เดินทางกันมานานสำหรับแฟรนไชน์ภาพยนตร์ไดโนเสาร์ที่ถูกฉายให้คนดูได้รับชมมาอย่างยาวนานตั้งแต่ Jurassic Park (1993) ที่ทำให้เราได้ตื่นตาตื่นใจกับโลกของไดโนเสาร์และกวาดรายได้มาอย่างภล่มทลายจนมีภาคต่อออกมาอีก 2 ภาคและปิดตำนานของ Jurassic Park จนกระทั่งปี 2015 ก็ได้มีการกำเนิดภาคต่อไดโนเสาร์ใหม่ภายใต้ชื่อ Jurassic World และก็ได้สร้างภาคต่อเรื่อย ๆ และมาถึงปัจจุบันที่ภาพยนตร์ได้มีการสานต่อแฟรนไชน์ไดโนเสาร์อีกครั้ง ชื่อว่า Jurassic World Rebirth - จูราสสิค เวิลด์ กำเนิดชีวิตใหม่ (2025) พร้อมพาคนดูไปตื่นตาตื่นใจกับโลกของไดโนเสาร์อีกครั้ง โดยไทม์ไลน์ยังสานต่อจากภาคที่แล้ว ไม่ต้องกลัวงง รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! ภาพยนตร์ Jurassic World Rebirth - จูราสสิค เวิลด์ กำเนิดชีวิตใหม่ (2025) ประเภท : ภาพยนตร์ ความยาว : 2 ชั่วโมง 13 นาที ผู้กำกับ : แกเร็ท เอ็ดเวิร์ดส์ แนว : แอคชั่น , ผจญภัย , ไซไฟ เรื่องย่อ เมื่อถึงคราวที่ผู้คนเริ่มที่จะเบื่อกับไดโนเสาร์ ไม่ได้มีความตื่นเต้นกับไดโนเสาร์อีกต่อไป มีแต่ความหวาดกลัวและหวากระแวง จนกระทั่งเวลาผ่านไป 32 ปี ได้มีการเกิดโรคระบาดใหม่ทำให้ไดโนเสาร์เกิดล้มตายเป็นจำนวนมาก ส่วนพวกที่ยังเหลือรอดต่างก็อพยพไปอยู่ที่เขตร้อน เพราะที่อื่นไม่สามารถดำรงชีวิตได้อีกต่อไป ทางรัฐบาลจึงประกาศหวงห้ามบุคคลภายนอกเข้าเขตร้อนเด็ดขาด แต่ไม่ใช่กับ “มาร์ติน เครบส์” (รับบทโดย รูเพิร์ต เฟรนด์) ได้คิดโปรเจคลับที่ต้องการเก็บตัวอย่าง DNA ของไดโนเสาร์ 3 สายพันธ์ุเพื่อผลิตเป็นยารักษา จึงได้จ้างอดีตสายลับอย่าง “โซรา เบนเนต” (รับบทโดย สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน) มาร่วมทำภารกิจลับในครั้งนี้ด้วยโดยการเสนอเงินค่าจ้างเป็นจำนวนมากให้กับเธอ รวมไปถึง “ดร.เฮนรี่ ลูมิส” (รับบทโดย โจนาธาน เบลีย์) ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับไดโนเสาร์มาร่วมทำภารกิจครั้งนี้ด้วย ระหว่างที่พวกเขากำลังล่องเรือเพื่อเดินทางไปที่เกาะเขตร้อน พื้นที่ที่เต็มไปด้วยไดโนเสาร์และเป็นถึงเขตที่รัฐบาลสั่งห้าม พวกเขาก็ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจึงตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเพื่อไปช่วยเหลือกลุ่มครอบครัวที่ถูกไดโนเสาร์โจมตีเรือจนพลิกคว่ำ แต่สุดท้ายพวกเขาก็โดนไดโนเสาร์ตามล่าจนต้องติดมาอยู่บนเกาะที่เต็มไปด้วยไดโนเสาร์และต้องคอยเอาตัวรอดจนกว่าเฮลิคอปเตอร์จะมารับพวกเขา ตัวละครหลักภาพยนตร์ Jurassic World Rebirth - จูราสสิค เวิลด์ กำเนิดชีวิตใหม่ (2025) สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน รับบทเป็น โซรา เบนเนต โจนาธาน เบลีย์ รับบทเป็น ดร.เฮนรี่ ลูมิส มาเฮิร์ซชาล่าลาชบาซ อาลี รับบทเป็น ดันแคน คินเซต รูเพิร์ต เฟรนด์ รับบทเป็น มาร์ติน เครบส์ มานูเอล การ์เซีย-รัลโฟ รับบทเป็น รูเบ็น เดลกาโต้ ลูน่า เบลส์ รับบทเป็น เทเรซ่า เดลกาโต้ ออดิน่า มิรานดา รับบทเป็น อิซาเบลล่า เดลกาโต้ เดวิด เอียโคโน่ รับบทเป็น ซาเวียร์ ด็อบส์ รีวิวหลังจากดูจบ เราเองก็เป็นอีกหนึ่งแฟนคลับที่ติดตามแฟรนไชน์ภาพยนตร์ไดโนเสาร์ภาค Jurassic World มาครบทุกภาค (แต่ยังไม่มีโอกาสได้ลองดูภาค Jurassic Park มาก่อน) ถือว่าเป็นภาพยนตร์แฟรนไชน์ไดโนเสาร์ที่ดูแล้วรู้สึกตื่นเต้นกับมันมาก ๆ อีกทั้งโครงเรื่องในภาพยนตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองจนทำให้ไดโนเสาร์กลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง จนได้มีการเปิดสวนสนุกที่เต็มไปด้วยเหล่าไดโนเสาร์ ถือว่าเป็นการเปิดภาค Jurassic World ที่ว้าวมาก ดูตัวอย่างกี่ครั้งหรือกลับไปดูอีกครั้งก็รู้สึกขนลุกทุกครั้ง แต่ต้องยอมรับเลยว่าภาคหลัง ๆ มานี้ ความตื่นเต้นค่อนข้างหายไปเยอะเลย แต่เราก็ยังติดตามแฟรนไชน์เรื่องนี้ต่ออยู่ดี จนมีภาคใหม่อย่าง Jurassic World Rebirth ที่ได้นักแสดงนำอย่าง “สการ์เลตต์” มาร่วมแสดงในแฟรนไชน์นี้ด้วย (ยอมรับเลยว่าอยากดูเพราะนักแสดงเลย) เรื่องราวสานต่อจากภาคที่แล้ว สำหรับเรื่อง Jurassic World Rebirth เนื้อเรื่องและไทม์ไลน์ยังคงสานต่อจากภาคที่แล้วอยู่ที่สุดท้ายไดโนเสาร์ก็ได้มาอยู่อาศัยพื้นที่ของมนุษย์ด้วยกัน แต่ในเรื่องก็ได้มีการเล่าย้อนอดีตว่าได้มีศูนย์วิจัยแห่งหนึ่งได้ทำการทดลองสายพันธ์ุไดโนเสาร์ จนเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นจึงทำให้ศูนย์วิจัยนี้ปิดตัวลง และเวลาก็ผ่านไปนานถึง 30 กว่าปี เหล่าไดโนเสาร์เกิดล้มตายเพราะติดเชื้อบางอย่างทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ ไหนจะประเด็นเรื่องที่ภายในเรื่องราวมีการกล่าวถึงว่า “ผู้คนเริ่มเบื่อไดโนเสาร์แล้ว” ภาพยนตร์ก็จะเล่าว่าคนเริ่มที่จะชินกับการอยู่กับไดโนเสาร์แต่ก็มีการเกลียดพวกมันด้วยเช่นกัน แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ภาพยนตร์ไม่ได้ขยี้เล่าเรื่องราวว่าผู้คนมันเบื่อยังไง ชินกับมันยังไง เกลียดมากแค่ไหน แอบน่าเสียดายตรงนี้นิดนึง เนื้อเรื่องเล่าเรื่องราว 2 กลุ่มตัวละคร เนื้อเรื่องเล่าเรื่องราว 2 กลุ่มตัวละคร ก็คือ กลุ่มนางเอก “โซรา” และกลุ่มครอบครัวล่องเรือ “รูเบ็น” ทั้ง 2 กลุ่มตัวละครนี้ก็จะเป็นการเล่าเรื่องที่แตกต่างออกไป อย่างกลุ่มของ “โซรา” ก็เน้นไปที่ความโลดโผน ใช้อาวุธในการต่อสู้กับพวกไดโนเสาร์ ในขณะที่กลุ่มครอบครัวของ “รูเบ็น” เพราะว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่ประชาชนธรรมดา ฝั่งนี้เลยจะลุ้นระทึกกว่าฝั่งนู้นที่อาวุธครบมือมากกว่า เรียกได้ว่าแทบจิกนิ้วเท้าดู ลุ้นแล้วลุ้นอีกว่าจะไปได้ไหม สำหรับภาคนี้เล่าเรื่องราว 2 กลุ่มตัวละครออกมาได้ดีนะ ดีจนแอบรู้สึกเสียดายภาค Jurassic World Dominion - จูราสสิค เวิลด์ โดมิเนียน (2022) ก็มีตัวละครหลักเยอะเหมือนกัน และพยายามจะบาลานซ์บทตัวละครให้เท่ากัน จนไดโนเสาร์หายไปหรือโผล่ออกมาได้น้อยมาก เลยรู้สึกว่าภาคนั้นทำเสียของทั้งที่มีนักแสดงจากภาคในตำนานอย่าง Jurassic Park มาร่วมแสดงด้วยทั้งที แต่สำหรับภาคนี้ทำออกมาได้พอดี เล่าเรื่องได้ไม่มีติดขัด เห็นไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธ์ุ ทั้งลุ้นและเอาใจช่วยตัวละครหลักไปพร้อม ๆ กันเลย มีฉากที่ถ่ายทำในประเทศไทย ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับคนไทยเลยก็ว่าได้ เพราะทางทีมงานได้มีการปล่อยเบื้องหลังออกมาว่าภาพยนตร์ภาคนี้มีฉากที่ถ่ายทำในประเทศไทยด้วย ซึ่งทางทีมงานได้เลือกสถานที่จากชายแดนภาคใต้อย่าง จังหวัดกระบี่ , จังหวัดตรัง , จังหวัดพังงาและจังหวัดตราด แต่ถ้าใครดูภาพยนตร์แล้วดูไม่ออกว่าถ่ายทำตรงไหนของประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเป็นหมู่เกาะมากกว่า รวมไปถึงมีการใช้การตัดต่อเพิ่มทัศนียภาพให้มีความดิบชื้นมากขึ้น หลายคนที่ดูอาจจะไม่คุ้นได้ว่าถ่ายทำที่ประเทศไทยจริง ๆ หรอ ฉากบู๊ในเรื่องสนุกทุกฉาก มีแทรกมุกตลกพอกรุบกริบ ฉากบู๊กับไดโนเสาร์ก็ยังแอบมองว่าแฟรนไชน์นี้ทำออกมาได้ดีแทบทุกภาคเลย เพราะมีทั้งความลุ้น ความระทึกของไดโนเสาร์ ภาคนี้ก็ทำออกมาได้ดีเลย ไม่น้อยหน้าภาคที่แล้วอต่อย่างใด อีกทั้งได้นักแสดงอย่าง “สการ์เลตต์” ที่เคยได้รับบทเป็น “ฺBlack Widow” ก็ได้กลับรันวงการฉากบู๊อีกครั้ง ยอมรับว่าดูเพราะแม่จริง ๆ ไม่ได้สนใจตัวละครคนอื่นเลย แต่ยังแอบรู้สึกว่าตัวภาพยนตร์แอบกั๊กความสามารถของตัวละคร “โซรา” อยู่เหมือนกันนะ เพราะเปิดเรื่องมา “โซรา” คืออดีตสายลับที่เก่งกาจมาก ๆ แต่ฉากบู๊ทำออกมากั๊กนิดนึง “โซรา” ไม่ได้ปล่อยของออกมามากเท่าที่ควร แต่โดยรวมก็สนุกอยู่นะ และก็ไม่ได้มีเพียงแค่ฉากบู๊กันอย่างเดียว ในภาพยนตร์ก็ยังมีการสอดแทรกมุกตลกให้เราได้ขำกรุบกริบ ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ถ้าอิงเรื่องมุกตลกอาจจะน้อยกว่าภาคที่มีนักแสดง “คริส แพร็ตต์” เป็นนักแสดงหลักอย่างเห็นได้ชัดเลย ลุ้นระทึกกับไดโนเสาร์จนหายใจแทบไม่ทั่วท้อง สำหรับภาคนี้เล่นกับใจคนดูเป็นอย่างมาก เพราะมีฉากชวนระทึก ชวนหวาดเสียว แทบตลอดทั้งเรื่องเลย ดูไปก็ลุ้นไปแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง และด้วยที่เล่าเรื่อง 2 กลุ่มตัวละคร ความลุ้นระทึกก็ต่างกันออกไปกันอีก ทางนี้ก็จะลุ้นทางฝั่ง “รูเบ็น” มากกว่า เพราะว่ามีเด็กเล็กด้วย พอมีเด็กเข้ามา ก็ยิ่งเพิ่มความกดดันเข้าไปอีก ว่าเด็กจะรอดออกมาไหม จะวิ่งหนีออกมาทันไหม แล้วถ้าใครมีความกังวลว่ามีตัวละครเด็กเข้ามาแล้วจะสร้างความน่ารำคาญจนภาพยนตร์ไม่น่าดู ขอบอกเลยว่าตัวละครเด็กไม่สร้างความน่ารำคาญเลย อาจจะมีชวนหงุดหงิดมาก แต่สกิลการตัวรอดของน้องก็ทำได้ดีเลยทีเดียว ไม่เสียอรรถรสการดูแน่นอน บอสไดโนเสาร์ภาคนี้แอบตลกมากกว่าน่ากลัว ทุก ๆ ภาคของ Jurassic World ก็จะมีบอสไดโนเสาร์ของเรื่องแต่ละภาคที่ไม่ซ้ำกัน ที่ขึ้นชื่อว่า “บอส” เพราะว่าเป็นสายพันธุ์ที่ถูกปรับแต่งใหม่ มีการผสมสายพันธ์ุไดโนเสาร์ที่หลากหลายมาอยู่ในตัวเดียวกัน ส่วนภาคนี้ก็นำความเป็น “บอส” เหมือนกับภาคอื่น ๆ เพียงแต่ว่าเป็นการทดลองที่ล้มเหลว แทนที่จะสำเร็จและออกมาน่าเกรงขามและดูจะเอาชนะมันยาก กลายเป็น “บอสไดโนเสาร์” ที่หน้าตาดูพิกลพิการ ร่างกายผิดสัดส่วน แถมไม่ได้มีความสามารถเก่งกาจเหมือนกับภาคก่อนหน้า ยกตัวอย่างเช่น Jurassic World - จูราสสิค เวิลด์ (2015) ที่บอสของเรื่องสามารถพรางตัวได้เพราะว่ามีการผสมยีนส์ของกิ้งก่าเข้าไปด้วย เป็นต้น มันเลยดูว้าวสำหรับเรามาก ๆ แต่มาภาคนี้ค่อนข้างมาทางตลกแทน ก็เข้าใจว่ามันทำการทดลองผิดพลาดเลยออกมาแบบนั้น แต่กลายเป็นว่า “บอส” ตัวนี้ไม่มีของอะไรเลยนอกจากความน่ากลัวของหน้าตา ความแตกต่างระหว่าง “ภาคนี้” และ “ภาคอื่น ๆ” โดยรวมแล้วเราก็ยังคงเอ็นจอยกับการดูภาพยนตร์ภาคนี้อยู่นะ คนอื่นจะว่าอย่างไรไม่รู้ แต่อันนี้คือความคิดเห็นส่วนตัวของเรา แต่ถ้าจะให้เทียบความสนุกของ “ภาคนี้” และ “ภาคอื่น ๆ” อาจจะชอบภาค Rebirth น้อยสุด อาจจะเพราะว่าเนื้อเรื่องไม่ได้ชวนทำให้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกับภาคก่อน ๆ และปกติ Jurassic World ตัวละครหลักจะรักไดโนเสาร์มาก ๆ พอมีตัวร้ายจะมาทำอะไรกับไดโนเสาร์ กลุ่มตัวละครหลักก็จะรีบไปหยุดพวกตัวร้ายทันที แต่สำหรับภาคนี้ไม่ได้มีตัวร้ายที่จะมาทำอะไรกับไดโนเสาร์ กลับกลายเป็นตัวละครหลักของเราเนี่ยแหละที่ไปทำร้ายและรุกรานมันก่อน โครงเรื่องเลยอาจจะปรับเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ความสนุกก็ดูไม่ค่อยเท่าภาคอื่น ๆ เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่ชอบภาคนี้ แค่ความสนุกมันดรอปลง ไม่มีอะไรแปลกใหม่ชวนให้ตื่นเต้นเหมือนกับภาคแรก ๆ ก็เท่านั้น เครดิตรูปภาพ ภาพปก มีรูปภาพที่ 1 จาก jurassicworld รูปภาพประกอบที่ 1 , 2 กับ 11 , 12 - 15 , 16 , 17 , 18 , 19 จาก jurassicworld รูปภาพประกอบที่ 3 จาก scarlettjohanssonworld รูปภาพประกอบที่ 4 จาก jbayleaf รูปภาพประกอบที่ 5 จาก mahershalaali รูปภาพประกอบที่ 6 จาก rupertfriend รูปภาพประกอบที่ 7 จาก manu_rulfo รูปภาพประกอบที่ 8 จาก lunablaise รูปภาพประกอบที่ 9 จาก audrinammiranda รูปภาพประกอบที่ 10 จาก davidiacono จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !