมาอ่านบทความนี้อีกครั้ง เพื่อดูว่าสิ่งที่ทีมงานเล่านั้นจะตรงกับตัวซีรีส์มากน้อยขนาดไหน และถ้าคุณสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับเกมหรือซีรีส์ ‘The Last of Us’ ก็สามารถไปอ่านบทความเก่า ๆ ด้านล่างได้เลย เพราะเราได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่น่าสนใจของซีรีส์เอาไว้ให้คุณได้อ่านและฟังอย่างจุใจแน่นอน และถ้าใครมีความคิดเห็นเกี่ยวกับตอนต่าง ๆ อย่างไรก็เอามาพูดคุยกันได้ ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรในวงการเกมการ์ตูนซีรีส์ก็รอติดตามกันที่แบไต๋ได้เลย เพราะที่นี่มีครบจบทุกความบันเทิงเพื่อคุณ